บทที่ 151 ขายตัวเพื่อหาเงินทำศพพ่อ

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 151 ขายตัวเพื่อหาเงินทำศพพ่อ

ว่ากันว่าสาวต่างชาติค่อนข้างเปิดกว้าง นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เซิ่งได้เห็นคนที่ตรงไปตรงมาอย่างคุณเดวี่

“มะ ไม่จำเป็นครับ”มู่เซิ่งอ้าปากพะงาบๆ ด้วยใบหน้าแดงและหูที่แดงเล็กน้อย

“หนุ่มน้อยชาวตงหัวที่น่ารัก แต่ว่านะ ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก”เดวี่กวัดแกว่งกำปั้นไปมา แล้ววิ่งไปด้วยท่าที่ปิดหน้าแล้วหัวเราะ

หลิวเจี้ยนหัวมองตามไปแล้วหัวเราะเหอะๆ เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาเห็นมู่เซิ่งรู้สึกลำบากใจแบบนี้ จนกระทั่งคุณเดวี่เดินจากไป เขาถึงพึ่งหยิบชาต้าหงเผาออกมาจากลิ้นชัก แล้วจึงรินชาให้กับมู่เซิ่งหนึ่งแก้ว จากนั้นก็พูดว่า“เสี่ยวมู่ ทำไมจู่ๆนายถึงมีเวลาว่างานที่เยียนจิงล่ะ?”

ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่เชื้อเชิญมาตลอด เพราะมู่เซิ่งติดพันเรื่องของตระกูลเจียงทำให้ปลีกตัวออกมาไม่ได้ ตอนนี้คิดไม่ถึงว่า จะมาหาเขาด้วยตัวเอง

แต่หลิวเจี้ยนหัวก็รู้สึกปลาบปลื้ม หากมู่เซิ่งไม่ปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าเรื่องของคลินิกในครั้งนี้ คุณวิลเลี่ยมที่มีภูมิหลังไม่ธรรม หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา พวกเขาคงติดร่างแหไปด้วยแน่ๆ

“ผมมาเยี่ยมพ่อน่ะครับ”มู่เซิ่งกล่าว

“ถึงว่าล่ะ อาการของนายฉันตรวจมาแล้ว เป็นโรคเส้นโลหิตตีบที่หาได้ยาก แม้แต่ฉันเองยังไม่มีวิธีรักษาเลย ทำได้แค่ใช้ยาของฉินโสว่หรานคอยประทังชีวิตเอาไว้ อีกทั้ง……”

“ผมรู้ครับ”มู่เซิ่งพยักหน้า“วันนี้ผมเจอเขาที่โรงพยาบาลแล้วครับ ตอนนั้นเขากำลังบีบให้พ่อของผมเซ็นสัญญาโอนหุ้นของบริษัท”

“นายรู้หมดแล้วหรอ?”

หลิวเจี้ยนหัวตกตะลึง เขาแสดงสีหน้าละอายใจ“เสี่ยวมู่ นี่เป็นเรื่องที่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ โทษที่ฉันมีทักษะทางการแพทย์ไม่เก่ง ไม่สามารถรักษาอาการป่วยของพ่อนายได้ ฉันขอให้หมอเทวดาอีกสองท่านมาดูแล้ว แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ทั่วทั้งเยียนจิง มีแค่ฉินโสว่หรานที่สามารถบรรเทาอาการป่วยของพ่อนายได้”

มู่เซิ่งโบกมือไปมา แล้วกล่าวว่า“ไม่เป็นไรครับ ท่านหลิว คุณไม่ต้องโทษตัวเองหรอกครับ อาการป่วยของพ่อ ผมมีวิธีรักษาแล้วครับ”

“เสี่ยวมู่ นะ นายมีวิธีรักษาแล้วหรอ?!”

หลิวเจี้ยนหัวพยักหน้า เดิมทีเขายังอยากพูดปลอบใจมู่เซิ่ง แต่สุดท้ายกลับได้ยินว่ามู่เซิ่งสามารถรักษาอาการป่วยของพ่อให้หายได้ เขาถึงกับตาเบิกโพลงในทันที ราวกับคนเสียสติ นั่งเหม่อลอยอยู่กับที่

อาการป่วยของมู่เฉินเทียนเป็นโรคที่พบได้ยาก แต่ก็มีกรณีเคสในโรงพยาบาลมากมาย ผู้ที่เป็นโรคเส้นโลหิตตีบ ร่างกายจะหดแข็งจนตายไปในที่สุด ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดด้วยซ้ำ

แม้แต่ฉินโสว่หรานเอง สิ่งที่ทำได้ก็แค่บรรเทาอาการ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

“อืม แต่ยังไม่สามารถรักษาให้หาย ผมหวังว่าท่านหลิวจะช่วยผมเก็บเป็นความลับนะครับ”มู่เซิ่งพยักหน้ากล่าว

“แน่นอน ฉันจะช่วยนายเก็บเป็นความลับแน่นอน!”

