ตอนที่ 196 ตระกูลเจริญรุ่งเรือง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 196 ตระกูลเจริญรุ่งเรือง

เถาฮองเฮาได้ทั้งหลานชายและหลานสาว นางดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้

ทุกวันล้วนเป็นวันใหม่ ทุกวันล้วนเป็นวันแห่งความสุข

แต่ฮ่องเต้หย่งไท่กลับไม่มีความสุข

ตามจำนวนตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับภัยแล้งที่องครัก์จินอู่และองครักษ์ซิ่วอีถวายเข้ามามากขึ้น สีหน้าของฮ่องเต้ยิ่งดำทะมึน

ทั้งตำหนักซิงชิ่งเงียบสงัด

ทุกคนที่รับใช้อยู่ในวังต่างเกรงกลัวที่จะทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมา

ยากเหลือเกิน!

หากมีผู้ใดไม่ระวังทำให้เกิดเสียงขึ้นมา ยังไม่ทันถูกลงโทษ ตนเองก็หวาดกลัวจนตายเสียก่อน

ซุนปังเหนียน ซุนกงกงก็เข้มงวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาไม่ลาหยุด ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮ่องเต้ทุกวัน

แต่อายุของเขามากแล้ว

เมื่อระยะเวลานาน เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า

บุตรชายบุญธรรมคุกเข่านวดขาให้เขาอยู่บนพื้น

“ท่านพ่อกลับจวนไปพักผ่อนเสียหน่อยดีหรือไม่ ขาบวมรุนแรงเพียงนี้ ข้ารู้สึกสงสาร!”

ซุนปังเหนียนพูดเสียงเบา “เวลานี้ ข้าจะออกจากวังไปพักผ่อนได้อย่างไร ฝ่าบาททรงขมขื่นพระทัย ข้าต้องเฝ้าอยู่ข้างฝ่าบาท”

“แต่…”

“เจ้าไม่ต้องพูดอีก ตารางเวรเสร็จแล้วหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าเข้าเวนตอนบ่าย เช่นนี้ก็สามารถพักผ่อนได้หลายชั่วยาม”

“ข้าฟังท่านพ่อ ไม่รู้ภัยแล้งจะผ่านพ้นไปได้เมื่อใด”

ซุนปังเหนียนส่ายหน้าช้าๆ ปีนี้คงจะยากมาก

โชคดีที่องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ยอมออกจากเมืองหลวงไปบรรเทาภัยพิบัติ

องค์หญิงเฉิงหยางก็ยอมนำเสบียงออกมาเพื่ออนาคตของบุตรเขย

เช่นนี้ก็ช่วยแบ่งเบาภาระหนักในการบรรเทาภัยพิบัติแทนราชสำนัก

หลายวันต่อมา องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้เสด็จออกจากเมืองหลวงไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติ

ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเขาออกเดินทางด้วยตนเอง

เขาให้กำลังใจและอบรมสั่งสอนองค์ชายสามต่อหน้าขุนนางทุกคน

ความพิเศษนี้ทำให้บรรดาองค์ชายดวงตาแดงก่ำในทันที

โดยเฉพาะองค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ เขากำหมัดแน่น สีหน้าแทบจะควบคุมไว้ไม่ได้ โนเวล-พีดีเอฟ

ขันทีฝ่ายในจำเป็นต้องเอ่ยเตือนเขาอย่างระมัดระวัง “พระองค์ทรงระวัง ทุกคนยังมองอยู่”

เซียวเฉิงเย่สูดลมหายใจเข้า พยายามควบคุมสีหน้าของตนเองอย่างยากลำบาก

ในฐานะองค์ชายใหญ่ กลับต้องใช้ชีวิตอย่างหดหู่เช่นนี้ ช่างหาพบได้ยาก

เขาไม่อยากยอมจำนน!

