บทที่ 159 องค์ชายไม่สบอารมณ์

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ในเวลานี้ การประลองของสาขาโหราศาสตร์ก็เดินทางมาถึงบทสรุปแล้ว หอชั้นเลิศเอาชนะมาได้อย่างเฉียดฉิว

ศีรษะโล้นเตียนขององค์ชายเจ็ดหันมาทางเฮ่อเหลียนเวยเวย และมองนางกับเพื่อน แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่มีสีหน้ายินดีปรีดากับความโชคร้ายของพวกนางแล้ว สีหน้าบนใบหน้าเล็กๆ นั้นกลับดูยากจะบรรยายอยู่เล็กน้อย เขาอ้าปากกัดซาลาเปาหนึ่งคำ และเคี้ยวพวกมันด้วยท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ในหัว จากนั้นเขาจึงลุกขึ้น แล้วใช้มือข้างหนึ่งยกเก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่กว่าตัวเองขึ้น แม้ท่าทางสบายๆ ของเขาจะไม่ต่างอะไรไปจากตอนที่เขากำลังกินซาลาเปาเลยแม้แต่น้อย แต่พละกำลังของเขากลับชวนให้อกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก!

ผู้คนที่มองดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่โดยรอบถึงกับอ้าปากค้าง โดยเฉพาะบรรดาศิษย์จากหอชั้นเยี่ยม แต่ละคนถึงกับเหงื่อตกแทนเฮยเจ๋อซึ่งเป็นผู้เข้าแข่งขันสาขาพลังปราณที่จะขึ้นประลองในรอบที่สาม

องค์ชายเจ็ดคนนี้น่ากลัวเกินไปหรือเปล่า!

เขาเพิ่งจะอายุได้เพียงห้าขวบเท่านั้นเองนี่!

แข็งแกร่งถึงเพียงนี้มันใช่เรื่องดีแล้วหรือ!

องค์ชายเจ็ดตัวน้อยย่อมไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง ระหว่างนั้นเขาก็ใช้พละกำลังอันน่าเหลือเชื่อของตนยกเก้าอี้ไปวางลงข้างกลุ่มของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วจึงใช้ขาเล็กๆ สั้นๆ ของตนปีนขึ้นไปบนนั้น

หนานกงเลี่ยเลิกคิ้วสวยของตนขึ้นระหว่างมองดูเด็กชายตัวน้อย เขาต้องใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อกลั้นไม่ให้ริมฝีปากของตนเผยรอยยิ้มออกมา ไม่ว่าเจ้าปีศาจตัวน้อยจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าขาของเขาทั้งสั้นทั้งป้อมได้!

แต่น่าเสียดายนักที่เวลานี้มีเด็กสาวจากตระกูลเฮ่อเหลียนอยู่ด้วย เขาจึงไม่สามารถคว้าเจ้าปีศาจน้อยเข้ามากอดและบีบแก้มของอีกฝ่ายได้

เฮ้อ… เพื่อที่จะท่องบทกวีและพูดคุยแลกเปลี่ยนปรัชญาชีวิตกับบรรดาเด็กสาวทั้งหลาย เขาควรจะควบคุมตัวเองเอาไว้ให้ดี อย่างไรเสียหากฐานะที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยขึ้นมา เรื่องก็คงไม่สนุกเหมือนในตอนนี้แน่

เด็กชายหัวโล้นปีนขึ้นไปบนเก้าอี้อยู่ครู่หนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จ คิ้วดกหนาคู่นั้นขมวดเข้าหากันจนเป็นปม จากนั้น เขาก็ส่งสายตาตักเตือนไปให้กับหนานกงเลี่ย แล้วสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง

แต่ใบหน้าด้านข้างของพี่สามกลับดูเย็นชาอย่างยิ่ง!

ทำไมล่ะ

เด็กชายหัวโล้นเอียงศีรษะคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางหมุนเก้าอี้ไม้โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา… ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด เขาก็ไม่ควรที่จะไปยั่วโมโหอีกฝ่าย!

