บทที่ 142 รู้ความจริง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

ทุกคนที่รู้จักมักคุ้นกับแม่นางเหยาต่างมั่นใจว่าแม่นางเหยาไม่มีทางทำเรื่องหยาบช้าเช่นนี้แน่นอน

แม่นางเหยามีอาการซึมเศร้าและควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เกิดวันใดปะทุขึ้นมา ก็เป็นไปได้ที่นางจะเสียศูนย์

แต่สภาพของแม่เหยาในตอนนี้กลับดูมีสติสัมปชัญญะและดูชัดเจนมาก ทั้งอารมณ์ก็นิ่งสงบ ที่นางตบหน้าอนุหลิงเช่นนั้น นางตั้งใจให้มันเกิดขึ้นจริงๆ เพราะมองว่าสมควรแล้ว

สายตาแม่นางเหยาเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น “ตบนี้ ข้าขอคืนให้เจ้า โทษฐานที่เจ้าทำให้ลูกสาวข้าต้องมาพะวง”

คนเป็นแม่ ไม่มีวันที่ยอมให้ตัวเองต้องมาตกระกำลำบากและยอมโดนผู้อื่นข่มเหงย่ำยีต่อหน้าลูกของตน

นางอยากเป็นแม่ที่เข้มแข็งเพื่อที่จะปกป้องลูก จะไม่ยอมให้พวกเขาต้องถูกรังแกทั้งทางร่างกายและจิตใจ

มุมปากของอนุหลิงเริ่มมีเลือดไหลซิบ เห็นได้ชัดว่าแม่นางเหยาลงแรงฝ่ามืออย่างหนัก

อนุหลิงปาดรอยเลือดออก แล้วเค้นเสียงหัวเราะดังลั่น “ฮูหยินว่าอย่างไรนะเจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ”

แม่นางเหยาแสยะยิ้มให้ก่อนเอ่ย “เจ้ายังมีหน้าเอ่ยเรียกข้าอีกรึ”

อนุหลิงมองช้อนด้วยนัยน์ตาขุ่นเขียว ราวกับไม่อยากจะเล่นละครตบตาอีกต่อไป จากนั้นเค้นเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นออกมา “ฮูหยิน ฟั่นเฟือนไปแล้วรึ แค่ทำหน้าที่ดูแลฮูหยินใหญ่ตั้งแต่เช้า คิดว่าตัวเองจะได้เป็นคุณนายใหญ่ของจวนแล้วสิ”

“ข้าจะคิดหรือไม่คิด ข้าก็เป็นฮูหยินประจำจวนโหวนี้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นท่านเองเสียมากกว่ากระมัง ที่นึกสำคัญตนเกินตัว แต่เจ้ามันก็แค่หญิงโง่คนหนึ่ง ที่ข้าตบเจ้า ก็เพื่อจะสั่งสอนเจ้า แน่จริงก็มาฟ้องข้าสิ!”

อนุหลิงยังคงทำหน้ายิ้มเยาะ “ฮูหยิน คิดว่าข้าไม่กล้างั้นรึ”

แม่นางเหยามองคนตรงหน้าด้วยสายตาท้าทาย “ถ้าเจ้ากล้า ข้าก็กล้าเหมือนกัน เจ้าเคยทำอะไรกับข้าไว้ น่าจะรู้อยู่แก่ใจ”

นี่คงเป็นครั้งแรกที่อนุหลิงรู้สึกไม่กล้าสู้หน้ากับแม่นางเหยา นางเบือนหน้าหนีทำท่ากะบึงกะบอน “ฮูหยินหมายความเช่นไร ข้าไม่เข้าใจ”

แม่นางเหยาถลึงตาใส่ “ถ้าเจ้ายังอยากทำเป็นหูทวนลมอยู่แบบนี้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเอง ว่าที่ข้าไม่โต้กลับ ไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่ข้าขี้คร้านจะยุ่งกับคนอย่างเจ้าต่างหาก!”