แต่ก็หมดหนทาง

ทำได้เพียงสาปแช่งองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้อยู่ภายในใจ ขอให้เขาออกจากเมืองหลวงไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติอย่างไม่ราบรื่น จนสุดท้ายต้องหนีกลับเมืองหลวงอย่างหมดสภาพ

หากติดโรคระบาดตายอยู่ด้านนอกย่อมดีที่สุด

ตาย?

ภายในใจของเซียวเฉิงเย่เต้นระรัว…ปังๆ

หัวใจของเขาแทบจะกระโดดออกมา

เขาตื่นเต้นจนเหงื่อออกมา จิตใจเหม่อลอย

ฮ่องเต้หย่งไท่ตรัสเรื่องใดบ้าง เขาก็ไม่ได้ฟัง

ทั้งใจของเขาล้วนเต็มไปด้วยความว่า “ตาย”

เมื่อทุกสิ่งจบสิ้นลง ทั้งตัวเขาล้วนเปียดโชกไปด้วยเหงื่อ

ผู้ที่เห็นต่างรู้สึกประหลาดใจ

เขายิ้มเก้อให้ทุกคน พลันอธิบาย “อากาศร้อนเกินไป!”

ทุกคนต่างเห็นด้วยอย่างมาก

อากาศนี้ช่างร้อนระอุเสียจริง

ผ่านไปเป็นเวลานาน แม้แต่ฝนสักหยดก็ยังไม่ตกลงมา

แต่ก่อนยังไม่รู้สึก แต่อากาศในระยะนี้ ร้อนจนทำให้ใจคนหวั่นระแวง

ภัยแล้ง ถึงแม้จะไม่กระทบต่อชีวิตของบรรดาขุนนาง ถึงแม้พวกเขายังใช้ชีวิตตามปกติ ไม่กังวลที่จะขาดแคลนน้ำ

แต่มันกระทบต่ออารมณ์

เมื่อมองไปยังพระอาทิตย์สีแดงบนท้องฟ้า อารมณ์ของพวกเขาก็ไม่งดงามนัก

“การเสด็จไปบรรเทาภัยพิบัติขององค์ชายสามในคราวนี้ เกรงว่าจะไม่ราบรื่นนัก”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าพอดูสภาพอากาศได้ ไม่ใช่ลางที่ดีนัก!”

ขุนนางท่านหนึ่งแสร้งทำเป็นลึกลับ

ผู้อื่นต่างไม่สนใจ มีเพียงเซียวเฉิงเย่ที่แอบตื่นเต้นอยู่ภายในใจ เขาดีใจจนแทบจะฉีกยิ้มออกมา

โชคดีที่ขุนนาฝ่ายในเตือนเขา “องค์ชาย อากาศร้อน รีบเสด็จกลับจวนเถิด ในจวนเตรียมกะละมังเย็นเอาไว้ อีกทั้งยังมีเครื่องดื่มแช่เย็นต่างๆ”

เมื่อได้ยินคำว่าเย็น เซียวเฉิงเย่ก็รู้สึกสบายตัว

“ไปๆ รีบกลับจวน”

เขาไม่อยากอยู่ในวังหลวงนี้แม้แต่น้อย

ไม่ใช่เพราะในวังไม่มีน้ำแข็ง หากแต่คนมาก มีน้ำแข็งก็ไร้ประโยชน์

เซียวเฉิงเย่รีบเดินทางกลับจวนองค์ชาย เขานั่งดื่มน้ำบ๊วยแช่เย็นอยู่ด้านหน้ากะละมังแช่เย็น อารมณ์ดีอย่างมาก

หลังจากเนื้อตัวเย็นสบายแล้ว เขาให้คนไปเรียกกุนซือมา

หลังจากไล่ทุกคนออกไป ภายในห้องตำราก็เหลือเพียงนายบ่าวสองคน

เขาถามกุนซือ “เจ้าบอกข้ามา ภัยแล้งมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้คนหนึ่งติดโรคระบาดมากเพียงใด”

กุนซือผงะไปเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็พูดขึ้น “ภัยแล้งแตกต่างจากภัยน้ำหลาก โอกาสในการติดโรคระบาดจะน้อยกว่า”

“เจ้าหมายความว่าไม่มีทางติดโรคระบาดหรือ”

“ไม่ๆ ข้าหมายความว่า โรคระบาดในช่วงที่เกิดภัยแล้งจะเกิดขึ้นช้ากว่า ระหว่างภัยน้ำหลาก ตราบใดที่น้ำถดถอยไปแล้ว ไม่นานก็จะปรากฏโรคระบาด ส่วนภัยแล้งย่อมต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง รอจนกระทั่งมีคนตายถึงต้องระวัง”

เซียวเฉิงเย่กัดฟัน ถามเสียงเบา “มีวิธีใดทำให้คนผู้หนึ่งติดโรคระบาดหรือไม่”

กุนซือตกใจในทันใด เขาพอจะคาดเดาได้ว่าเซียวเฉิงเย่ต้องการสิ่งใด

เขาส่ายหน้าระรัวด้วยความตื่นตระหนก “ไม่เคยได้ยินวิธีที่ทำให้คนผู้หนึ่งติดโรคระบาด บางที พระองค์ควรเชิญไต้ฟูมาถาม”

เซียวเฉิงเย่ทำหน้าผิดหวัง อีกทั้งยังรังเกียจกุนซืออย่างมาก

ภายในใจของกุนซือขมขื่น!

ยากเหลือเกิน!

องค์ชายใหญ่คิดสิ่งใดทำสิ่งนั้น ทำเช่นนี้ไม่ได้!

แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม อีกทั้งไม่อาจเปิดโปงอีกฝ่าย บอกว่าข้ารู้ว่าพระองค์ต้องการให้ผู้ใดติดโรคระบาด…

นอกเสียจากเขาอยากตาย!

เพื่อข้าวคำหนึ่ง เหตุใดต้องเอาชีวิตไปแลก ใช่หรือไม่!

เซียวเฉิงเย่รังเกียจกุนซืออย่างมาก เมื่อเห็นเขาไม่อาจให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ จึงโบกมือเป็นเชิงให้เขาออกไป

กุนซือราวกับปลดภาระอันหนักอึ้งออก

เขาคิดอยู่ภายในใจ หากองค์ชายใหญ่ยังเหลวไหลต่อไป เขาคงจำเป็นต้องเลือกลาออก แสวงหาหนทางใหม่

ไม่ว่าภายนอกจะวุ่นวายอย่างไร แต่ภายในจวนองค์ชายสองกลับเงียบสงบ

เซียวเฉิงเหวินมาเยือนภรรยาและบุตรสาวที่เรือนหลังทุกวัน

คุณหนูวันหนึ่งลักษณะหนึ่ง ใบหน้านับวันยิ่งงดงาม ผู้คนที่พบเห็นต่างชื่นชอบ

ผู้ใดไม่ชอบเด็กที่งดงามกัน

เยียนอวิ๋นฉีพักฟื้นด้วยความสบายใจ

มารดาและพี่สาวน้องสาวนัดกันมาเยี่ยมนางเป็นครั้งคราว

เรื่องราวที่เกิดด้านนอก นางก็ได้ยินมาบ้าง

บางครั้ง นางจะหยอกล้อองค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวิน

“องค์ชายสามเสด็จไปบรรเทาภัยพิบัติ อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากองค์หญิงเฉิงหยาง ทุกคนต่างบอกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ พระองค์ไม่ทรงกังวลแม้แต่น้อยหรือ”

เซียวเฉิงเหวินทำหน้าไม่สนใจ “เขาเป็นพี่น้องของข้า หากเขาประสบความสำเร็จ สำหรับข้าก็เป็นเรื่องดี ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นคนใจแคบอย่างนั้นหรือ”

