ตอนที่ 56: อย่าไปสู้เลยนะ มาคบกับฉันแทนเถอะ

– เอ็มมี่เอนเตอร์เทนเมนท์ –

หลินจื้อซือกำลังหยุดพักจากตารางงาน เธอพลันเดินไปนั่งลงบนโซฟาพร้อมเอนกายเล่นโทรศัพท์ สิ่งแรกที่โผล่ขึ้นบนหน้าจอคือเบอร์โทรศัพท์ของเสี่ยวเฉิง แต่เธอเองก็พลันลังเลว่าควรที่จะโทรออกไปหรือไม่

อันที่จริง หลินจื้อซือกลัวว่าการโทรไปหาเสี่ยวเฉิงในยามนี้จะทำให้หรานจิงและเซินเหยาเกิดความสงสัย

ถึงกระนั้น เธอเองก็พลันรู้สึกเป็นห่วงเสี่ยวเฉิงไม่น้อย นั่นเป็นเพราะเธอไปรู้มาว่านายน้อยเฉินที่เคยคิดจะล่วงเกินเธอเมื่อครั้งก่อนกำลังวางแผนและพยายามแก้แค้นเสี่ยวเฉิงอยู่ และเมื่อเช้า นายน้อยเฉินก็ได้โทรมาหาหลินจื้อซือพร้อมกล่าวคำพูด “คุณรู้จักกับไอ้ตำรวจบัดซบที่มาทำร้ายผมวันนั้นใช่ไหม? ยังไงก็เถอะ ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอก มีข่าวลือมาว่าไอ้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นเผลอไปหาเรื่องแล้วก็สร้างปัญหาให้กับผู้นำของแก๊งเต่าดำเข้า… ผมว่ามันคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เพราะตอนนี้มีการประกาศกร้าวออกมาแล้วว่าทั้งสองจะทำการประลองแลกชีวิตกัน แถมเธอเองก็ช่วยอะไรมันไม่ได้แล้วด้วย”

หลังจากที่คุยกับนายน้อยเฉินเสร็จ หลินจื้อซือก็พลันจิตตกไปตลอดทั้งเช้า ทั้งตารางงานและการนัดหมายของเธอก็ได้ถูกเลื่อนออกไปด้วยข้ออ้างที่ว่า “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่”

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกได้รับผลกระทบบางอย่างที่เกี่ยวโยงกับเสี่ยวเฉิง ครั้นอดีต ทั้งเสี่ยวเฉิงและหลินจื้อซือต่างก็อาศัยอยู่คนละเมือง ในระหว่างที่เสี่ยวเฉิงกำลังฝึกหนักอยู่ในกองทัพ เธอก็กำลังใช้ชีวิตส่วนตัวโลดแล่นอยู่บนเวทีแห่งวงการบันเทิง ทั้งคู่แทบจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ

อันที่จริง หลินจื้อซือเองก็เคยคิดว่าเธอจะสามารถลืมเสี่ยวเฉิงได้หลังจากวันเวลาที่ผ่านไปนานหลายปี เพราะเธอเองก็พลันรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตนกับเสี่ยวเฉิงนั้นเป็นเพียงข้อผูกมัดทางกฎหมายที่เหลืออยู่ในทะเบียนสมรสเท่านั้น แต่ทว่า หลังจากรู้ข่าวของเสี่ยวเฉิงจากนายน้อยเฉินเมื่อเช้า เธอก็พลันตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังประเมินความรู้สึกที่มีต่อคนรักในวัยเด็กต่ำไป ถึงแม้ว่าหลินจื้อซือจะคิดว่าตนสามารถตัดความรู้สึกที่มีต่อเสี่ยวเฉิงออกไปได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ตัดสินใจกดปุ่มโทรออก…

เสี่ยวเฉิงที่เพิ่งตื่นนอนพลันรู้สึกตกใจเล็กน้อยระหว่างมองไปยังเบอร์ที่โทรเข้ามา

นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่หลินจื้อซือโทรมาหา

เสี่ยวเฉิงพลันบิดตัวไปมาและกดปุ่มรับสาย

“นายเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็สบายดี” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ

“เอ่อ… ฉันหมายถึงเรื่องที่นายจะต้องทำการประลองกับใครสักคนน่ะ… ทำแบบนั้นไปทำไมกัน? นายอุตส่าห์ได้ออกมาจากกองทัพทั้งทีนะ ไม่คิดจะลงหลักปักฐานหรือใช้ชีวิตแบบคนปกติหรือยังไง?” หลินจื้อซือพลันถามขึ้น

“ก็เพราะฉันต้องการแบบนั้น”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หลินจื้อซือก็พลันเงียบไปชั่วครู่และถอนหายใจออกมา “ยังเป็นคนที่ชอบสร้างมาตรฐานอันสูงส่งให้ตัวเองเหมือนเคยเลยนะ… ฉันรู้ว่านายอยากทำทุกอย่างให้พ่อภูมิใจ แต่ไม่ว่ายังไง ท่านก็เสียไปตั้งสิบกว่าปีก่อนแล้ว”

“ฉันรู้น่า” เสี่ยวเฉิงพลันเผยยิ้มอย่างขมขื่น “ย้อนกลับไปเมื่อสมัยเรียน เธอไม่เคยสงสัยเลยหรือไงว่าทำไมฉันถึงเต็มใจปล่อยให้เธอได้ที่หนึ่งในทุกปี? นั่นก็เพราะหลังจากพ่อตาย ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องดิ้นรนหรือตั้งใจเรียนเพื่อทำให้ใครภูมิใจอีกต่อไปแล้วยังไงล่ะ… แต่คราวนี้ฉันเตรียมตัวมาตั้งสามปี ฉันอุตส่าห์ไต่เต้าให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในกองทัพจนได้ แต่สุดท้าย เรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้น แล้วฉันก็ต้องมาถูกพรากทุกสิ่งอย่าง ถึงพวกครูฝึกจะไม่ยอมบอกอะไรเลย แต่พวกเขาก็เผยท่าทีออกมาราวกับว่าฉันจะไม่มีวันได้กลับไปเป็นทหารอีก และถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะเป็นแค่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนธรรมดา แต่ฉันก็ยังต้องการพิสูจน์คุณค่าของตัวเองอยู่ดี ยังไงก็เถอะ ปัญหาทั้งหมดที่ฉันก่อ ฉันก็จะต้องเป็นคนจัดการกับมันเอง!”

อันที่จริง เสี่ยวเฉิงก็แค่อยากจะพิสูจน์คุณค่าของตัวเองให้คนในตระกูลที่ทอดทิ้งพ่อของตนได้รับรู้… เสี่ยวเฉิงต้องการให้คนเหล่านั้นรู้ว่าความไม่เท่าเทียมในอำนาจและความมั่งคั่งของพวกเขาเป็นเหมือนกับตัวการที่บีบบังคับให้พ่อและแม่ของเสี่ยวเฉิงต้องแยกจากกัน

ถึงอย่างไร นี่ก็คือแรงจูงใจที่แท้จริงที่ทำให้เสี่ยวเฉิงต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป

แต่ด้วยความที่เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่อยากจะทำให้หลินจื้อซือต้องเป็นกังวล เขาจึงรีบจบบทสนทนา “ยังไงถ้าไม่มีเรื่องอะไรด่วน เธอไม่จำเป็นต้องโทรมาก็ได้นะ บางทีพวกปาปารัสซีอาจจะแอบดักฟังพวกเราสองคนอยู่ก็ได้”

ทันทีที่พูดจบ เสี่ยวเฉิงก็พลันกดปุ่มวางสาย