ทันใดนั้น อนุหลิงทำเป็นหัวเราะระริกระรี้ “ข้ารู้ว่าท่านไม่เกรงกลัวว่าตัวท่านเองจะเสียชื่อเสียงเรียงนาม ฐานันดร สมบัตินอกกายกรอกจริงไหม ข้าจำได้ว่าท่านเคยพูดไว้”

แม่นางเหยาก้าวเท้าไปด้านหน้า จ้องเข้าไปในดวงตาของอนุหลิง “ข้าไม่กลัวหรอก แต่ข้ารู้ว่าเจ้ากลัว เพราะงั้น อย่าหวังว่าจะได้อะไรไปเลย!”

“เจ้า…”

อนุหลิงพูดไม่ออก

ประโยคเมื่อครู่ของแม่นางเหยานับว่าแทงใจดำอนุหลิงมิใช้น้อย

แม่นางเหยาไม่สนว่าสิ่งที่อนุหลิงต้องการคือฐานันดรฮูหยินใหญ่ประจำจวนโหว รวมถึงความรักใคร่เอ็นดูจากท่านโหวกู้ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาอันงดงามของแม่นางเหยา ความไม่เป็นปรปักษ์กับใครของแม่นางเหยา สิ่งเหล่านี้ ต่อให้อนุหลิงพยายามมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้มันมาแน่นอน

อนุหลิงกำหมัดแน่น ทำเป็นระแวงซ้ายขวา ก่อนจะเอ่ยกับแม่นางเหยาต่อ “คนอย่างเจ้าจะสูงส่งกว่าข้าสักแค่ไหนกันเชียว พี่สาวของข้าสงสารที่ตระกูลเจ้าฐานะตกต่ำ ทั้งยังมองข้ามอายุของเจ้า นางมอบความเป็นพี่น้องให้แก่เจ้า แต่เจ้ากลับแย่งสามีของนางไป”

แม่นางเหยารู้ดีว่าอนุหลิงกำลังยุแยงให้ตนโกรธ เรื่องที่เกิดขึ้น พวกนางต่างรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะใคร

ตนมิใช่แม่นางเหยาคนเดิมที่ต้องคอยให้คนมาจูงจมูกอีกต่อไป แม่นางเหยายิ้มหยัน แล้วตอบออกไป “อย่างน้อยข้าก็แย่งสามีของพี่สาวเจ้ามาได้ แล้วเจ้าล่ะ ข้าไม่อยู่ที่จวนโหวมาตั้งสิบปี เจ้ามีเวลาตั้งมากมาย ข้าไม่ยักกะเห็นว่าเจ้าจะชนะใจสามีข้าได้เลย นี่เจ้าพยายามแล้วจริงหรือ”

อนุหลิงโกรธจนแทบกระอักเลือด ทุกคำทุกประโยคของแม่นางเหยาเฉือนแทงใจดำของนาง

นางไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองย่อยยับเท่านี้มาก่อน

มันช่างน่าอับอายเสียยิ่งกว่าตอนที่ถูกตบเสียอีก

เมื่อแม่นางเหยาเห็นว่าครั้งนี้ตนกำราบคนตรงหน้าได้แล้วก็หรี่ตามองอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเดินออกไปอย่างคนชนะ!

บ่าวของอนุหลิงเพิ่งจะเข้ามาในตอนที่แม่นางเหยาเดินออกไปไกลแล้ว “อนุหลิง เจ็บมากไหมเจ้าคะ ฮูหยินทำกันเกินไปแล้วนะ ทำไมต้องมาทำร้ายท่านด้วย พวกเราไปบอกฮูหยินใหญ่ลงโทษนางกันเถอะเจ้าค่ะ!”

