บทที่ 158 หอสามัญ สามัญอย่างชื่อจริงหรือ

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“ศิษย์ที่จะขึ้นประลองในสาขาโหราศาสตร์!” อาจารย์ชี้นิ้วไปที่หนานกงเลี่ย “ใช่ เจ้านั่นแหละ! เจ้ายังจะประลองอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ เช่นนั้นก็ขอยอมแพ้ไปเสีย!”

หนานกงเลี่ยมองตอบด้วยสายตาใสซื่อเป็นอย่างยิ่ง บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีสีหน้าผ่อนคลายปรากฏขึ้น “ท่านอาจารย์ ชีวิตคนเรางดงามยิ่ง แต่ท่านกลับฉุนเฉียวง่ายดายนัก นั่นมิใช่เรื่องดีเอาเสียเลย”

“เจ้า!” ผู้เป็นอาจารย์โกรธจนปวดตับไปหมด และกำลังจะตัดสิทธิ์เขา!

หนานกงเลี่ยเดินทอดน่องขึ้นเวที ทันทีที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป จิตสังหารก็พลันพวยพุ่งออกมา “ข้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันได้เลย”

อาจารย์ถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก “การประลองรอบแรก หอสามัญปะทะหอชั้นดีเริ่มได้ ณ บัดนี้!”

ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้เข้าแข่งขันจากหอชั้นดีก็หยิบอุปกรณ์โหราศาสตร์ของตนขึ้นมา แต่ระหว่างนั้นหนานกงเลี่ยกลับมีทีท่าลังเลอยู่ เพราะเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าเขาควรจะไว้หน้าคู่ต่อสู้ดีหรือไม่ คนจากตระกูลปุโรหิตอันโด่งดังเช่นเขาจะกลั่นแกล้งศิษย์ใหม่ไร้ทางสู้ได้อย่างไรกัน มันคงดูไม่ดีเอาเสียเลย แต่แล้วในตอนที่เขาตั้งใจว่าจะจัดการกับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนนั่นเอง

ศิษย์จากหอชั้นดีคนนั้นก็ใช้สายตาเหยียดหยามมองมาที่เขาเสียก่อน “ขยะก็เป็นขยะอยู่วันยังค่ำ แค่เลือกอุปกรณ์ก็ยังใช้เวลานานถึงเพียงนี้”

ผลสุดท้าย… ความตั้งใจที่จะ ‘จัดการอย่างอ่อนโยน’ ก็ปลิวหายไปกับสายลม!

หนานกงเลี่ยจบการทำนายลงในเวลาเพียงแค่หนึ่งนาที บรรดาศิษย์จากหอสามัญถึงกับตกตะลึงไปตามๆ กัน เขาเหยียดยิ้มอย่างชั่วร้ายท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา ก่อนจะค่อยๆ เดินกลับไปนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ของตนด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

ตอนที่เขาเดินผ่านเฮ่อเหลียนเวยเวยที่จะขึ้นเวทีเป็นคนถัดไป เขายังใช้นิ้วจิ้มตัวนางอีกด้วย

ผู้เป็นอาจารย์ชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะประกาศออกมาอย่างไม่อยากเชื่อว่า “หอสามัญเป็นผู้ชนะในรอบนี้”

ปัง!

อุปกรณ์โหราศาสตร์ในมือของศิษย์จากหอชั้นดีคนนั้นแตกเป็นเสี่ยง ก่อนจะร่วงกราวลงกับพื้น

เขา… เขายังไม่ทันได้เริ่มทำนายเลยด้วยซ้ำ อ๊าก!

“รอบที่สอง การประลองในสาขาอาวุธ!” อาจารย์ที่เพิ่งจะกลับมาตั้งสติได้ประกาศออกมาเสียงดัง

เก้าอี้ผู้ตัดสินยังไม่ทันจะอุ่นเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับต้องถูกเปลี่ยนตัวออกเสียแล้ว เขาอุตส่าห์เตรียมคำบรรยายเอาไว้เป็นตั้ง แต่กลับไม่ได้ใช้เลยแม้แต่คำเดียว!!!

เจ็บใจ!

เจ็บใจยิ่งนัก!!

เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากหาวพร้อมกับเดินขึ้นไปบนเวที จากนั้นจึงประสานมือคำนับอีกฝ่าย นางยกยิ้ม ไม่ว่าจะมองมุมไหน นางก็ดูเอาจริงเอาจังและมีมารยาทยิ่งนัก

แต่ปัญหาคือการที่อีกฝ่ายกลับดูไม่ชอบใจกับมารยาทของนาง ซ้ำยังพ่นลมหายใจออกมาอย่างอวดดี เขาทำเพียงส่งเสียง ‘หึ’ อย่างเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง และไม่คิดที่จะพูดกับนางเลยแม้แต่คำเดียว

หลังจากนั้น… อีกฝ่ายก็ถูกขยี้จนถึงกับร้องไห้โฮ!

