ตอนที่ 128 แฝดผีแห่งเหอเจี้ยน

“ถ้าหากเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไม่อาจจบลงได้ ข้าหวังว่าท่านจะรับปากข้าเรื่องหนึ่ง” เมื่อเห็นว่ามูอี้กําลังเดินเข้ามาหาโม่หรูเยียนก็พูดขึ้นมาทันที

โม่หรูเยียนไม่ใช่คนโง่ ศัตรูที่พวกนางกําลังจะพบเจอในคืนนี้ต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน ก่อนหน้านี้ในตอนที่เผชิญหน้ากับเงาดําตนนั้นนางเกือบจะเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้งแล้วและเสียงที่คล้ายกับนกหวีดที่ดังขึ้นมาในตอนนั้นทําให้นางรู้ว่าศัตรูไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่นอน

ไม่ว่ากลุ่มโจรอาชาทองคําจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่แต่นางก็เชื่อว่าศัตรูก็ไม่ต้องการให้ภารกิจคุ้มกันสินค้าของนางในครั้งนี้จบลงด้วยดีและคืนนี้ย่อมเป็นโอกาสสุดท้ายที่ศัตรูจะต้อ งลงมือแล้ว

แต่เมื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้กําลังจะมาถึง จิตใจของนางก็รู้สึกตกต่ําจนถึงขีดสุด

แต่เมื่อนางต้องเป็นผู้นําของกลุ่มผู้คุ้มกันจํานวนมากในตอนนี้นางย่อมไม่อาจแสดงอารมณ์ของตนเองออกไปได้ แม้แต่ตอนพูดคุยกับมู่อี้แต่นางก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ของตัวเองออกไปเช่นกัน

“ท่านพูดมาได้เลย แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะรับปากท่านได้หรือไม่ขอรับ” อี้ตอบกลับมาเบาๆ

โม่หรูเยียนจ้องมองมาที่เขาและพูดขึ้นมาว่า “ท่านยังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่?”

“ข้าก็แค่นักพรตตัวเหม็น” มู่ลี้ยิ้มและตอบกลับมา

การพูดคุยของทั้งสองคนไม่ได้ดังมากนักและพวกเขาก็เลือกที่จะใช้น้ําเสียงที่เบาจนแทบจะกระซิบดังนั้นผู้คุ้มกันคนอื่นๆจึงไม่มีทางได้ยินการสนทนาของพวกเขาอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินคําพูดของมู่อี้ โม่หรูเยียนก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันทีแต่นางก็ยังคงสูดหายใจ เข้าลึกๆและพูดขึ้นมาว่า “หากข้าตายไป โปรดพาทุกๆคนหนีไปแทนข้าด้วย”

“ดื้อด้านอะไรเช่นนี้” มู่อี้พูดออกมาโดยไม่ลังเลหลังจากได้ฟังคําขอร้องของโม่หรูเยียน

เห็นได้ชัดว่าโม่หรูเยียนย่อมมีความคิดอะไรบางอย่างในใจของนาง

แต่จากที่มู่ลองคิดดูนั้น ถ้าหากโม่หรูเยียนต้องการที่จะรักษาชีวิตของผู้คุ้มกันทุกคนจริงๆวิธีที่ดีที่สุดก็คือทิ้งสินค้าเอาไว้ที่นี่และพาคนออกเดินทางไปทันที เขาเชื่อว่าศัตรูคงไม่ไล่ตามมาสั่ง หารอย่างแน่นอน

แม้ว่าหากโม่หรูเยียนไม่อยากที่จะทิ้งสินค้าเอาไว้ที่นี่ ถ้าถึงเวลาที่ต้องพ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆนางก็สามารถหนี้ไปคนเดียว โดยไม่ต้องเสียสละชีวิตของตนเองก็ยังได้

อย่างน้อยในตอนที่ท่านปู่อบรมสั่งสอนมู่อี้นั้น ท่านปู่พูดอยู่เสมอว่าชีวิตของตนเองย่อมสําคัญมากที่สุดหากรอดชีวิตไปได้ก็ย่อมมีความหวังในอนาคต

น่าเสียดายที่ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของโม่หรูเยียนที่มีต่อสํานักคุ้มกันได้และเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าที่นางต้องทําแบบนี้ก็เพราะชื่อเสียงของสํานักคุ้มกัน ถ้าหากว่านางเลือกทิ้งสินค้าและหนีไปจริงๆเช่นนั้นชื่อเสียงของสํานักคุ้มกันโม่หยวนคงกลายเป็นเพียงเรื่องตลกในสายตาของคนอื่นๆและจากนี้เป็นต้นไปคงไม่มีใครเชื่อมั่นในสํานักคุ้มกันโม่หยวนอีกแล้ว

สําหรับบางคนนั้นชื่อเสียงสําคัญยิ่งกว่าสิ่งใด บางครั้งมันสําคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเองเสียอีก

ยิ่งไปกว่านั้นสายอาชีพผู้คุ้มกันนั้นก็ย่อมมีกฏเกณฑ์ด้วยเช่นกัน เมื่อไม่ทําตามกฏเกณฑ์ก็ย่อม ไม่สามารถเดินทางสายนี้อีกต่อไปได้

ดังนั้นสําหรับโม่หรูเยียนแล้ว แม้ว่านางต้องตายในการต่อสู้ที่กําลังจะเกิดขึ้นนี้ นางก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ อย่าพูดถึงเรื่องการให้ทิ้งสินค้าเอาไว้ที่นี่แล้วหนีไปเลย

แต่มุมมองของโม่หรูเยียนนั้นนางคิดว่า ตนเองสามารถตายได้ แต่กลุ่มผู้คุ้มกันที่เป็นลูกน้องของนางจะมาตายกันหมดที่นี้ไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเป็นผู้คุ้มกันได้อีกในอนาคตแต่ด้วยฝีมือของพวกเขาอย่างน้อยก็คงไม่อดตายอย่างแน่นอน

พวกเขายังมีความหวังในชีวิต

“ฮกก ฮูกก!”

ในตอนที่โม่หรูเยียนกําลังจะพูดต่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงนกฮูกที่ร้องออกมาในความมืดทันที

ทุกๆคนเตรียมพร้อมแล้วในตอนนี้

“ฮ่า ฮ่า!”

หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะที่น่าขนลุกดังขึ้นมา

ศัตรูดูเหมือนจะต้องการทําให้บรรยากาศในตอนนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงเลือกที่จะโจมตีด้านจิตใจของทุกๆคนก่อน

“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดถึงต้องแกล้งทําเป็นภูตผีวิญญาณด้วย?” สีหน้าของโม่หรูเยียนดูโกรธขึ้นมาเล็กน้อยและนางกระโดดขึ้นไปบนกําแพงของโรงเตี้ยมพร้อมกับหอกในมือของตนเอง )

” พรึบ!”

ในตอนที่โม่หรูเยียนกระโดดขึ้นไปบนกําแพงและกําลังจะยืนขึ้นมานั้น ทันใดนั้นเงาดําก็โจมตีออกมาอย่างกะทันหันทันที นางรีบใช้หอกของตนเองป้องกันตามสัญชาตญาณทันทีแต่ก็เห็นว่าสิ่งที่เงาดําใช้โจมตีออกมานั้นได้พัวพันกับหอกของนางเอาไว้

“อิ่ม!”

เมื่อเห็นเช่นนี้ไม่หรูเยียนก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเพียงแค่ถอนหายใจออกมา จากนั้นนางก็จับหอกด้วยสองมือเหมือนกับก่อนหน้านี้และบิดข้อมือหมุนวนทันที

“ฟีบ!”

ในตอนที่โม่หรูเยียนหมุนข้อมือของตนเองนั้น นางก็เห็นว่าหอกในมือหมุนวนอย่า งรวดเร็วและสิ่งที่พัวพันอยู่กับหอกของนางก่อนหน้านี้ก็หลุดออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นโม่หรูเยียนก็ดึงมือทั้งสองข้างที่จับหอกอยู่กลับมาทันที

แต่โม่หรูเยียนก็ไม่ได้ยืนอยู่บนกําแพงเพื่อเป็นเป้าหมายให้ศัตรูโจมตีอีกต่อไป นางก้าวถอยลงมาและกลับลงมาที่พื้นดินทันที

ในเวลาเดียวกันก็มีร่างเงา 2 ร่างปรากฏตัวขึ้นบนกําแพงที่นางยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ร่างหนึ่งสูงร่างหนึ่งเตี้ย รูปลักษณ์ของทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คนตัวเตี้ยนั้นถือแส้สีดําเอาไว้ในมือ มันน่าจะเป็นสิ่งที่พัวพันอยู่กับหอกของนางก่อนหน้านี้

คนร่างสูงนั้นยืนอยู่ข้างๆซ่อนมือของตนเองเอาไว้ใต้แขนเสื้อ เขามีใบหน้าที่ดูเกียจคร้าน ถ้าหากจะหาอะไรที่ทั้งสองคนมีเหมือนกันนั้น ก็ย่อมเป็นใบหน้าที่อัปลักษณ์

คนร่างเตี้ยนั้นมีใบหูขนาดใหญ่และจมูกของเขาก็ยื่นยาวออกมา ดวงตาเล็กๆของเขากำสั่งเหล่มองมาที่โม่หรูเยียนในตอนนี้ ขณะที่คนร่างสูงมีร่างกายที่ผอมบางจนเหมือนกับหนังหุ้มกระดูกดวงตาของเขายังคงปิดอยู่

” แฝดผีแห่งเหอเจี้ยน”

หลังจากที่ได้เห็นชายทั้งสองคนนี้สีหน้าของโม่หรูเยียนก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและนางก็พูดขึ้นมาทันที

“สาวน้อยเจ้ารู้จักฉายาของพี่ชายคนนี้ด้วยงั้นหรือ? ไม่เลว ไม่เลว แต่ข้าชอบฟังเสียงของหญิงสาวที่ครวญครางอยู่บนเตียงมากกว่า” ชายร่างเตี้ยเปิดปากพูดขึ้นมาทันที

