ทว่า คำสบถก็พลันดังขึ้นมาจากปลายสายทันที “ถามจริง? นายให้เขาเซ็นชื่อลงไปในคำเชิญเนี่ยนะ?! ไอ้ตาเฒ่าหลิวเอ๊ย! ฉันบอกให้นายดูแลเขาให้ดีไง แต่ตอนนี้นายกลับจะส่งเขาไปตายเนี่ยนะ?!”

ผู้บังคับบัญชาหลิวพลันเผยยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันเองก็ถูกบังคับมาเหมือนกันแหละน่า… ทั้งเจ้าหน้าที่เมืองแล้วก็ทุกคนต่างโหวตให้ใช้โอกาสนี้เพื่อกำจัดพวกแก๊งเต่าดำให้สิ้นซากไปเสีย บวกกับฉันเองก็ไม่ได้ไปบังคับเสี่ยวเฉิงสักหน่อย เขาตัดสินใจเองต่างหาก แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้นายต้องบอกฉันมาก่อนว่าเขามีโอกาสชนะมากน้อยแค่ไหน?”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันกล้าพูดได้เลยว่าเสี่ยวเฉิงชนะแน่นอนแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์! แต่ตอนนี้… ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะพูดขัดใจนายสักเท่าไหร่หรอกนะ แต่…” อดีตครูฝึกของเสี่ยวเฉิงพลันถอนหายใจ “หลายอย่างเปลี่ยนไป ตอนนี้เขายังคิดว่าตัวเองยังเป็นเสี่ยวเฉิงคนเดิมอยู่หรือเปล่าล่ะ?”

“ทำไมกัน? มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับความแข็งแกร่งของเขาหรือยังไง?” ผู้บังคับบัญชาหลิวพลันถามขึ้น

“ปัญหาใหญ่เลยล่ะ!” ครูฝึกพลันถอนหายใจอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ ระดับความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฉิงถูกจัดอยู่ในระดับ A ตามมาตรฐานการประเมินของประเทศ แต่ตอนนี้มันกลับลดลงเหลือระดับ C… มันสูงกว่าคนธรรมดาแค่ระดับเดียวเอง แล้วนายล่ะ? คิดว่าเขาจะเอาชนะผู้นำของแก๊งเต่าดำได้งั้นรึ?”

เปลือกตาของผู้บังคับบัญชาหลิวพลันกระตุกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

ทว่า ครูฝึกพลันพูดต่อ “แต่ยังไงก็เถอะ ทำไมนายต้องทำแบบนั้นด้วย? พูดกันตรงนี้เลยนะ ฉันส่งเสี่ยวเฉิงไปให้นายดูแลก็เพราะรู้สึกผิด นักวิจัยจากห้องทดลองเพิ่งจะบอกฉันมาว่าความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฉิงอาจจะไม่ฟื้นตัวด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ฉันยังบอกเขาเรื่องนั้นไม่ได้หรอกนะ เพราะแบบนั้นแหละ ฉันเลยรู้สึกผิดไงที่ส่งเขาไปหานาย อุตส่าห์หวังว่าเขาจะมีหน้าที่การงานที่ดีทำ แต่นี่ยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ นายกลับจะส่งเขาไปตายเนี่ยนะ?! ไม่ว่ายังไง ถ้าเสี่ยวเฉิงเป็นอะไรขึ้นมา เราได้เป็นศัตรูกันแน่ตาเฒ่าหลิว!”