หลิวเจี้ยนหัวพยักหน้า เขารู้ดี ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะทำให้โลกทางการแพทย์ต้องสั่นคลอน จะมีแพทย์นับจำนวนไม่ถ้วนหลั่งไหลกันเข้ามาหามู่เซิ่ง เพื่อถามหาวิธีการ

ในขณะเดียวกันในใจของเขา ก็อยากรู้มาก ตกลงมู่เซิ่งใช้วิธีอะไรในการรักษาอาการป่วยของมู่เฉินเทียน ใช้การฝังเข็ม หรือการใช้ยาที่กลั่นออกมา?

“ท่านหลิว คุณรู้ที่อยู่ของฉินโสว่หรานไหมครับ?”มู่เซิ่งถามอย่างเรียบเฉย

หลิวเจี้ยนหัวเข้าใจความหมายของมู่เซิ่งในทันที จึงกล่าวว่า“ถึงแม้ฉินโสว่หรานจะเป็นเหมือนคนนิสัยธรรมดา แต่ต้องยอมรับจริงๆว่า ทักษะทางการแพทย์ของเขาไม่เลว เขาอยู่เหนือของฉัน ดังนั้นจึงถูกขนานนามว่าเป็นราชาโอสถแห่งเยียนจิง เสี่ยวมู่ นายมั่นใจว่าเอาเขาอยู่หรอ?”

หลิวเจี้ยนหัวเคยเห็นทักษะทางการแพทย์ของฉินโสว่หรานมาก่อน จึงเป็นห่วงว่ามู่เซิ่ง จะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ

“ราชาโอสถ?ชื่อนี้ไม่เลวจริงๆนั่นแหละครับ สามารถยืมสวมรอยได้”มู่เซิ่งพูดยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ

หลิวเจี้ยนหัวมองไปที่มู่เซิ่งอย่างประหลาดใจ มองดูรอยยิ้มสบายๆของอีกฝ่าย จู่ๆชื่อของราชาโอสถ ก็เป็นแค่ชื่อธรรมดาๆ

วันหยุดสุดสัปดาห์ เหมือนกับจะเป็นกฎของหมอเทวดา วันหยุดของฉินโสว่หรานก็พักผ่อนเช่นกัน แต่ไม่ใช่ในคลินิก ดังนั้นมู่เซิ่งจึงออกจากหอเจี้ยนหรง และตกลงกับหลิวเจี้ยนหัวว่า พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่

หลิวเจี้ยนหัวตอบตกลงรับคำ เขายังอยากเห็นว่ามู่เซิ่งจะเอาชนะฉินโสว่หรานได้อย่างไร!

ในสถานที่แห่งเยียนจิง ตระกูลมู่สามารถครอบครองเรือนสี่ประสานสองหลัง เห็นได้ชักว่าตระกูลมู่เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่

ในเรือนสี่ประสาน มีสวนดอกไม้ในตัว มีบ่อดอกบัวเลี้ยงปลาทอง ในลานเขียวขจีและสดชื่น จะเห็นได้ว่ามีคนทำความสะอาดอยู่ตลอด

หลังจากมู่เซิ่งเดินจากไป บ่ายวันนั้น เขากลับมาที่ตระกูลมู่เงียบๆ กระทั่งไม่มีคนรู้ว่าเขากลับมา

ในตระกูลมู่ คนที่แคร์ที่สุด มีเพียงมู่เฉินเทียนคนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว มู่เซิ่งก็ไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมคนอื่นๆ ความทรงจำในวัยเด็กของเขา นอกจากศึกแย่งชิงภายในแบบเปิดเผยภายในตระกูลแล้ว ก็คือการแก่งแย่งกันอย่างแอบลับ

เมื่อกลับมาถึงห้องของตัวเอง การตกแต่งยังคงไม่เปลี่ยนแปลง บรรยากาศโดยรอบสะอาดมากๆ นี่คือผลจากที่พ่อของเขาให้คนมาทำความสะอาดในทุกวัน ภายในลิ้นชัก มีของเล่นเซรามิกในสมัยเด็กของมู่เซิ่งซ่อนอยู่ในนั้น เพียงแต่ตอนนี้ มันกลายเป็นดินเหลืองไปแล้ว

“สิบปีแล้วสินะ คิดไม่ถึงว่าฉันจะกลับมาเอามาได้”

มู่เซิ่งนอนราบไปที่เตียง มองไปรอบๆที่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน เขาอดรู้สึกซึมเศร้าไม่ได้ ตอนนั้น แม่ของเขาพุ่งเข้ามาในห้อง โอบกอดเขาไว้ บอกกับมู่เซิ่งว่ามีคนกำลังจะฆ่าเขา จะต้องรีบออกจากตระกูลมู่ในตอนนี้

“ตอนนั้น ฉันอายุแค่แปดขวบ คนอื่นอยู่ในวัยเรียนอยู่ในห้องเรียน ฉันต้องแบกปืนสู้อยู่ในสมรภูมิรบ”มู่เซิ่งมองดูภาพที่คุ้นเคย หวนย้อนกลับไปยังอดีต

เขาลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว ว่าตอนนั้นตัวเขารอดชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้อย่างไร

