ตอนที่ 161 แล้วทำไมผมต้องช่วยเขา

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 161 แล้วทำไมผมต้องช่วยเขา

เด็กน้อยแทะน่องไก่จนปากมันเยิ้มและตะโกนขึ้นมาจากด้านข้างว่า “หนูก็อยากกลับไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าด้วย”

หลินม่ายส่ายหน้าเบา ๆ “เอาไว้ครั้งหน้านะ รอให้อาการลูกดีขึ้นกว่านี้ก่อน แม่จะพาไปด้วย”

เด็กหญิงก้มศีรษะกลมลงอย่างเสียดาย หลินม่ายและฟางจั๋วหรานต้องเข้าไปปลอบเธออยู่นานกว่าโต้วโต้วจะอารมณ์ดีขึ้น

หลังจากกินข้าวเสร็จโต้วโต้วก็เพลียแล้วผล็อยหลับไป แล้วฟางจั๋วหรานก็ขับรถกลับบ้าน

เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็พบเพื่อนร่วมงานที่อยู่ตึกเดียวกันรออยู่ตรงทางเข้า

เพื่อนบ้านเอ่ยถามขึ้น “วันนี้คุณไปไหนกันมา มีแขกมารอเจอตั้งแต่เช้าเลย”

ฟางจั๋วหรานขอบคุณเพื่อนบ้าน แล้วพยายามคิดว่าใครกันที่จะมารออยู่

ไม่น่าจะเป็นจั๋วเยวี่ย

แม้ว่าน้องชายของเขาจะชอบไปออกไปไหนมาไหน แต่ก็ไม่น่าจะมาที่นี่

และต่อให้มาจริงก็คงไม่รอเขาตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ได้

ถ้าเห็นว่าเขาไม่อยู่ ก็คงจะรออยู่สักพักแล้วไปหาเพื่อนคนอื่น ๆ แล้ว

แถมอีกฝ่ายยังมีหอพักให้กลับไปนอนกับเพื่อนได้

ตั้งแต่เริ่มทำงานเขาก็มีที่อยู่เพิ่มเป็นหอพักสวัสดิการของที่ทำงาน

นอกจากจั๋วเยวี่ยแล้วฟางจั๋วหรานก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีใครมาหาเขาได้อีก

เมื่อไปถึงชั้นสามที่เป็นชั้นของเขา ก็พบว่าครอบครัวของหวังหรงรออยู่ แถมยังมีคุณย่าหวังมาที่นี่ด้วย ทำเอาเจ้าของห้องอย่างเขาขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

หวังหรงเห็นเขาจึงเริ่มบ่นขึ้นมา “พี่ไปไหนมาเนี่ย คุณย่ารอพี่มาหกหรือเจ็ดชั่วโมงได้แล้วมั้ง”

“วันหยุดก็อยากออกไปพักผ่อนบ้างสิ”

ฟางจั๋วหรานถามอย่างเรียบเฉย “คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ”

ขาของหญิงชราอยู่ในอาการเมื่อยล้าเพราะต้องยืนรอเขาอยู่นาน

นางไม่ได้สนใจความเย็นชาของเจ้าของห้อง รีบเร่งให้เขาพาเข้าไปด้านใน “เปิดประตูที เมื่อยจะแย่อยู่แล้ว”

คุณหมอฟางเปิดประตู หวังหรงรีบเข้าไปช่วยพยุงคุณย่าหวังให้เข้าไปในห้องและนั่งลงที่โซฟานุ่ม ๆ ทำให้ท่านรู้สึกสบายขึ้น

แม่หรงตรงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารกลางวัน พวกเขายังไม่มีใครได้กินมื้อเที่ยง ท้องร้องโครกครากด้วยอาการหิวโหย

แต่เมื่อเข้าไปในห้องครัวก็พบว่าทุกอย่างช่างสะอาดหมดจด ครัวแสนว่างเปล่า ไม่มีวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงอะไรนอกจาก ไข่ บะหมี่ และต้นหอมอีกนิดหน่อย

แม่หรงจำใจต้องเลือกเมนูบะหมี่ด้วยความสิ้นหวัง

ส่วนหวังหรงกำลังนวดขาให้คุณย่าหวังอยู่ภายในห้องนั่งเล่น

คุณย่าหวังหันมาพูดกับจั๋วหราน “ยายไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากมาหาหลานที่นี่ ยังไงหลานช่วยเสี่ยวเฉียงกับเพื่อนเขาหน่อยได้ไหม

ฟางจั๋วหรานมองหญิงชราด้วยความอ่อนใจ เพราะเขามักจะเป็นคนอ่อนโยนอยู่เสมอจึงไม่สามารถเมินเฉยคำขอนั้นไปได้ง่าย ๆ “คุณยายเคยบอกผมว่าไม่ให้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่เหรอครับ ทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วล่ะ”