อนุหลิงเอามือลูบบนใบหน้าบริเวณที่โดนตบ “แค่นี้ข้าไม่สะทกสะท้านหรอก แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”

แม่นางเหยากลับไปที่เรือนของตัวเองแล้วเดินเข้าไปในห้องบรรทมโดยไม่มีบ่าวคอยติดตาม

วินาทีที่นางเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูสนิท ร่างของแม่นางเหยาก็พลันทรุดลงไปบนพื้นราวกับคนไร้เรี่ยวแรง

แม่นมฝางรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงรีบไปดูนายหญิงของตนเอง จากนั้นดันประตูห้องบรรทมออก

ก็พบร่างของแม่นางเหยานั่งทรุดลงบนพื้นอย่างหมดสภาพ

นึกว่านายหญิงจะไม่กลัวแล้วเสียอีก…

คงกลั้นเอาไว้จนวินาทีสุดท้ายสินะ

แม่นมฝางเป็นบ่าวข้างกายของแม่นางเหยา อายุมากกว่าแม่นางเหยาสิบปี คอยรับใช้ตั้งแต่แม่นางเหยายังอยู่ที่จวนเหยา เรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกันทั้งบ่าวทั้งนาย

นางรู้จักแม่นางเหยาดีที่สุด

นิสัยของแม่นางเหยาน่ะหรือ ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ไม่โหวกเหวกโวยวาย เป็นคนขี้หวาดระแวงนิดหน่อย

ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถูกบังคับให้ไปอยู่ที่หมู่บ้านหรอก

ตอนที่รู้ว่าแม่นางเหยาเข้าไปเจรจากับอนุหลิง แม่นมฝางก็นึกว่าจะแค่คุยกันเฉยๆ แต่กลับกลายเป็นว่าแม่นางเหยากล้าลงไม้ลงมือกับอนุหลิงเสียอย่างนั้น

ยังดีที่ตอนนี้แม่นางเหยาไม่ได้มีอาการป่วยแล้ว

พอเห็นแม่นางเหยาเป็นแบบนี้ ก็ทำเอาแม่นมฝางเองใจหายวาบ

“แม่นม…”

แม่นมฝางยิ้มให้คนตรงหน้า ก่อนจะคุกเข่าลงไปนั่งใกล้ๆ “ฮูหยินเก่งมากเลยเจ้าค่ะ ทั้งกล้าหาญและเข้มแข็ง เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะเจ้าคะ ใช้ความเป็นภรรยาหลวงให้เป็นประโยชน์ ถ้าฮูหยินทำท่าเกรงกลัว พวกนั้นก็จะยิ่งได้ใจเจ้าค่ะ พอพวกเรานิ่ง ก็ไม่มีใครยอมเชื่อพวกเรา ดังนั้นแล้ว ก็สู้ให้รู้กันไปเลยเจ้าค่ะ ให้พวกนั้นรู้ฤทธิ์เดชของพวกเราเสียบ้าง!”

แม่นางเหยาพยักหน้าให้ “เมื่อก่อนข้าไร้เดียงสายิ่งนัก คิดว่าการไม่ตอบโต้คือวิธีที่ดีที่สุด…แต่ข้าจะไม่ยอมเป็นคนโง่อีกต่อไปแล้ว”

ด้วยความที่งานฝ่ายยุทโธปกรณ์มาไม่ขาดสาย ท่านโหวกู้จึงไม่ได้กลับมาพักที่จวนตั้งแต่เมื่อวาน พอตกกลางคืน ท่านโหวกู้จึงแบกร่างอันเหนื่อยล้ากลับมาที่จวน

ท่านโหวกู้ไม่พูดพร่ำทำเพลง มุ่งหน้าไปที่เรือนของแม่นางเหยาก่อนที่อื่น

เขาพบว่าที่เรือนของแม่นางเหยายังไม่ดับไฟ นี่นางยังไม่นอนรึ

ท่านโหวกู้นึกดีใจ

ดูเหมือนว่าการที่เขาไปอยู่กับนางที่หมู่บ้านเป็นเวลากว่าครึ่งปีจะสัมฤทธิ์ผล ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มดีขึ้นแล้วจริงๆ