ภายใต้แสงแดดอันเจิดจ้า คู่ต่อสู้คนนั้นทำได้เพียงแค่ยืนมองการเคลื่อนไหวอันน่ามหัศจรรย์จากนิ้วมือเรียวงามของเฮ่อเหลียนเวยเวยจนกระทั่งผู้ตัดสินประกาศผลของการแข่งขันเท่านั้น

อาจารย์เจ้ายุทธ์มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาตกตะลึงไม่ต่างกัน จากนั้นจึงหันไปมองคู่มือที่เตรียมมาอย่างละเอียดซึ่งแผ่หราอยู่บนโต๊ะด้วยความโศกเศร้า ได้แต่ถามตัวเองว่าเขาเตรียมข้อมูลมากมายขนาดนี้มาเพื่ออะไร… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!!

มีน้อยคนนักที่มาที่นี่เพื่อรับชมการแข่งขันจริงๆ แต่ทุกคนต่างก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปตามๆ กัน นอกเหนือจากความรู้สึกเหลือเชื่อที่อยู่ในสายตาของพวกเขาแล้ว ก็มีเพียงแค่ความตกใจเท่านั้น

เหล่าลูกศิษย์ที่เคยรู้สึกว่าหอสามัญคงไม่มีหวังในชัยชนะก็ยังถึงกับต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่นั่งข้างๆ “เจ้าหยิกหน้าข้าทีสิ”

“ทำอะไรนะ” สีหน้าของคนเป็นเพื่อนก็ดูเหม่อลอยไม่ต่างกัน

ศิษย์คนนั้นตอบว่า “ข้าอยากจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” ใช่ ทุกคนต่างก็สงสัยว่าพวกเขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า พวกเขาส่ายหน้าเหมือนคนที่ตกอยู่ในภวังค์

ในเวลานี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกับอีกสองคนที่เหลือก็ลุกขึ้นยืน และกำลังเตรียมตัวที่จะกลับ

ชนะสองในสามของการแข่งขัน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ การแข่งขันระหว่างหอสามัญกับหอชั้นดีนั้นผู้ชนะคือหอสามัญนั่นเอง!

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังไม่ทันได้ปรากฏตัวบนเวทีเลยด้วยซ้ำ เสื้อคลุมสีขาวของเขายังไม่ได้สัมผัสกับฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพด้านหลังของเขายังคงสูงส่งและเย็นชาราวกับว่าอยู่เหนือบรรดาสามัญชนเหมือนอย่างเคย แค่เพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็พลอยทำให้หัวใจของเด็กสาวจำนวนนับไม่ถ้วนถูกศรรักปักเข้ากลางใจ

“ช่างหล่อเหลาเหลือเกิน!”

“พระเจ้า หัวใจข้าเต้นแรงจนจะกระเด็นออกมาแล้ว!”

“สงสัยยิ่งนักว่าเขาจะแต่งผู้หญิงแบบไหนมาเป็นภรรยา…”

หนานกงเลี่ยชะงักฝีเท้า ท่าทางโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด “เห็นกันอยู่ทนโท่ว่าข้าต่างหากที่เป็นคนขึ้นเวที ทำไมสุดท้ายอาเจวี๋ยกลับเป็นคนที่ได้รับความนิยมที่สุดล่ะ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!”

เฮ่อเหลียนเวยเวยปลอบเขาอย่างไม่เห็นอกเห็นใจว่า “อย่าโง่ไปหน่อยเลยพ่อหนุ่ม นี่เป็นโลกที่ความสวยความงามอยู่เหนือทุกสิ่ง ฝีมือย่อมเป็นรองความงามอยู่แล้ว”

“แต่นอกจากจับผิดโต๊ะกับเก้าอี้แล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลยนะ!” หนานกงเลี่ยยังคงไม่ยอมจำนน

เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเขา “สิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือรักษาความงามประหนึ่งบุปผาของตัวเองเอาไว้เท่านั้น นอกจากเรื่องนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว ขอบคุณ” อย่างไรเสียนางก็ได้ผลประโยชน์มาแล้ว การมีเพื่อนข้างโต๊ะที่หน้าตาหล่อเหลาเหมือนไม่ได้มาจากโลกนี้หมายถึงการมีขนมให้กินไม่อั้น ยกตัวอย่างเช่นสาวใช้ขี้อายคนนั้น นางเพิ่งจะส่งขนมเปี๊ยะไส้กุหลาบมาให้ และขนมที่ว่านั่นก็ถูกปากนางมากทีเดียว แต่ต้องขอพูดให้ชัดเจนก่อนว่านางไม่ได้ขโมยมากินแต่อย่างใด เพื่อนร่วมโต๊ะของนางต่างหากที่โยนมาให้นางเอง