มู่จงหยุนในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่กลับมายิ่งใหญ่ แต่สำหรับตำแหน่งผู้นำตระกูลมู่แล้ว ยังคงจับจ้องไม่วางตา ลำพังแค่ตัวมู่เซิ่งเอง ไม่สามารถโค่นล้มมู่จงหยุนได้ เนื่องจากเบื้องหลังของเขา มีอิทธิพลมากมาย แม้แต่พ่อของเขายังไม่กล้าทำอะไร

วันนี้ที่มู่เซิ่งกลับมา เขาแอบเข้าไปซ่อนตัวในห้องหนังสือเงียบๆ ค้นเจอตำราโบราณที่ทำจากไม้เก่าๆที่เริ่มจะเป็นสีเหลืองเล่มหนึ่ง ออกมาจากกองหนังสือตำราที่เต็มไปด้วยฝุ่น

“ตำราทองตำนานเสวียน ที่แท้ตำราเล่มนี้ก็ชื่อว่าตำราทองตำนานเสวียนนี่เอง”

มู่เซิ่งปัดฝุ่นที่อยู่บนนั้นออก แล้วค่อยๆเก็บไว้ในอก

ตอนที่เขาจะออกจากตระกูลมู่ เขาไปนำไปด้วยหนึ่งเล่ม หากไม่ใช่ตำราโบราณครึ่งเล่มนี้ หลายปีมานี้ เขาคงตายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

หลังจากที่นำตำราโบราณออกมา เขาก็เดินทางออกจากตระกูลมู่ไปเพียงลำพัง

ระหว่างนั้นเขาค่อยๆออกจากบ้านอย่างเงียบเชียบ โดยไม่มีใครพบเห็นเขา

เมื่อกลับมายังระหว่างทางกลับบ้าน

ท่ามกลางราตรีของเมืองเยียนจิง เต็มไปด้วยไฟแสงสีเสียง ขาเรียวยาวสีขาวแกร่งไปมา ทำให้ค่ำคืนนี้มีมนต์เสน่ห์มากขึ้น บนท้องถนน มองเห็นรถสปอร์ตวิ่งไปมาละลานตา โดยในรถสปอร์ตมีหญิงสาวรูปร่างเหมือนนางแบบ กำลังโห่ร้องเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอยู่

สนามที่อยู่ตรงหน้า กลับมีคนคนหนึ่งกำลังคุกเข่า

มีกระสอบขาดๆ สวมทับชายหนุ่มเอาไว้ เขาคุกเข่าอยู่ที่พื้น เอาหัวมุดเข้าไปในดินสีเหลืองๆ

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มีแผ่นไม้แขวนเอาไว้ เขาขอแค่เงินห้าแสน ขายตัวเพื่อทำศพให้พ่อ

เงินห้าแสน มันไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ได้น้อย มันเป็นรายได้ของครอบครัวธรรมดาๆถึงสองสามปีเลย

รอบๆชายหนุ่ม มีผู้ชมยืนมองดูอยู่

“ขายตัวเพื่อจัดงานศพให้พ่อ?นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ทำไมยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก?”

“จริงด้วย ผู้ชายคนนี้สวมเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ คงไม่ได้เป็นคนบ้าหรอกนะ?”

“ฉันว่านะ ส่วนใหญ่เป็นแก๊งต้มตุ๋นน่ะสิ มาหลอกเอาเงินคนอื่น!”

คนที่ยืนดูอยู่ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา

ฉากแบบนี้พวกเขาเคยเห็นแค่ในซีรีส์ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนคุกเข่าอยู่บนท้องถนน ขายตัวเพื่อหาเงินจัดงานศพให้พ่อ

ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น สวมเสื้อผ้าบางๆเก่าๆ เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของคนที่อยู่รอบๆ แต่เขายังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น ไม่ขยับไปไหน

“นี่ เงินห้าแสนซื้อตัวนายไป นายทำอะไรได้บ้าง?”คนที่อยู่ข้างๆถาม

“นอกจากเรื่องไม่ดีแล้ว ผมทำได้ทุกอย่างเลยครับ”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา คิ้วดกดำดั่งสีหมึก ดวงตาเป็นประกาย

“ให้นายไปตาย นายก็จะไปตายใช่ไหม?”มีคนพูดขำๆ

ชายหนุ่มพยักหน้าพูดอย่างจริงจัง“ครับ!”

“พรืดฮ่าๆๆ……”

คนที่ยืนมองดูอยู่รอบๆระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ไอ้หมอนี่ต้องเป็นสิบแปดมงกุฎแน่ๆไม่ต้องสงสัย

ในเวลานี้เอง มีบัตรธนาคารใบหนึ่งหล่นตรงหน้าของชายหนุ่ม“ในนี้มีห้าแสน ไม่มีรหา หลังจากจัดการงานศพพ่อนายเสร็จ ค่อยมาให้ฉัน”

ชายหนุ่มรีบคว้าบัตรใบนั้นเอาไว้ แล้วมองไปยังแผ่นหลังที่เดินจากไปแล้วของมู่เซิ่ง

“เชี่ย มีคนโง่เชื่อจริงๆหรอเนี่ย?”

“ห้าแสน มันเงินไม่ใช่น้อยเลยนะ”

กลุ่มคนอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