“ฮูหยิน ข้ากลับมาแล้ว!” ท่านโหวกู้เปิดประตูออกด้วยท่าทีสดชื่นยิ้มแย้ม

ทันทีที่เอ่ยจบ เสียงกระดานไม้ซักผ้าตกกระแทกพื้นพลันดังขึ้น

“เอ่อ นี่มัน…” ท่านโหวกู้ทำหน้างุนงง

“ได้ยินมาว่า ท่านเล่นงานเจียวเจียวอีกแล้วรึ” แม่นางเหยาหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา

ท่านโหวกู้ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ก่อนจะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ “ใครหน้าไหนมันแส่ไม่เข้าเรื่อง”

“หวงจงมาบอกข้าน่ะ” แม่นางเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

หวงจงที่ยืนหลบอยู่หลังเสาค่อยๆ โผล่หัวออกมา

“ไอ้คนทรยศ!” ท่านโหวกู้เปลี่ยนสีหน้าทันควัน

หวงจงรีบหลบน้านาย นี่แหละนะที่เขาเรียกว่า ผู้ใหญ่ตีกัน ผู้น้อยรับกรรม

ท่านทำอะไรไว้ก็รับผลกรรมนั้นไปเสียเถิด บ่าวขอไม่ยุ่งด้วยแล้ว!

แม่นางเหยาบอกให้หวงจงถอยออกไปนอกห้อง

ท่านโหวกู้เดินเข้ามาใกล้แม่นางเหยา กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะจูงมือแม่นางเหยา และในตอนนั้นเอง แม่นางเหยาก็ง้างมือขึ้นมาตบลงบนใบหน้าเขา

“เจ้าหมายถึงเหตุการณ์ที่หมู่บ้านใช่ไหม ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าสาบาน! ที่ข้าทำลงไป…เพราะข้าคิดว่านางจะทำร้ายเจ้า!”

“นางจะทำร้ายข้าได้อย่างไร ข้าเป็นแม่ของนางนะ!”

ทำไมจะไม่ได้กันเล่า

เขาเป็นพ่อแท้ๆ ของนาง ยังโดนนางตะลุมบอนเลย!

และไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย!

ทั้งถ่วงน้ำ ทั้งฉุดกระชากลากถู แล้วแขวนร่างเขาไว้บนต้นไม้!

ช่างน่าเวทนายิ่งนัก!

ขนาดว่าบางครั้งเขาไม่เคยไปหาเรื่องนางก่อน ก็ยังถูกนางเล่นงานจนเละเทะ!

แค่นึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เขาโดนนางต่อยที่ข้างหน้าศาลว่าการอำเภอ ก็ขนลุกซู่แล้ว!

เอาเป็นว่าเรื่องนี้เขาจะไม่พูดกับแม่นางเหยาอีก ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ท่านโหวกู้ทำท่าดึงๆ แขนเสื้อแม่นางเหยา “เอาละ ข้าผิดไปแล้ว ครั้งนั้นข้าผิดเอง ต่อไปไม่มีแล้ว”

“คนที่ท่านควรขอโทษไม่ใช่ข้า” แม่นางเหยาดึงแขนเสื้อตัวเองกลับไป จากนั้นหันหลังให้คนตรงหน้า “ถ้าเจียวเจียวไม่ให้อภัยท่าน ข้าเองก็จะไม่ให้อภัยท่านไปตลอดชีวิต!”

ท่านโหวกู้ทำหน้าละเหี่ยใจ พลางมองไปที่กระดานซักผ้าที่อยู่บนพื้น

ให้เขานั่งคุกเข่าตอนนี้เลยได้ไหม

ทุกคนที่เรือนรู้สึกเสียใจที่แม่นางเหยาไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ย แต่พวกเขาเคารพการตัดสินใจของนาง

หลังจากผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาครึ่งเดือน ในที่สุดโรงหมอของกู้เจียวก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

โรงหมอที่นี่มีสองชั้น พร้อมด้วยลานว่างด้านหลังและห้องเรียงแถวด้านหลัง

กู้เจียวให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ซึ่งต่างจากโรงหมอทั่วไป การขอปรึกษาทั้งหมดจะไม่ได้อยู่ที่ห้องต้อนรับ ดังนั้นที่ห้องตอนรับจะมีแค่โต๊ะและตู้ยาเป็นหลัก ห้องให้คำปรึกษาทั่วไปจะอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ส่วนห้องผู้ป่วยอยู่บนชั้นสอง

