ตอนที่ 127 เจ้านักพรตตัวเหม็น

มู่อี้ได้เปลี่ยนน้ำในถังไปถึง 2 ครั้ง แต่ในตอนที่เขาออกมานั้นใบหน้าที่ซีดขาวและดูเหน็ดเหนื่อยของเขาก็หายไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดเมื่อดูจากภายนอกเขาก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติอีกต่อไป

แต่มีเพียงมู่อี้เท่านั้นที่รู้ว่านี่เป็นการรักษาแบบชั่วคราวเท่านั้นและการบาดเจ็บของเขาไม่อาจรักษาให้หายได้ด้วยการแช่ในน้ําสมุนไพรเพียงครั้งเดียว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาถึงต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้

แม้ว่าเขาจะยังไม่หายดีเป็นปกติแต่อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาที่จะรับมือกับสถานการณ์ในคืนนี้

” ท่านไม่จําเป็นต้องทําเช่นนี้” ในตอนที่มู่อี้ก้าวออกมาจากห้องนั้นเขาก็เห็นว่าโม่หรูเยียนยืนอยู่ที่ลานหน้าโรงเตี้ยม นางจ้องมองมาที่มู่และพูดออกมาทันที

“ข้าทําอะไรอย่างนั้นหรือ?” มู่อี้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

” ท่านก็ย่อมรู้แก่ใจดี” โม่หรูเยียนพูดออกมาอย่างจริงจัง

มู่อี้ย่อมเข้าใจดีว่าโม่หรูเยียนต้องการสื่อถึงเรื่องใดแต่เขาก็ยังตอบกลับไปว่า ” ท่านคิ ดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้ทําเพื่อท่านหรอกนะ”

เมื่อโม่หรูเยียนได้ฟังเช่นนี้นางก็ย่อมรู้ดีว่าคําพูดของมู่อี้ย่อมเป็นเพียงคําพูดแก้ตัวเพื่อปิดบังความจริงเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไรไม่หรูเยียนก็ย่อมเข้าใจเจตนาของเขาเป็นอย่างดี

“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านมาก” โม่หรูเยียนยิ้มให้มู่ทันที รอยยิ้มของนางในตอนนี้เป็นเหมือนกับดอกบัวที่บานขึ้นมาในเวลากลางคืน แม้มันจะเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่งดงามยิ่งกว่าปกติ อย่างน้อยนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มู่อี้ได้เห็นโม่หรูเยียนยิ้มออกมาเช่นนี้ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของโม่หรูเยียน เขาก็รู้สึกว่านางงดงามยิ่งขึ้นไปอีก

แต่โม่หรูเยียนก็ไม่ได้ยิ้มออกมาให้มู่ชื่นขมนานนัก เมื่อเห็นสีหน้าของมู่อี้รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็หายไปอย่างรวดเร็วและสีหน้าของนางก็กลับมาดูเย็นชาอีกครั้งหนึ่ง

“ข้าเองก็ต้องขอบคุณท่านด้วยเช่นกัน แต่ก็อย่างที่ข้าพูดไปนั่นแหละ ข้าไม่ได้ทําเพื่อท่านหรอกนะ” มู่อี้ตอบกลับมาทันที

เมื่อได้ยินคําพูดของมู่ โม่หรูเยียนก็หันหน้าไปอีกทางด้านหนึ่งและพูดพึมพํากับตัวเองว่า “เจ้านักพรตตัวเหม็น”

เมื่อมองไปที่ด้านหลังของโม่หรูเยียนในตอนนี้ มู่อี้ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาพูดออกไปว่า “รอยยิ้มของท่านคือสิ่งที่งดงามมาก”

เมื่อโม่หรูเยียนได้ยินคําพูดของมู่อี้ ร่างกายของนางก็สะดุ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็ก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าใครที่อยู่ที่นี้ก็ย่อมรู้สึกได้ว่านางต้องเป็นอายอย่างแน่นอน

หลังจากโม่หรูเยียนออกไปแล้ว มู่อี้ก็ยกแขนของตนเองขึ้นมาและลองดมกลิ่นจากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ “ข้าตัวเหม็นที่ไหนกัน? ช่างแปลกประหลาดจริงๆ”

ในตอนที่มู่อี้กลับไปที่ห้องของตนเองนั้น ต้าหนิวนั่งอยู่ที่พื้นและกําลังเล่นสนุกเพียงคนเดียว ไม่ใช่ว่ามันไม่อยากนั่งบนเก้าอี้แต่เก้าอี้ภายในห้องนั้นเล็กจนไม่อาจรับน้ำหนักของมันได้ หลังจากลองนั่งอยู่หลายครั้งต้าหนิวก็เลือกที่จะนั่งลงไปบนพื้นดีกว่า อย่างน้อยก็ทําให้มันรู้สึกสบายมากกว่า

