บทที่ 149 หาคนงานเพิ่ม
บทที่ 149 หาคนงานเพิ่ม

หลี่ฉางชิ่งสนใจแต่จะประจบสอพลอ เลยไม่ทันได้สังเกตเห็นความเศร้าโศกที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของซูฉางจิ่ว

“หัวหน้าชุมชนครับ ครั้งนี้ผมส่งไก่มาแค่ห้าร้อยตัวเท่านั้น ระยะเวลาค่อนข้างกระชั้นชิดแต่จะพยายามให้เต็มที่ครับ ส่วนอาทิตย์หน้าผมจะให้คนส่งมาอีกสี่ร้อยตัวครับ และอาทิตย์ต่อไปอีกสี่ร้อยตัว”

หลี่ฉางชิ่งมองซูเสี่ยวเถียนที่กำลังดูลูกไก่อยู่ เด็กหญิงคนนี้ดูไร้เดียงสา แต่เธอกลับทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ

น่าเสียดายที่ผู้หญิงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของเขาดันทำให้สาวน้อยขุ่นเคืองใจ

ซูเสี่ยวเถียนบังเอิญได้ยินคำพูดหลี่ฉางชิ่งพอดี ดวงตาพลันฉายแววประหลาดใจ ตอนนั้นคุยไว้ว่าพันตัวไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีอีกสามร้อยล่ะ?

“ก่อนหน้านี้ตกลงกับเสี่ยวเถียนดีแล้วว่าจะส่งลูกไก่หนึ่งพันตัวให้ แต่คิดไปคิดมา ลูกไก่เสียหายง่ายเลยส่งเพิ่มอีกสามร้อย”

ซูฉางจิ่วตื่นเต้นเกินกว่าจะพูดได้

ด้วยไก่พันสามร้อยตัวนี้ ชุมชนการผลิตหงซินของเรากำลังจะเติบโตแล้ว

แต่ความตื่นเต้นก็มีแค่เพียงชั่วครู่ เพราะความวิตกกังวลเป็นเรื่องหลักต่างหาก

ลูกไก่เยอะขนาดนี้ จำนวนเงินก็ไม่น้อยด้วย

ห้าร้อยอาจจะพอ แต่ถ้าพันสามเขาคงทำอะไรไม่ได้จริง ๆ

หัวหน้าชุมชนที่ทั้งจนทั้งล้าหลังอับอายที่ต้องใช้รองเท้าขาด ๆ ที่โชว์เท้าเปลือย ๆ ขุดเรือนสี่ประสาน

งั้นเขาควรหันไปพึ่งใครเพื่อแก้ปัญหาเรื่องเงินดีล่ะ?

“ผู้อำนวยการหลี่ ไก่พวกนี้ราคาเท่าไรครับ?” เสียงของซูฉางจิ่วเบาลงมากเมื่อถามคำถามนี้

หลี่ฉางชิ่งก็นับว่าฉลาดเช่นกัน จะมองไม่ได้ออกได้อย่างไรว่าหัวหน้าชุมชนคนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก

เขาหัวเราะเสียงดัง “ไก่พวกนี้ผมให้พวกคุณยืมก่อนครับ ส่วนราคาให้นักบัญชีของคุณคิดคำนวณมาแล้วทำบิลให้ผมด้วย เรื่องเงินก็เอามาหักกับค่าไข่ไก่ในอนาคตครับ!”

เขามาในครั้งนี้เพื่อซ่อมแซมความสัมพันธ์ ไม่ใช่เพื่อทำให้คนอื่นอับอาย

ซูฉางจิ่วรู้สึกสะเทือนใจจนไม่รู้จะพูดอะไร เขาคิดกับตัวเอง ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าคนในเมืองรับมือยาก แต่ทำไมผู้อำนวยการโรงงานที่อยู่เบื้องหน้าถึงคุยด้วยง่ายจัง

“ขอบคุณมากครับผู้อำนวยการหลี่ คุณคิดเพื่อชาวไร่ชาวนาแบบเราจริง ๆ!” เขากล่าวด้วยความสุภาพ

“หัวหน้าจะพูดสุภาพเกินไปแล้วครับ ถ้าไม่ได้พวกคุณทำไร่ทำนา พวกเราชาวเมืองจะกินอะไรกันล่ะ? แม้กระทั่งไข่ก็ยังต้องพึ่งพาพวกคุณเลย!”