ส่วนห้องด้านหลัง พวกเขายังไม่ตัดสินใจว่าจะเอาไว้ทำอะไร แต่กู้เจียวคิดไว้ว่าจะทำเป็นห้องผ่าตัด

แน่นอนว่า นี่เป็นแผนในภายหลัง

“เจ้าว่าควรตั้งชื่อโรงหมอว่าอย่างไรดี” เถ้าแก่รองเอ่ยถามกู้เจียวที่กำลังพลิกอ่านคู่มืออยู่

“แล้วแต่ท่านเลย” กู้เจียวเอ่ย

ชื่ออะไรไม่สำคัญ หัวใจหลักอยู่ที่หมอและยา

คนเป็นหมอจะต้องเก่งและมีจรรยาบรรณ ส่วนยาจะต้องมีคุณภาพดี ราคายุติธรรม

โรงหมอของนางจะต้องเข้าถึงคนทุกชนชั้น

“เจ้าว่าชื่อเมี่ยวโส่วถังเป็นอย่างไร” เถ้าแก่รองเอ่ยชื่อขึ้นมาลอยๆ

“เมี่ยวโส่วหุยชุน ฟังดูดีนะ” กู้เจียวเห็นด้วย

เถ้าแก่รองกรอกตาไปมาอยู่พักนึง ก่อนจะถามย้ำ “เช่นนั้นก็ชื่อนี้เลยไหม”

“อืม” กู้เจียวพยักหน้า

เถ้าแก่รองปรบมือยกใหญ่ พลางโบกมือให้คนงาน “ยกป้ายร้านมาในนี้เลย!”

หุยชุนถัง เมี่ยวโส่วถัง

กู้เจียวทำท่าส่ายหัว ในสายตาของนาง ตอนนี้เถ้าแก่รองเหมือนเด็กน้อยที่กำลังมีไฟฮึดสู้กับอะไรบางอย่าง

เขาแลดูใส่ใจในการทำโรงหมอจริงๆ บางทีเขาอาจเกิดมาพร้อมกับความหลงใหลในอุตสาหกรรมนี้ มิฉะนั้น เขาคงไม่ถูกครอบครัวหูบีบบังคับ และเขายังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบริหารโรงหมอของตัวเอง

หลังจากที่เขาถูกตะเพิดออกจากตระกูลหู กลายเป็นว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าของโรงหมอหุยชุนถังที่หมู่บ้านชิงเฉวียนอีกต่อไป

แต่กระนั้น เขาก็ยังมีเส้นสายของเขาเหลืออยู่

หลังจากที่ผู้ดูแลหวังรู้ข่าวเรื่องนี้ ก็รีบบึ่งมาเมืองหลวงอย่างไม่ลังเล

หมอเฒ่าเองเดิมก็ว่าจะตามมาด้วยเช่นกัน แต่ด้วยความที่เขาอายุมากแล้ว เลยส่งลูกน้องของเขามาแทน

ลูกน้องของเขาเป็นคนที่ไว้วางใจได้เหมือนกัน พอมีความรู้เรื่องศาสตร์การแพทย์อยู่บ้าง อีกทั้งยังเป็นคนบุคลิกดีและขยันหมั่นเพียรอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีหมออีกคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว และอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้

หมอคนนั้นเคยมีปากเสียงกับน้องชายต่างแม่ของเถ้าแก่รอง เลยลาออกจากหุยชุนถัง เถ้าแก่รองจึงเรียกเขาให้มาทำงานที่นี่

ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้าแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่ดูฤกษ์เปิดโรงหมอเท่านั้น

เถ้าแก่รองเปิดดูปฏิทินฤกษ์ดี “วันที่ยี่สิบห้า ฤกษ์ดี เลือกเปิดวันนี้แหละ!”