“ปีศาจเหยาฟาง ผีหิวโหยเหยาไค หรือที่รู้จักกันดีในนามแฝดผีบ้ากาม พวกเราคือสํานักคุ้มกันโม่หยวนและพวกท่านเองก็ย่อมทราบดีว่าน้ําบ่อย่อมไม่ยุ่งกับน้ําคลอง เราต่างคนต่างอยู่ เหตุใดถึงมาขัดขวางพวกเราในวันนี้?” เมื่อเห็นทั้งสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ท่านลุงไฉก็พูดออกมาเสียงดังทันที

หลังจากได้ยินชื่อของทั้งสองคนแล้วสีหน้าของผู้คุ้มกันทุกๆคนที่อยู่ด้านหลังก็เปลี่ยนไปทันทีเห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้มีชื่อเสียงที่โด่งดังพอสมควร

” พวกเราสองคนพี่น้องขาดเงินอยู่นิดหน่อย ข้าได้ยินมาว่าสํานักคุ้มกันโม่หยวนได้รับการว่าจ้างครั้งใหญ่ จึงอยากจะมาขอยืมเงินสักหน่อย” เหยาฟางพูดขึ้นมาทันที

เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของท่านลุงไฉก็เปลี่ยนไปเช่นกันแต่เขาก็ยังพูดต่อไปว่า “ในเมื่อพวกท่านพูดออกมาเช่นนี้และสํานักคุ้มกันโม่หยวนของพวกเราก็ยังอยู่ในระหว่างการทําภารกิจให้เสร็จสิ้น หากท่านทั้งสองขาดเงินจริงๆ สํานักคุ้มกันโม่หยวนของข้าก็มีเมตตาที่จะมอบเงินให้พวกท่านเป็นจํานวน 1,000 ตําลึงเงินและข้าหวังว่าพวกท่านจะยินดีรับไว้และหลีกทางให้กับพวกเรา”

คําพูดของท่านลุงไฉนั้นดูสุภาพและกล้าหาญ มีทั้งอ่อนโยนและแข็งกร้าว และยังทําตามกลยุทธ์ของสํานักคุ้มกันภัยอีกด้วย แฝดผีแห่งเหอเจี้ยนนั้นมีชื่อเสียงที่โด่งดัง ถ้าหากมอบเงินให้อีกฝายและหลีกเลี่ยงการปะทะกันได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี

” 1,000 ตําลึงเงินหรือ ได้สิ” ไม่คิดเลยว่าเหยาฟางจะยอมตกลงแต่ในตอนที่ทุกๆคนคิดว่าปัญหาเรื่องนี้น่าจะจบลงแล้ว เหยาฟางก็ชี้นิ้วไปที่โม่หรูเยียนและพูดขึ้นมาว่า “แต่ต้องให้สาวน้อยผู้นี้นอนกับข้าสักคืนหนึ่ง”

ทันทีที่เขาพูดออกมานั้นสีหน้าของทุกๆคนก็ดูโกรธขึ้นมาทันที และท่าทีของผู้คุ้มกันทุกๆคนในตอนนี้แทบจะทนไม่ไหวที่จะได้ออกไปสังหารอีกฝ่าย

“เจ้าอยากตายมากนักสินะ” โม่หรูเยียนก็ยกหอกในมือของนางขึ้นมาและพูดออกไปทันที

” ช่างเป็นสาวน้อยที่เร่าร้อนจริงๆ แต่เจ้ามั่นใจได้เลยว่าพี่ชายคนนี้จะพาเจ้าไปถึงสวรรค์เอง”เหยาฟางยังคงเย้าแหยโม่หรูเยียนต่อไป

ในตอนที่โม่หรูเยียนเตรียมที่จะลงมือนั้น มู่อี้ที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าเพิ่งโกรธไป”

เมื่อได้ยินคําพูดของมูอี้ มือที่กําหอกเอาไว้แน่นของโม่หรูเยียนก็ผ่อนคลายลงพื้นที่อย่างเชื่อฟังความโกรธในใจของนางนั้นหายไปทันที่ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“เจ้านักพรตเต๋ปัญญาอ่อนผู้นี้มาจากที่ใดกัน กล้าขัดขวางบิดาเชียวหรือ?” เดิมทีเหยาฟางคิดว่าจะล่อลวงโม่หรูเยียนให้โจมตีออกมาด้วยความโกรธสําเร็จแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าคําพูดของมู่ลี้จะทําลายแผนการที่เขาสร้างขึ้นมาไปจนหมดสิ้น

” ต้าหนิว ฆ่าม

ใจคําพูดของอีกฝ่ายและออกคําสั่งทันที

ต้าหนิวยังคงจ้องมองขวานยักษ์ที่อยู่ในมือของมันด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่าย แต่หลังจากได้ยินเช่นนี้มันก็เงยหน้าขึ้นมาทันที