ความคิดของหลี่ฉางชิ่งเป็นมิตรมาก และในไม่ช้าทั้งสองก็เรียกพี่เรียกน้องกัน บรรยากาศกลมกลืนกันมาก

ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนดูลูกไก่อยู่ข้าง ๆ ก็ให้ความสนใจกับบทสนทนานี้เช่นกัน และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าคนอย่างหลี่ฉางชิ่งมีความทะเยอทะยานสูงมาก!

ตอนนึกถึงเรื่องนี้ในหัวก็มีบางอย่างแวบเข้ามา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จับไว้แล้วปล่อยมันไป

คุยกับซูฉางจิ่วและคนอื่น ๆ อยู่นาน หลี่ฉางชิ่งเห็นว่าเวลาใกล้จะหมดลงแล้วจึงเสนอจะไปเยี่ยมคนบ้านซู

เขายังไม่ลืมที่จะบอกว่าเขาเคยเห็นผู้อาวุโสทั้งสองมาก่อน และจะมาเยี่ยมแน่นอนเมื่อมาหา

ซูฉางจิ่วไม่สงสัยเรื่องนี้เลย

เดิมทีซูเสี่ยวเถียนไม่คิดจะทักทายกับหลี่ฉางชิ่งไปมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่คัดค้านอีกต่อไป

หัวหน้าชุมชนอาสาจะพาผู้อำนวยการหลี่ไปบ้านซู

ชายผู้นี้เป็นคนฉลาด ของขวัญก่อนหน้านี้ที่มอบให้เฉินจื่ออันถูกส่งกลับมาทั้งหมด

ครั้งนี้มาบ้านซูจึงไม่กล้านำสิ่งของราคาแพงมา แต่เอาขนมไข่หลายจินมาแทน

“พวกนี้เป็นของที่โรงงานผมผลิตเองครับ ให้ผู้อาวุโสทั้งสองลองชิม เสนอความเห็นได้เลยนะครับ พวกเราจะได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น”

มือเอื้อมไม่พอยังยิ้มด้วย ท่าทางของหลี่ฉางชิ่งทำให้คนบ้านซูพูดอะไรมากไม่ได้

ในที่สุดคุณย่าซูก็ยอมรับขนมไข่มา

แต่เมื่อนึกถึงลูกสาวที่เอาของขวัญอีกฝ่ายคืน ก็รีบหาของมาให้ด้วยเช่นกัน

ของขวัญที่คุณย่าซูเตรียมไว้คือผักที่ปลูกเองที่บ้าน พวกกวางตุ้ง หัวไชเท้า และถั่วต่าง ๆ

หลี่ฉางชิ่งรู้ว่าบ้านซูปฏิเสธจะรับของเฉย ๆ ถึงจะน่าเสียดายไปหน่อย แต่ก็เป็นความสำเร็จขั้นแรกในการบรรลุเป้าหมายนี้

เขารับผักมาอย่างเริงร่า พูดว่าผักสดอย่างนั้นอย่างนี้อย่างสุภาพมาก

ความไม่พอใจในใจคุณปู่คุณย่าซูเลือนหายไปมากภายใต้คำเยินยอที่ตั้งใจของหลี่ฉางชิ่ง

ถึงขนาดเชิญให้ไปกินข้าวที่บ้านด้วย

“ไม่หรอกครับ ๆ อย่างไรเสียครั้งหน้าก็ต้องมารบกวนอีก วันนี้เย็นแล้ว ผมต้องรีบกลับแล้วครับ!” หลี่ฉางชิ่งโบกมือปฏิเสธซ้ำ ๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่ทักทายกัน เรื่องกินอะไรนั่นไว้โอกาสหน้าก็ได้

หลังจากส่งหลี่ฉางชิ่งไปแล้ว ซูฉางจิ่วก็เรียกประชุมพวกเจ้าหน้าที่ของชุมชนทันที

ก่อนหน้านี้มีแค่หวังเซียงฮวาและซูเสี่ยวเหมยที่ดูแลไก่สองร้อยตัวได้ แต่ตอนนี้ไก่เพิ่มขึ้นถึงห้าร้อยตัว คนสองคนไม่พอหรอก