เยียนอวิ๋นฉีกลับพูด “ระยะนี้ฮองเฮาไม่ทรงเรียกพระองค์เข้าเฝ้า ลูกสาวกำเนิดออกมาก็ไม่เห็นพระองค์เสด็จเข้าวังสักครั้ง”

เซียวเฉิงเหวินรังเกียจอย่างมาก “เข้าวังไปทำอันใด ลูกสาวไม่น่ารักหรือ”

เยียนอวิ๋นฉีรู้สึกขบขัน “ลูกสาววันหนึ่งลักษณะหนึ่ง หน้าตาน่ารักเสียจริง”

“ลูกสาวของข้าย่อมไม่ต้อย”

ทุกคนต่างมองออกว่าองค์ชายสองทรงโปรดบุตรสาวจากใจ ไม่ใช่พูดด้วยวาจาเท่านั้น

เขาคิดถึงแต่บุตรสาวทั้งวัน แม้แต่ร่างกายก็ดีขึ้นไม่น้อย

เขาไม่เข้าวัง ยอมที่จะเสียสละเวลาอยู่กับบุตรสาวมากกว่า

เฟ่ยกงกงร้อนใจ!

เขาเกลี้ยกล่อมลับหลัง “พระองค์ยังคงต้องเสด็จเข้าวังบ้าง อย่างน้อยก็ไปทูลข่าวดี”

“เด็กคลอดออกมาหลายวันแล้ว รางวัลของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็พระราชทานลงมาแล้ว เหตุใดข้ายังต้องเข้าไปทูลข่าวดีในวัง เจ้าไม่ต้องกังวล”

เฟ่ยกงกง “…”

เขาไม่กังวลได้หรือ

“พระองค์ไม่ทรงคิดจะออกจากจวน ไม่เสด็จเข้าวัง เพราะคุณหนูจริงหรือ”

เซียวเฉิงเหวินตอบรับ “ระยะนี้ข้ารู้สึกร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ยาก่อนหน้านี้ให้หมอหลวงลดปริมาณลง”

เอ๊ะ?

เฟ่ยกงกงตั้งสติได้ จึงรีบน้อมรับคำสั่ง

เขานึกความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา “หรือว่าคุณหนูใหญ่จะส่งเสริมพระองค์ ทันทีที่คุณหนูคลอดออกมา ร่างกายของพระองค์ก็ดีขึ้น?”

เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างลึกลับ “บางทีอาจเพราะบุตรสาวคลอดออกมา ข้าอารมณ์ดี ดังนั้นร่างกายก็ดีขึ้นตาม”

เฟ่ยกงกงทำหน้าตื่นเต้น “คุณหนูใหญ่ส่งเสริมความเจริญของตระกูล! ดีๆ!”

เขาพูดว่า “ดี” ติดต่อกันสามครั้ง ตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ

เซียวเฉิงเหวินเตือนเขา “อย่าได้พูดจาเหลวไหลออกไป ทางฮูหยินเจ้าก็ต้องปิดปากให้สนิท”

“กระหม่อมเข้าใจ! กระหม่อมรับรองว่าไม่ทำลายแผนการให้พระองค์”

“สิ่งใดคือทำลายแผนการให้ข้า ข้ามีแผนการใดหรือ”

เฟ่ยกงกงหัวเราะ “กระหม่อมพูดผิดไปแล้ว ขอพระองค์โปรดลงโทษ”

เซียวเฉิงเหวินโบกมือเป็นเชิงให้เขาถอยออกไป

จากนั้นหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวาง พลิกอ่านขึ้นมา

หากผู้ใดสามารถเห็นเนื้อหาในกระดาษ จะพบว่าด้านในมีกระดาษเล็กอีกแผ่น ด้านบนมีคำทำนาย