ที่จริงแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยอยากบอกทั้งบรรดาเด็กสาวจากตระกูลดังและเด็กสาวหน้าตาน่ารักจากตระกูลธรรมดาพวกนั้นว่า อย่าได้คิดที่จะใช้อาหารเพื่อเอาชนะใจใครบางคนเลย เขามองทุกอย่างเหมือนกับกำลังมองแมลงสาบอยู่ก็ไม่ปาน

ตอนแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขาคงจะชอบของกิน เพราะครั้งแรกที่นางให้เขา ริมฝีปากบางของเขาก็ยกขึ้นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

แต่พอนางบอกเขาว่าขนมเปี๊ยะไส้กุหลาบนั้นไม่ได้มาจากนาง แต่เป็นของฝากจากคนอื่น ดวงตาหงส์คู่งามของชายคนนั้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับหยกอันเย็นเฉียบในทันที สุดท้ายเขาก็โยนกล่องขนมเปี๊ยะไส้กุหลาบเล็กๆ นั้นทิ้งลงบนโต๊ะ แล้วทำตัวห่างเหินยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขาต้องเกลียดกลิ่นของขนมเปี๊ยะไส้กุหลาบมากแน่ๆ แต่นั่นก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่ เพราะนางชอบกินมัน…

“พวกเราไปดูการแข่งขันอีกคู่กันเถอะ” หนานกงเลี่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย “ข้าเพิ่งได้ยินจากผู้หญิงที่ชอบข้าว่าทางฝั่งโน้นยังประลองกันอยู่เลย”

เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นด้วย นางยิ้มแล้วหยอกเขาว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าผู้หญิงที่ชอบเจ้าคนนั้นไม่ได้ใช้เจ้าเพื่อเข้าหาใครบางคน”

ใบหน้าของหนานกงเลี่ยบึ้งตึงไปเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ชำเลืองมองใครบางคนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดถึง และรู้สึกว่าการร่วมทางกับอาเจวี๋ยตอนใส่หน้ากากยังดีกว่าตอนนี้เสียอีก!

เมื่อเห็นเช่นนั้น รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็กว้างขึ้น “ไปกันเถอะ พวกเราควรไปสังเกตการณ์ที่นั่นกันเสียหน่อย อีกอย่างเฮยเจ๋อเองก็คงจะกำลังประลองอยู่ด้วย”

ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ลงครู่หนึ่ง เขาค่อยๆ หันไปมองนาง รอยยิ้มเย็นชาทรงเสน่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะสนใจเขามากทีเดียว”

“ความแข็งแกร่งของเขาควรค่าแก่ความสนใจ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แสงแดดสาดส่องเข้ามาในดวงตาของนาง

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นช่างสว่างไสวอย่างประหลาด เขาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อที่จะรักษาริมฝีปากที่โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มของตนเอาไว้…

อีกด้านหนึ่ง การแข่งขันระหว่างหอชั้นเลิศและหอชั้นเยี่ยมการประลองสาขาโหราศาสตร์ในรอบแรกเพิ่งจะดำเนินไปได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด บอกได้ว่าทั้งสองมีฝีมือสูสีกันเลยทีเดียว

เมื่อผู้ชมเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยและเพื่อนเดินเข้ามา พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “พวกเขาไม่ได้แข่งกันอยู่หรือ มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร”

“พวกเขาคงจะแข่งกันเสร็จแล้ว ถึงได้มาชมการประลองที่นี่”

“เป็นไปไม่ได้หรอก เวลาเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่ทันไร แต่พวกเขากลับแข่งเสร็จแล้วหรือ”

“การแข่งขันกับหอสามัญจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันเชียว ไม่ต้องคิดก็รู้อยู่แล้วว่าฝ่ายที่ชนะคือหอชั้นดี”

“เจ้าพูดถูก…”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้นดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้เข้าแข่งขันเองก็มองไปยังอีกฝั่งด้วยสีหน้าขบขัน นางบอกแล้วมิใช่หรือ ไม่ว่าบรรดาขยะจากหอสามัญจะพยายามอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถสร้างคลื่นลมอะไรได้หรอก กระทั่งการแข่งขันรอบแรกพวกเขาก็ยังไม่ผ่านด้วยซ้ำกระนั้นกลับคิดที่จะสู้กับหอชั้นเลิศของพวกนาง นั่นเป็นแค่ฝันกลางวันชัดๆ!