สุดท้ายแล้วภายใต้การตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ของทุกคน จึงมีอีกสองคนได้รับคัดเลือกชั่วคราว คนแรกคือ เสี่ยวเฉ่า ลูกสาวของหัวหน้าซู ส่วนอีกคนคือ ฉางชุนจือ หลานสาวคนโตของบ้านฉาง

ตอนที่ข่าวไปถึงบ้านฉาง ยายฉางก็ตกอกตกใจมาก เกิดอะไรขึ้น? เด็กคนนี้มีเรื่องดี ๆ กับเขาแล้วหรือ?

“หัวหน้า คุณพูดจริง ๆ หรือ???” ยายฉางประหลาดใจมากจนเกือบหุบปากไม่ลง

ตระกูลผู้เฒ่าฉางเราเป็นคนนอก แล้วจะทำงานเป็นคนงานของฟาร์มไก่ได้อย่างไร

ยิ่งกว่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่เด็กสาวคนหนึ่งจะได้รับโอกาสที่ดีเช่นนี้

“หัวหน้า ไม่ได้หลอกยายแก่แบบฉันใช่ไหม?”

ซูฉางจิ่วยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า? ชุนจือบ้านคุณตั้งใจทำงานอยู่แล้ว ถึงได้เลือกเธอนี่ไง”

“จริงหรือเนี่ย” ยายฉางยังไม่เชื่อ!

“จริงซี่!”

“ชุนจือเอ้ย ชุนจือ แกได้ยินหรือยัง?” นางฉางตะโกนเรียกหลานสาวออกมา

ปกติแกจะเรียกหลานสาวว่านังเด็กสมควรตาย ไม่ก็เด็กเลี้ยงเสียข้าวสุก ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อหลานแบบนี้

พอฉางชุนจือได้ยินคุณย่าเรียกชื่อของตนเอง ก็ตกใจจนเกือบลื่นล้มหน้าคะมำ

“คุณย่า เกิดอะไรขึ้นคะ?” ฉางชุนจือพึมพำ เห็นหัวหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มนิด ๆ เท่านั้นเป็นการทักทาย

“ตายแล้ว… นังเด็กคนนี้… ไม่รู้จักเวลาโดนคนเรียกหรือไง?” ยายฉางกลัวมากว่าจะโดนรังเกียจเพราะหลานสาวไม่เข้าใจที่พูดจึงรีบสะกิด

“หัวหน้า เด็กคนนี้มันขี้อาย อย่าไปถือสาเลยนะ!” ยายฉางประจบ

“ไม่เป็นไร ๆ เด็กคนนี้ซื่อสัตย์ตั้งแต่เด็ก ฉันรู้ดี” ซูฉางจิ่วว่า “ชุนจือ ฟาร์มไก่ของชุมชนเรามีลูกไก่เพิ่มอีกห้าร้อยตัว ป้าใหญ่กับเสี่ยวเหมยดูแลไม่ไหว พวกเราเลยหารือกันและตัดสินใจให้เธอกับเสียวเฉ่าของฉันไปช่วย ตำแหน่งงานต่าง ๆ เหมือนกับพวกเสี่ยวเหมยเลย”

หลังจากฉางชุนจือได้ยินก็มองซูฉางจิ่วโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

งานฟาร์มไก่ คนในชุมชนชนล้วนอยากได้ อีกอย่างปกติแล้วในหนึ่งวันของผู้หญิงจะได้แต้มทำงานถึงเจ็ดคะแนน แต่ถ้าทำงานที่ฟาร์มไก่จะได้วันละเก้าคะแนน และอีกอย่างได้ยินว่าในอนาคตจะได้รับเงินเดือนด้วย หนึ่งเดือนได้เงินสนับสนุนถึงห้าหยวนเลยนะ

งานแบบนี้ ต่อให้ทุกคนในชุมชนมีคิวเป็นของตัวเอง แต่คิวก็ไม่ถึงเธออยู่ดี!