คำทำนายของหมอดู

เขาลูบคลำคำทำนายแผ่วเบา กระดาษนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว คาดว่าผ่านมาเป็นเวลานาน

ตัวอักษรก็ขุ่นมัวไม่ชัดเจน

เขาหัวเราะเสียงเบา หยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาจุดไฟ มองกระดาษแผ่นนั้นกลายเป็นผุยผง

นับจากนั้นมา เฟ่ยกงกงไม่พร่ำบ่นอีก

เขาติดตามองค์ชายสองไปยังเรือนหลังอย่างอารมณ์ดีทุกวัน

เยียนอวิ๋นฉีแอบกระซิบกับเซียวเฉิงเหวิน “เฟ่ยกงกงกินสิ่งใดผิดปกติหรือ”

วันอื่นมักจะทำหน้าบึ้ง นานทีจะเห็นเขายิ้ม

ระยะนี้เขาดูอารมณ์ดีทุกวัน ช่างเหมือนคนกินยาผิดเสียจริง

เซียวเฉิงเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องสนใจเขา บางทีเขาอาจเห็นลูกสาวงดงาม จึงอารมณ์ดี”

เยียนอวิ๋นฉีขนลุกซู่

เซียวเฉิงเหวินหยอกล้อนาง “ไม่คิดว่าเจ้าจะกลัวเฟ่ยกงกง”

เยียนอวิ๋นฉีแก้ตัว “ไม่ได้กลัวเขา! แต่สายตาเขาน่ากลัวอย่างประหลาด”

“เขาไม่มีเจตนาร้าย! เขามีเพียงใจที่ซื่อสัตย์ต่อข้า เจ้าต้องเชื่อ เขาไม่เพียงจงรักต่อข้า แต่เขายังจะรักและปกป้องบุตรสาวของพวกเรา บุตรสาวมีเขาดูแล ย่อมสามารถเติบโตอย่างปลอดภัย ราบรื่นทั้งชีวิต”

เยียนอวิ๋นฉีไม่คัดค้านต่อคำพูดของเขา

เซียวเฉิงเหวินไม่ได้อธิบายมากขึ้น

เด็กตัวหนักขึ้นแล้ว เขาอุ้มอยู่บนมือมีน้ำหนักอย่างมาก

เด็กเชื่อฟังฟัง หากหิวหรือฉีก็ร้องไห้

เวลาอื่นล้วนเชื่อฟังอย่างมาก

ขนตายาวหลายเส้น เซียวเฉิงเหวินนับขนตาเล่นอย่างเบื่อหน่าย

หากไม่ใช่ขนคิ้วจำนวนมากเกินไป ไม่แน่ว่าเขาอาจนับขนคิ้วเล่น

เยียนอวิ๋นฉีไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

นางบ่นด้วยความสุขต่อหน้ามารดากับพี่น้อง “องค์ชายรักบุตรสาวมากกว่าข้าเสียอีก ต้องมาดู มาอุ้มทุกวัน ท่าทางที่เขาอุ้มลูกแทบจะสู้แม่นมได้อยู่แล้ว ทุกครั้งที่เด็กร้องไห้ เพียงแค่เขาอุ้มขึ้นมา นางก็เงียบลงได้ทันที หากแต่คนเป็นแม่อย่างข้า เมื่อเทียบกับเขาแล้วดูไร้ความรับผิดชอบแม้แต่น้อย บุตรสาวสนิทกับองค์ชายมากกว่าเห็นได้ชัด”

“มันเป็นเรื่องดี!” เซียวฮูหยินยิ้มตาหยี อารมณ์ดีอย่างมาก “บิดาที่รักลูกเช่นนี้หาได้ยากนัก ตอนนั้นพี่ใหญ่เจ้าบอกว่าองค์ชายทรงโปรดบุตรสาว ข้ายังกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ดูจากวันนี้ คำพูดนี้ไม่หลอกลวง”

0

———————————————-