มู่อี้หยิบต้นไผ่แห่งชีวิตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาทันที แสงที่มันส่องออกมามีตลงไปเล็กน้อย เมื่อเทียนกลับก่อนหน้านี้

บางทีการหยดเลือดลงไปในช่วงเวลากลางวันอาจจะทําให้ร่างกายของมู่อี้ต้องแบกรับอาการบาดเจ็บมากยิ่งขึ้นแต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นผลดีต่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์ ในตอนนี้ นางยังคงนอนหลับอยู่ภายในต้นไผ่เพื่อปรับสมดุลให้กับพลังที่เพิ่มขึ้นในร่างกายของนาง

มู่อี้นั่งลงบนเก้าอี้จากนั้นก็มองไปยังต้าหนิวที่กําลังจ้องมองมาที่เขาด้วยเช่นกันและจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาว่า “ต้าหนิว เจ้าคิดถึงบ้านบ้างหรือไม่?”

น่าเสียดายที่ต้าหนิวไม่ได้ตอบอะไรมู่อี้กลับมาเลย แม้ว่ามันจะดูไม่สนใจเขาแต่สายตาของมันก็จ้องมองไปที่ต้นไผ่แห่งชีวิตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วม่อี้ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หลังจากได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันสักพักหนึ่งเขาก็เริ่มเข้าใจเรื่องการแสดงออกของต้าหนิวและคําถามนี้แทนที่จะถามตาหนิวเขาควรถามตัวเองมากกว่า

แม้ว่าต้าหนิวจะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มู่อี้ก็รู้ดีว่าเขาคิดถึงบ้านของตนเองและอยากกลับไปที่ภูเขาฟุเนียว

ก่อนหน้านี้ท่านปู่เคยบอกกับเขาเอาไว้ว่า เมื่อมนุษย์ได้สร้างพันธะให้กับอะไรบางอย่างขึ้นมาก็ถือว่าได้สร้างความทุกข์ให้กับตนเองด้วยเช่นกัน ในตอนนี้เขารู้สึกเข้าใจแล้ว

มู่อี้สายศีรษะและไม่สนใจต้าหนิวอีกต่อไป จากนั้นเขาก็จุดตะเกียงทองแดงของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง

มู่อี้เริ่มเข้าสู่สมาธิในตอนนี้และด้าหนิวก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่สีหน้าของมันดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่

ช่วงเวลากลางคืนผ่านไปเรื่อยๆ

เสียงการเคลื่อนไหวที่ดังมาจากภายนอกทําให้มู่อี้ตื่นจากสมาธิของเขาทันที เขาลุกขึ้นมาและตรวจสอบยันต์ที่อยู่ในเสื้อคลุมของตนเองเป็นอย่างดี จากนั้นก็ถือตะเกียงทองแดงเอาไว้ในมือและเขาก็ตัดสินใจพกต้นไผ่แห่งชีวิตติดตัวเอาไว้ด้วยเช่นกัน

ต้าหนิวก็ยืนขึ้นมาอย่างเงียบๆ และเดินตามหลังมู่อี้ไปในตอนนี้

“ไปกันเถอะ” มู่อี้พูดขึ้นมาพร้อมกับเปิดประตูห้องและเดินออกไปทันที

ที่ลานด้านหน้าโรงเตี้ยมนั้นคบเพลิงถูกจุดขึ้นมาแล้วและผู้คุ้มกันหลายๆคนที่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าที่ดูดุดัน

โม่หรูเยียนยืนอยู่ด้านหน้าสุดในตอนนี้ นางสวมชุดเกราะสีดําและถือหอกของตนเองเอาไว้ในมือ และท่านลุงไฉก็ยืนอยู่ด้านหลังของนาง ในตอนนี้เขาสวมชุดเกราะแบบครึ่งตัวเอาไว้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเท่าชุดเกราะสีดําของโม่หรูเยียนแต่อย่างน้อยมันก็ยังปกป้องส่วนสําคัญบนร่างกายของเขาได้

การมาถึงของมู่อี้และต้าหนิวเป็นที่สนใจของผู้คุ้มกันทุกๆคนทันที แม้ว่ามู่อี้จะไม่เคยเปิดเผยฝีมือของตนเองออกไปก่อนหน้านี้แต่ต้าหนิวเพียงคนเดียวก็มากพอที่จะทําให้ทุกๆคนแสดงความเคารพออกมาแล้ว

ก่อนหน้านี้ต้าหนิวลงมือเพียงแค่คนเดียวก็สามารถหยุดกลุ่มโจรขี่ม้าเอาไว้ได้ พวกเขายังจําสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้และกลิ่นคาวเลือดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็ยังฝังอยู่ในจิตใจของพวกเขา

“ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือของท่าน ท่านลุงไฉรีบเดินเข้ามาหาทันทีเมื่อเขาเห็นมู่อี้ และกล่าวขอบคุณออกมา

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะคิดเอาไว้แล้วว่ามู่อี้คงไม่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่แน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่ามู่อี้จะปรากฏตัวขึ้นมาที่นตั้งแต่การต่อสู้ยังไม่เริ่มต้นขึ้น

เพราะวันนี้เป็นค่ำคืนสุดท้ายของการเดินทางจึงไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว ภายในโรงเตี้ยมนั้นมีเพียงเสี่ยวเอ้อและเจ้าของโรงเตี้ยมเท่านั้นที่อยู่ข้างในแต่พวกเขาก็ถูกสั่งให้ซ่อนตัวเป็นอย่างดี

และแทนที่จะรอให้ศัตรูโจมตีเข้ามา พวกเขาเลือกที่จะเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการต่อสู้ที่กําลังจะเข้ามานี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาชนะหรือแพ้ก็ตาม

“นี่เป็นเรื่องที่ข้าต้องลงมือด้วยเช่นกันขอรับ” มู่อี้พูดออกไปตามตรงและน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้มีการถ่อมตัวเลย อย่างที่เขาเคยพูดกับโม่หรูเยียนไปก่อนหน้านี้ เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปและพยายามหาให้เจอว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เขาอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับชวี่ยี่จวงและหวังว่าจะได้เจอเบาะแสของหลี่เฉียจื่อในการต่อสู้ครั้งนี้

ไม่อย่างนั้นแล้วมู่อี้ก็อาจจะแยกตัวเดินทางออกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้

แต่บางครั้งแม้ว่าเขาจะพูดความจริงออกไปก็คงไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอน อย่างเช่นโม่หรูเยียนและท่านลุงไฉในตอนนี้

แต่เพราะว่าท่านลุงไฉได้ผ่านประสบการณ์มามากมายและเมื่อเห็นว่ามู่อี้ไม่ใต้เต็มใจรับการขอบคุณของเขาสักเท่าไหร่ เขาก็เดินกลับมาพร้อมกับหยิบขวานยักษ์เล่มหนึ่งขึ้นมาทันที

ขวานยักษ์เล่นนี้คืออาวุธของหัวหน้ากลุ่มโจรอาชาทองคําที่เคยปะทะกับพวกเขาก่อนหน้านี้ และในตอนที่กําลังเก็บกวาดสนามรบนั้นท่านลุงไฉก็สั่งให้คนเก็บขวานยักษ์เล่นนี้กลับมาด้วย ก่อนหน้านี้เขาอยากจะมอบมันให้เป็นอาวุธของต้าหนิวแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดเลย

ขวานยักษ์เล่นนี้มีน้ำหนักอย่างน้อย 60 ชั่ง ซึ่งหนักเกินกว่าที่คนธรรมดาจะใช้ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นยอดฝีมือในด้านอาวุธหนักหรือไม่ก็คนอย่างคาหนิว

ต้าหนิวไม่ได้รู้สึกสนใจเลยเมื่อมันมองมาที่ขวานยักษ์เล่นนี้ กลับกันมันอยากจะออกไปต่อสู้ด้วยกําปั้นของตนเองมากกว่า แต่เมื่อมู่อี้ออกคําสั่งมันก็หยิบขวานยักษ์ขึ้นมาทันที

เมื่อทุกคนที่นี่เห็นต้าหนิวหยิบขวานยักษ์ขึ้นมาอาวุธชิ้นนี้ก็ดูเล็กลงไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าคมขวานนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าศีรษะของมนุษย์เสียอีกแต่เมื่อเทียบกับมือของท้าหนิวแล้วมันก็ดูเล็กเกินไปอยู่ที่

ต้าหนิวลองเหวี่ยงอาวุธในมือตู 2 ครั้งและสีหน้าของมันก็ดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ดูเหมือนมันกําลังพูดว่าอาวุธชิ้นนี้เบาเกินไป

แต่เสียงหวีดหวิว 2 ครั้งที่ดังขึ้นมาในอากาศนั้นก็ทําให้ท่านลุงไฉต้องก้าวถอยหลังกลับไปและมองมาที่ต้าหนิวด้วยความหวาดกลัว ในความคิดของเขาขวานยักษ์เล่มนี้เมื่ออยู่ในมือของต้าหนิวนั้นย่อมเหมาะสมอย่างยิ่ง

และเมื่อต้าหนิวได้ถืออาวุธเช่นนี้อยู่ในมือ ความน่าสะพรึงกลัวของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก

มู่อี้ไม่ได้สนใจตาหนิวอีกต่อไปและเดินเข้าไปหาโม่หรูเยียน