ช่างบังเอิญนัก เพราะตรงกับวันเปิดเรียนของสำนักบัณฑิตสตรีพอดี

ข่าวสำนักศึกษาสตรีถูกแพร่กระจายไปทั่วแคว้น มีทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้านเกิดขึ้น แต่เมื่อมีการประกาศจากราชสำนักว่าสตรีที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงหลายคนถูกส่งเข้าเรียนในนั้น เสียงของฝ่ายค้านก็ค่อยๆ อ่อนลง

การเข้าเรียนสำนักบัณฑิตสตรีมีอยู่ด้วยกันสองทาง วิธีที่หนึ่งคือ เข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบ ผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมักเป็นสตรีที่มีความสามารถ ซึ่งมีชื่อเสียงมาช้านานในเมืองหลวง เช่น จวงเมิ่งเตี๋ย จวงเยว่ซี และกู้จิ่นอวี๋ เป็นต้น

ส่วนวิธีที่สองคือการสอบเข้า

เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ท่านโหวกู้เลยถูกสั่งห้ามไม่ให้ย่างกรายเข้าไปในห้องของแม่นางเหยาเป็นเวลาหลายวัน

แต่จะให้เขาไปขอโทษกู้เจียวก็กะไรอยู่ เขาเลยคิดหาวิธีอื่นในการแสดงความรักที่เขามีต่อลูกสาวให้แม่นางเหยาได้เห็น

ท่านโหวกู้เดินทางไปที่วังเพื่อขอพบกับซูเฟย “กระหม่อมขอส่งชื่อบุตรสาวเข้าเรียนในสำนักบัณฑิตได้หรือไม่”

“จิ่นอวี๋อยู่ในรายชื่อแล้วมิใช่หรือ” ซูเฟยทำหน้าฉงน

ท่านโหวกู้ลังเลอยู่พัก ก่อนจะเอ่ยอย่างเหนียมอาย “มิใช่จิ่นอวี๋พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็น…เจียวเจียว”

ซูเฟยเลิกคิ้วขึ้น “เจียวเจียวรึ เด็กสาวที่เติบโตในชนบทคนนั้นน่ะหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ซูเฟยไม่รู้จักกู้เจียวมาก่อน ด้วยความที่นางมิได้พอใจกับลูกของแม่นางเหยาอยู่แล้ว มิหนำซ้ำเด็กนั่นโตในชนบท แถมได้ยินมาว่าหน้าตาอัปลักษณ์ด้วย ถ้าให้เข้าเรียน คงเป็นที่หน้าอับอายของโจนโหวอย่างแน่นอน

ซูเฟยไม่เห็นด้วย

ท่านโหวกู้ยังคงพยายามโน้มนาว “…กระหม่อมรู้สึกผิดกับเด็กคนนี้มาก ให้นางไปใช้ชีวิตแบบนั้นตั้งนาน ทั้งลำบากทั้งทรมาน คนเป็นพ่ออย่างกระหม่อมไม่เคยมอบความรักให้นางเลยสักครั้ง เรื่องขอให้นางเข้าเรียนแค่นี้กระหม่อมยังไม่มีปัญญาทำให้นางเลย…”

ซูเฟยไม่ปักใจเชื่อว่าพี่ชายตนเองจะรักเด็กคนนั้นจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ไฉนถึงมาขอเอาป่านนี้ นี่มันก็ใกล้วันเปิดเรียนแล้ว

“แม่นางเหยาให้มาขอใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” ท่านโหวกู้ส่ายหัวรัว

คิดว่านางจะเชื่อรึ

แน่นอนว่าไม่

แต่ด้วยความที่เห็นแก่คนกันเอง ซูเฟยเลยยอมตอบตกลง

ซูเฟยไม่ค่อยคุ้นเคยกับไท่จื่อเท่าไหร่นัก ดังนั้นนางจึงตรงไปหาฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่มีความเห็นอะไร จึงสั่งให้คนไปที่วังบูรพาเพื่อนำหนังสือตอบรับเข้าเรียนแก่ซูเฟย