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นคนตัวเล็กที่ล้มเหลวในการปีนเก้าอี้ไม้ในครั้งแรก พับแขนเสื้อของตนขึ้น ก่อนจะลองพยายามปีนใหม่เป็นครั้งที่สอง นางก็ยิ้มออกมา แล้วย่อตัวลงกอดเขา ก่อนจะอุ้มเขาขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวนั้น

องค์ชายเจ็ดตัวน้อยตกตะลึง เขารู้สึกถึงผมยาวนุ่มสลวยที่ปัดผ่านแก้มของตนได้ และเผลอชำเลืองมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็มองเขาอยู่ ริมฝีปากบางดูเหมือนจะขยับเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของเขาทั้งไร้เสียงและมองได้ไม่ชัดเจน ดังนั้นมันจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครทั้งนั้น

มีเพียงองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเท่านั้นที่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ เขาขยับขาสั้นๆ ของตน จากนั้นจึงหันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างประหม่าเพื่อกล่าวว่า “ขอบคุณ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่อาจต้านทานใบหน้าน่ารักของลูกเสือน้อยตัวนี้ได้ ยุคโบราณเช่นนี้จะหาเด็กชายตัวจ้อยที่กล้าหาญอย่างเขาได้ง่ายๆ เสียที่ไหนกัน!

ทั้งเท่และหยิ่งอย่างมีเอกลักษณ์ แต่ในมือกลับยังถือซาลาเปาเนื้อเอาไว้ไม่ห่าง!

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วทำท่าเหมือนกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ นางหยิบเอาเนื้อแดดเดียวที่นางเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาแล้วส่งให้เขา

ทันใดนั้น ดวงตาขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็เป็นประกาย จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองใครคนหนึ่งเงียบๆ เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ เขาก็รีบคว้าเนื้อแดดเดียวชิ้นนั้นเอาไว้ในทันที

“เด็กดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบศีรษะเขา เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอยากพาเขากลับไปเลี้ยงที่บ้าน

เด็กดีหรือ หนานกงเลี่ยอยากตั้งคำถามกับรสนิยมของเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียจริง ผู้หญิงคนนี้คงยังไม่เคยเห็นวิธีที่เจ้าปีศาจน้อยใช้จัดการคนล่ะสิ เจ้าหนูนี่ฟาดทุกคนอย่างไร้ความปรานี ท่าทางของเขานั้นดูดุดันยิ่งกว่าพี่ชายของเขาเสียอีก!

“หึ ใครบางคนเริ่มหาช่องทางประจบเอาใจคนอื่นอีกแล้วหรือ” ศิษย์คนหนึ่งจากหอชั้นเลิศที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมพูดเยาะพร้อมกับหัวเราะออกมา

ใครคนหนึ่งตอบว่า “พวกเจ้าปล่อยให้นางเข้าหาองค์ชายเจ็ดไปเถิด อย่างไรเสียนางก็ยังเอาชนะการแข่งขันรอบแรกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ หากนางไม่คิดหาวิธีการสกปรกมาใช้ แล้วนางจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรกัน หึ”

“ถ้านางอยากยุ่งกับใครสักคน เช่นนั้นก็ไปยุ่งกับคนอื่นสิ อย่าเอาความโชคร้ายมาติดสมาชิกของกลุ่มเราเลย” หยวนหลิงเซวียนที่ยังไม่ได้ขึ้นเวที เขามองมาทางนี้พร้อมกับนิ่วหน้า จากนั้นจึงเดินเข้ามา “องค์ชายเจ็ด ท่านจะไปนั่งรวมกับคนพวกนี้ได้อย่างไร”

เด็กชายหัวโล้นเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลง เขาอยากนั่งตรงไหนกับใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับอีกฝ่ายด้วยหรือ

ใช่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่ได้ยินน้ำเสียงดูถูกที่มาจากหยวนหลิงเซวียนและกลุ่มของเขา นางยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองอีกฝ่ายกลับไปด้วยสายตาเฉยเมย

หยวนหลิงเซวียนเลิกคิ้ว เขายื่นมือออกไปหมายจะฉุดให้เด็กชายหัวโล้นลุกขึ้น “องค์ชายเจ็ด น่าจะถึงตาท่านขึ้นไปบนเวทีแล้ว ไปกันเถอะ”

“การประลองรอบที่สองยังไม่จบ” เด็กชายหัวโล้นกินเนื้อแดดเดียว น้ำเสียงของเขาเย็นชา “อย่ารบกวนข้าก่อนที่มันจะจบ”

ใบหน้าของหยวนหลิงเซวียนแข็งตึง เขาเป็นถึงทายาทของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้กลับกล้ากล่าวสั่งสอนเขา

“อะไรหรือ” เด็กชายหัวโล้นยิ้มด้วยความรำคาญใจ สีหน้านั้นดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง “ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ”

หยวนหลิงเซวียนกำมือทั้งสองข้างของตนแน่น “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร องค์ชายเจ็ดต้องพูดเล่นอยู่แน่ๆ” ทันทีที่ราชวงศ์ล่มสลาย สิ่งแรกที่เขาจะทำคือการฆ่าเจ้าเด็กเหลือขอตัวเหม็นนี่ทิ้งเสีย!