ผู้บังคับบัญชาหลิวพลันกลืนน้ำลาย “ให้ตายเถอะ! แต่นายเคยบอกฉันเองนะว่าเสี่ยวเฉิงก็เปรียบเสมือนอาวุธอันทรงพลังของเทพเจ้า! แล้วทำไมถึงมาบอกเรื่องนั้นเอาตอนนี้ล่ะ?! ไอ้เพื่อนบ้าเอ๊ย! ยังไงเสีย ตอนนี้ความหวังในการถอนรากถอนโคนพวกแก๊งเต่าดำก็ขึ้นอยู่กับเสี่ยวเฉิงคนเดียวแล้ว”

“แต่ยังไงเสี่ยวเฉิงก็เซ็นชื่อลงไปในสัญญาแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ทำได้แค่รอแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตาแล้วแหละ” ครูฝึกพลันตอบกลับ

– มื้อเที่ยง –

หรานจิงพลันได้ยินเสียงตะโกนของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร “ทุกคน! ตอนนี้เสี่ยวเฉิงออกมาจากห้องทำงานของหัวหน้าแล้ว เขาตอบรับคำเชิญพิฆาตแล้ว!”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หรานจิงก็พลันเบิกตากว้างขึ้นมาพร้อมวางตะเกียบลง เธอรีบเดินออกมาจากโรงอาหารทันที

หลังจากนั้นไม่นาน หรานจิงก็วิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเฉิงที่กำลังเดินอยู่ในตัวอาคาร “เบื่อชีวิตจนถึงขนาดต้องส่งตัวเองไปตายเลยหรือยังไงกัน?”

ทว่า เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับด้วยคำพูดติดตลก “เธอรู้ได้ยังไงกัน?”

หรานจิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบกลับไปอย่างไร

“ขอพูดตามตรงเลยนะ วันที่พ่อฉันตาย มันเป็นวันที่ฉันรู้สึกแย่ที่สุดในโลกเลยล่ะ อันที่จริง ฉันคงจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปนานแล้วถ้าไม่ใช่เพราะต้องการหาคำตอบเรื่องพ่อ” เสี่ยวเฉิงพลันพูดต่อ

ทันทีที่พูดจบ เสี่ยวเฉิงก็พลันหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งกล่องพร้อมจุดสูบ เขายืนพิงกำแพงพร้อมกล่าวคำพูดออกมา “พ่อเป็นเพียงคนเดียวที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็ก สภาพแวดล้อมที่ฉันเติบโตมาทำให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าแล้วก็อ่อนแอมาก เธออยากรู้ไหมล่ะว่าทำไมฉันถึงอยากเข้าร่วมกับกองทัพ?”

ไม่นานนัก ระหว่างที่เงียบไปชั่วครู่ เสี่ยวเฉิงก็พลันพูดต่อ “เพราะฉันอยากแข็งแกร่งขึ้นยังไงล่ะ! ฉันต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้! เพราะแบบนั้น การเป็นทหารเลยทำให้ฉันสามารถกระตุ้นขีดจำกัดของตัวเองไปให้ถึงจุดสูงสุดได้ ฉันไม่เคยต้องทำให้ครูฝึกหรือสหายคู่ใจผิดหวังมาก่อนเลยด้วยซ้ำ และฉันก็ยังหวังด้วยว่าพ่อที่กำลังเฝ้ามองลงมาจากสวรรค์ก็คงจะภูมิใจในลูกชายอย่างฉันเช่นกัน”

จากนั้น เสี่ยวเฉิงก็หันหน้ากลับมาและมองไปยังหรานจิง “บางที… ฉันอาจจะสร้างปาฏิหาริย์ให้ทุกคนเห็นก็ได้”

ทั้งนี้ การตัดสินใจของเสี่ยวเฉิงก็เพื่อที่จะปกป้องทุกคนและตัวเขาเอง หลังจากถูกฉีดเซรุ่มประหลาดเข้าไปในร่างกาย ใครจะไปเดาได้ล่ะว่ามันจะส่งผลให้เสี่ยวเฉิงได้รับสามารถแปลกใหม่อย่างอื่นด้วย?

หรานจิงเพียงแค่ฟังและไม่ได้พูดอะไร ระหว่างที่สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นในดวงตาของเสี่ยวเฉิง เธอก็รับรู้ได้ทันทีว่าไม่มีสิ่งใดที่เธอจะสามารถพูดเพื่อโน้มน้าวใจเขาได้อีกต่อไปแล้ว อันที่จริง ดูเหมือนว่าหรานจิงจะเชื่อใจเสี่ยวเฉิงมากกว่า…