หญิงชราสะอึกไปครู่ใหญ่แล้วเอ่ยต่ออย่างช่วยไม่ได้ “ยายไม่มีทางเลือก เสี่ยวเฉียงกำลังจะติดคุก ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างเขาคงได้หมดอนาคตแน่”

ฟางจั๋วหรานแค่นหัวเราะขึ้นมา “แล้วคุณยายได้คิดถึงอนาคตหรือชีวิตของผมที่ต้องเอาไปเสี่ยงเพื่อช่วยเสี่ยวเฉียงบ้างหรือเปล่าครับ”

พ่อหรงพูดขึ้นอย่างเหลืออด “จะเสี่ยงแค่ไหนก็ควรทำเพื่อเสี่ยวเฉียงสิ แกเป็นหมอที่ทั้งเก่งทั้งมีชื่อเสียง ใครจะมากล้าทำอะไร นอกจากว่าเจ้าคนพวกนั้นจะไม่ป่วยอีกตลอดชีวิต”

คุณหมอฟางตอบเถียงกลับทันที “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยเลยว่าหมอคนไหนจะมีสิทธิพิเศษอยู่เหนือกฎหมายได้”

คุณย่าหวังจ้องเขม็งไปที่ลูกชายเพื่อหยุดเขาแล้วเริ่มใช้ท่าทีอ้อนวอนแทน “หลานอาจจะเสี่ยงที่ต้องไปช่วยเสี่ยวฉียง แต่ถ้าไม่ช่วยเขาเสี่ยวเฉียงจะต้องติดคุกแน่ ๆ แล้วนะ”

คนเป็นหลานชายถามกลับ “ต่อให้ไม่ต้องเสี่ยงผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องช่วยเขาเลยนะ”

มือเหี่ยวย่นของหญิงชรายื่นมากุมมือเขาไว้ “มองหน้ายายสิ ถ้าเสี่ยวเฉียงติดคุก ยายคงอยู่ไม่ได้แน่ ๆ “

“แล้วถ้าเป็นผมที่อนาคตต้องพังเพราะไปช่วยเขา คุณยายจะรู้สึกแบบนี้ไหมครับ”

คุณย่าหวังรู้สึกขัดใจขึ้นมา “แต่มันอาจจะไม่ถึงขนาดนั้นนี่”

ชายหนุ่มเริ่มตั้งคำถามกับยายของเขา “แล้วถ้ามันถึงขนาดนั้นล่ะครับ?”

คุณย่าหวังถึงกับพูดไม่ออก

พ่อหวังออกโรงพูดขึ้นมาอีกบ้าง “ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็จะหาคนมาช่วยไง”

“ใครจะมาช่วยผม?” ฟางจั๋วหรานมองกลับไปอย่างเย็นชา “ผมคงทำได้แค่ขอให้พ่อกับป้าช่วย ถ้าหาคนมาช่วยผมได้จริง งั้นก็ไปขอให้เขาช่วยหวังเฉียงไปเลยสิครับ น่าจะรู้จักคนใหญ่คนโตเยอะนี่ ผมไม่เข้าใจ ทำไมไม่ไปขอให้พวกเขาช่วย พวกเขาเป็นลุงเป็นป้าของหวังเฉียง ดูจะเกี่ยวข้องกับเขามากกว่าผมซะอีกพวกคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่”

คุณย่าหวังรู้ดีในข้อนั้น พวกเขามีญาติ ๆ อีกหลายคนให้ไปขอความช่วยเหลือ แต่หล่อนแค่ไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องมาเดือดร้อน พัวพันกับเรื่องแบบนี้ ก็เลยมาที่นี่เพื่อบีบให้คุณหมอฟางช่วย

หญิงชราถามด้วยเสียงสั่นเครือ “นี่หมายความว่ายังไงก็จะไม่ช่วยเสี่ยวเฉียงงั้นเหรอ”

“ใช่ครับ” ฟางจั๋วหรานตอบอย่างเด็ดขาด “ผมช่วยประกันตัวหวังหรงให้แล้วคุณยายยังจะต้องการอะไรอีก ไม่ใช่ว่าไม่เหลือใครแล้วซักหน่อย ทำไมอะไร ๆ ก็ต้องเป็นผมตลอด”

หลังจากที่หาทางเกลี้ยกล่อมหลานชายอยู่นาน จนแม้แต่แม่เฒ่าหวังก็กินบะหมี่จนหมด ฟางจั๋วหรานก็ไม่มีวี่แววว่าจะยอมช่วย ครอบครัวหวังจึงยอมล่าถอยไปอย่างเคือง ๆ

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เขาไม่จำเป็นจะต้องมาลังเลด้วยซ้ำกับคนพวกนี้

ตั้งแต่แม่ของเขาจากไป พ่อก็แต่งงานใหม่ แม่เลี้ยงไม่เคยเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกเลยจนคุณปู่คุณย่าต้องมารับไปเลี้ยงดู