แน่นอนว่าเด็กชายหัวโล้นย่อมไม่สนใจความคิดของหยวนหลิงเซวียน เขายังคงกินเนื้อแดดเดียวและดื่มชาต่อ เหตุผลที่เขาเลือกที่จะนั่งตรงนี้นั้นไม่ใช่ว่ามีจุดประสงค์อื่นใด หากแต่เป็นเพราะว่าเขาต้องการพิสูจน์เรื่องหนึ่งในพี่สามเห็น นั่นคือเรื่องที่ว่าเขาอยู่ข้างคนฝั่งนี้! ง่ำๆ เนื้อแดดเดียวชิ้นนี้ช่างอร่อยจริงๆ!

คิ้วยาวได้รูปของเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดเข้าหากัน “ทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก องค์ชายเจ็ดกลับไปดีกว่า”

อาจเป็นเพราะเขายังเด็ก จึงไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างหอต่างๆ

คนจากหอชั้นเลิศมักจะดูถูกพวกนางอยู่เสมอ ตอนนี้องค์ชายเจ็ดมานั่งอยู่ตรงนี้กับพวกนาง แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีสนิทสนมกับพวกนาง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่นั่นจะทำให้เขาเกิดความบาดหมางกับศิษย์คนอื่นๆ ในหอชั้นเลิศ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็ชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวย แก้มกลมๆ ทั้งสองข้างของเขาพองขึ้น และปฏิเสธที่จะทำตามอย่างเย็นชา!

“ถึงตาที่ข้าต้องขึ้นประลองเมื่อไหร่ ข้าถึงจะกลับไป”

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าภาพนี้ช่างน่าขันนัก นางส่ายหน้าพร้อมกับหันไปถามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ข้างนางว่า “ทำไมเขาถึงยืนกรานที่จะนั่งตรงนี้ล่ะ”

“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตาเลยแม้แต่นิดเดียว “ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้รู้จักกันดีถึงเพียงนั้น แต่ข้าเดาว่าเขาคงจะอยู่ในช่วงวัยต่อต้านกระมัง”

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “อายุแค่ห้าขวบ แต่อยู่ในวัยต่อต้านแล้วหรือ”

“บรรดาเชื้อพระวงศ์คงแตกต่างจากคนอื่นๆ ตรงจุดนี้นี่เอง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองไปทางเด็กชายหัวโล้นด้วยสายตาไร้อารมณ์ น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูราบเรียบ “ข้าได้ยินมาว่าทุกครั้งที่องค์ชายเจ็ดตื่นเต้น เขามักจะชอบเต้นเปลือยบั้นท้าย ข้าสงสัยยิ่งนักว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ บางทีหลังจากนี้เราอาจจะมีโอกาสได้ชมการแสดงของเขาก็เป็นได้”

มือเล็กๆ ขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่ยังง่วนอยู่กับการกินเนื้อแดดเดียวถึงกับชะงักไป เขาทำหน้าเหมือนคนที่กำลังสำลักอยู่ไม่มีผิด!

คนที่รู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างหนานกงเลี่ยแทบจะห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป แต่เขาก็ทำได้เพียงกุมท้องของตนเอาไว้เท่านั้น ไหล่ทั้งสองข้างของเขาสั่นกึกๆ พร้อมกับเบี่ยงตัวไปอีกด้านหนึ่ง การกลั้นหัวเราะช่างเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเสียจริง!

ตอนนั้นนั่นเองที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอ้าปากขึ้นพูดกับเด็กชายหัวโล้นตรงๆ ด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายว่า “ข้าสงสัยนักว่าระหว่างองค์ชายเจ็ดกับคุณชายรองของตระกูลเฮย ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”

ใบหน้าขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยเงยขึ้น พี่สามกำลังมอบหมายภารกิจให้กับเขา!

เขาเข้าใจแล้ว!

“ข้า” เขาตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามดุจพยัคฆ์

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าจะตั้งตารอชมตอนองค์ชายเจ็ดอัดคุณชายเฮยจนหมอบลงไปกับพื้นก็แล้วกัน”