“เด็กคนนี้มีความสุขจนโง่ไปแล้วเรอะ? ทำไมยังไม่พูดอะไรอีก หัวหน้าเขาพูดด้วยน่ะเพราะว่าแกตั้งใจทำงานหนัก”

ยายฉางมีความสุขเหมือนมีดอกไม้บานบนใบหน้า แม้กระทั่งหลานสาวที่ไม่อยากเห็นก็ยังเพลินตาไม่น้อย

“หัวหน้าคะ ฉันจะทำงานให้ดีที่สุดค่ะ!” ฉางชุนจือพูดได้แค่นี้เท่านั้น

“งั้นรีบไปเก็บของไปฟาร์มไก่เถอะ คืนนี้ต้องนอนที่นั่นคืนหนึ่ง”

ซูฉางจิ่วเตือนอีกรอบแล้วหมุนตัวจากไป

ฉางชุนจือมองแผ่นหลังหัวหน้าตอนที่เดินไป แล้วน้ำตาไหลออกมาในที่สุด

“นังหนูนี่ ทำไมยังร้องไห้อีก” ยายฉางขมวดคิ้วตำหนิ “รีบไปเก็บข้าวของเลยไป แกไม่ต้องห่วง อาหารเย็นเดี๋ยวพวกฉันเอาไปส่งให้”

ที่บ้านตระกูลซู คุณย่ากับลูกสะใภ้สองคนกำลังง่วนอยู่กับการสับเนื้อ หั่นผัก และนวดแป้งเพื่อเตรียมทำเกี๊ยว

ส่วนพวกคุณปู่ทั้งสามกำลังสนทนาอยู่ในห้องหลัก

ฉืออี้หย่วนนั่งอยู่ในลานบ้านซู มองดูเสี่ยวเถียนวิ่งจับผีเสื้อไปมา

ผีเสื้อสีเหลืองสดบินไปมาท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้าในลานบ้าน ทุกครั้งที่เห็นผีเสื้อบินโฉบ ซูเสี่ยวเถียนก็จะเขย่งเท้ากระโดดจับ

แต่เหมือนเจ้าผีเสื้อจะรับรู้ได้ พอเสี่ยวเถียนเข้าไปใกล้ในระยะครึ่งฉื่อ มันกลับบินออกไป

เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งไปมา เหนื่อยจนหอบหายใจ แต่ผีเสื้อกลับบินข้ามกำแพงไปเสียแล้ว

“น่ารังเกียจจริง ๆ!” สาวน้อยกระทืบเท้าเบา ๆ

“เหนื่อยแล้วใช่ไหม มาดื่มน้ำหน่อยมา!” ฉืออี้หย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มมีรอยยิ้มสดใส ถึงเสี่ยวเถียนจะเคยเห็น แต่ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ

พอเห็นเด็กหญิงไม่เคลื่อนไหว ก็อดไม่ได้ที่จะกดยิ้มให้ลึกขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ผมด้วยความเอ็นดู!

แล้วเสี่ยวเถียนแสนซนก็หน้าแดงขึ้นทันที

ฉืออี้หย่วนเห็นแล้ว แต่ไม่คิดว่าเด็กหญิงจะเขินอาย เลยคิดว่าเธอแค่วิ่งจนร้อน

“นั่งลงมา ๆ พักสักหน่อย!” ท่าทางของเด็กหนุ่มอ่อนโยนเช่นเคย

“ขอบคุณค่ะพี่อี้หย่วน!” ซูเสี่ยวเถียนรีบรับถ้วยน้ำที่ทำจากไม้ไผ่มา

นี่คือถ้วยไม้ไผ่ที่ฉืออี้หย่วนทำเอง ถึงจะไม่สวยมาก แต่ขอบและมุมได้รับการขัดอย่างประณีตทำให้มันเรียบเนียน

ตอนนั้นเองที่ซูซื่อเลี่ยงวิ่งเข้ามาจากข้างนอก วิ่งจนแทบหมดลมหายใจ พอเห็นเสี่ยวเถียนถือแก้วน้ำก็หยิบไปโดยพลการแล้วดื่มลงไป

มือเสี่ยวเถียนว่างเปล่า ก่อนจะมองแก้วที่ว่างเปล่าแล้วในมือพี่รอง

ฉืออี้หย่วนมองซูซื่อเลี่ยงอย่างตกตะลึง

มุมปากซูซื่อเลี่ยงปรากฏรอยยิ้มที่สังเกตเห็นได้ยาก