ตอนนั้นคุณปู่คุณย่างานยุ่งมาก พวกเขาหัวหมุนอยู่กับการทำงานจนแทบไม่มีเวลาให้หลาน

พอคุณยายเห็นแบบนั้นก็เลยอาสามาช่วยดูแลเขา

ในตอนที่ยังเด็กเขามักจะเข้าใจว่าที่คุณยายทำแบบนั้นเพราะความรักอย่างจริงใจ แต่พอยิ่งโตก็เริ่มเข้าใจว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

เขาเองก็ไม่ได้อยากจะคิดจุกจิกกับเรื่องเหล่านี้ ปล่อยให้มันผ่าน ๆ ไป แต่สิ่งที่คุณยายและครอบครัวของนางทำในตอนนี้เป็นการล้ำเส้นเกินไปแล้ว

เผลอแปปเดียววันไหว้บ๊ะจ่างก็ใกล้เข้ามา เช้านี้หลินม่ายและฟางจั๋วหรานไปซื้อของขวัญ กินมื้อกลางวันด้วยกันแล้วก็เดินทางกลับไปบ้านในชนบท

คุณปู่คุณย่าฟางรู้ดีว่าหลินม่ายจะกลับมา แต่ไม่คาดคิดว่าฟางจั๋วหรานจะกลับมาด้วย

พอได้เจอหน้าหลานชาย ท่านทั้งสองจึงดีใจเป็นอย่างมาก

แต่พวกท่านเองก็เป็นห่วงเกี่ยวกับอาการของโต้วโต้วมากด้วยเช่นกัน พากันถามไถ่ว่าหลานน้อยเป็นอย่างไรบ้าง

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “ตอนนี้อาการฟื้นตัวดีแล้วค่ะ เราถึงได้กล้ากลับมาที่นี่พร้อมกัน ไม่งั้นคงจะต้องมีคนหนึ่งอยู่เฝ้าแกก่อน”

ฟางจั๋วหรานยังเสริมอีกว่า “ถ้าคุณปู่คุณย่าเป็นห่วง วันไหว้บ๊ะจ่างเราเข้าเมืองไปหาโต้วโต้วด้วยกันก็ได้นะครับ”

เขาตั้งใจอยู่แล้วว่าอยากจะมารับพวกท่านเข้าไปในเมืองเพื่อฉลองวันไหว้บ๊ะจ่างด้วยกัน

ผู้สูงอายุทั้งสองได้ยินแบบนั้นก็ตาเป็นกระกายพร้อมตอบตกลงในทันที

ถึงจะไม่ได้มีเรื่องโต้วโต้วมาเกี่ยวข้อง พวกท่านก็แอบหวังว่าจะได้เข้าเมืองไปฉลองกับลูกหลาน หรือไม่ก็อยากให้พวกเขากลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้านในช่วงเทศกาลแบบนี้

เมื่ออายุมากขึ้นก็ยิ่งอยากจะอยู่ด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวให้ได้มากที่สุด

หลินม่ายและฟางจั๋วหรานเอาของขวัญที่เตรียมมามอบให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง

เมื่อคุณย่าฟางเห็นว่าหลานชายซื้อนมมอลต์ผงมาฝากมากมายก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม “ครั้งก่อนที่ซื้อแล้วฝากหลินม่ายเอามาให้ปู่กับย่ายังกินไม่ทันหมดเลย ซื้อมาอีกเยอะขนาดนี้ไม่เปลืองเงินแย่เหรอ”

คุณหมอฟางกลับมีสีหน้างงงวยกับคำถามนั้น “ผมไม่เคยฝากให้ม่ายจื่อเอานมมอลต์มาให้เลยนะ”

สายตาทุกคู่จึงหันไปจับจ้องที่หลินม่ายเป็นตาเดียว

หญิงสาวจึงยิ้มแหยเมื่อถูกจับได้ “ฉันเป็นคนซื้อเองค่ะ แล้วบอกว่าอาจารย์เป็นคนให้เอามาฝาก”

เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสองส่งสายตามีเลศนัยออกมาแบบนั้นเธอจึงรีบพูดต่ออย่างร้อนรน “แต่…ฉันซื้อหรือเขาซื้อ ปลายทางมันก็เหมือนกันนี่คะ”

แต่พอมาคิดอีกที การบอกไปแบบนั้นกลับยิ่งทำให้ทุกอย่างมันฟังดูแปลกมากเข้าไปกว่าเดิม เพราะมันเป็นคำตอบที่ดูราวกับว่าพวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์บางอย่างมากกว่าพี่น้องที่รู้จักกัน

ค่อยยังชั่วที่ไม่มีใครทักขึ้นมา

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่หมอจะไม่ทนแล้วนะคะ อย่าบีบพี่หมอให้ทำเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของเขาเลย

ไหหม่า(海馬)