บทที่ 65: มุ่งหน้าสู่การสอบศิลปะการต่อสู้

ใครจะรู้ว่าหวังเต็งกลัวอะไรในคืนก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย?

มันมีบทเรียนสําหรับทุกคนในเหตุการณ์นี้ : “อย่าโกรธพ่อแม่ของคุณเมื่อพวกเขาเครียด เพราะพวกเขาไม่ใช่มนุษย์”

ในวันรุ่งขึ้น หวังเต็งตื่นเช้ามาก เขาต้องการแอบออกจากบ้านไปก่อนที่พ่อแม่ของเขาจะตื่นซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะเขายังไม่อยากขาหัก

น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถตื่นเร็วกว่าแม่ของเขาได้!

หลี่ซิ่วเหม่ยกําลังสวมผ้ากันเปื้อนขณะที่เธอออกมาจากห้องครัวพร้อมกับอาหารเช้าในมือ เธอตกใจมากเมื่อเห็นหวังเต็ง “ ลูกแม่ ทําไมใต้ตาของลูกถึงคําล่ะ? เมื่อวานลูกนอนไพออย่างงั้นหรอ?”

“…” หวังเต็งแสดงความไม่เต็มใจที่จะตอบ

“ ลูกคิดว่าพ่อกับแม่จะหักขาลูกจริงๆหรอ?” หลี่ซิ่วเหม่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ ฮึ่ม!”

“ พ่อกับแม่จะใจร้ายขนาดนั้นได้ยังไงกัน?” หลี่ซิ่วเหม่ยเพิกเฉยต่อคําพูดที่เธอพูดเมื่อคืนนี้อย่างไร้ยางอาย

“ ฮึ่ม!”

“ รีบไปกินข้าวเช้าซะ เจ้าหนูน้อย!” หลี่ซิ่วเหม่ยพูดอย่างช่วยไม่ได้

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ หวังเฉินกั๋วก็วางแผนที่จะไปส่งหวังเต็งไปสถานที่สอบด้วยตนเอง แม้เขาจะไม่มีหวัง แต่เขาก็ยังต้องการให้ลูกของเขาไปสอบ

“ ลูกแม่ ลูกเอาบัตรประจําตัวประชาชนและบัตรประจําตัวผู้เข้าสอบมาด้วยรึยัง?” ก่อนที่พวกเขาจะจากไป หลี่ซิ่วเหม่ยก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

“ แน่นอน” หวังเต็งตอบ

“ ให้แม่ตรวจดูสิ” หลี่ซิ่วเหม่ยตรวจสอบบัตรประจําตัวประชาชนของหวังเต็งเป็นการส่วนตัวก่อนที่เธอจะมีท่าที่สบายใจขึ้นมา จากนั้นเธอก็ส่งพ่อและลูกชายออกไป

ณ โรงเรียนมัธยมตงไห่

การสอบปกติของหวังเต็งจัดขึ้นที่โรงเรียนมัธยมตงไห่

ในขณะนี้ มันก็มีรถขนาดเล็กจํานวนมากจอดอยู่นอกประตูโรงเรียนมัธยม นอกเหนือจากแนวขวางที่โรงเรียนตั้งขึ้นแล้ว นักเรียนทุกคนก็มารวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ มันสามารถได้ยินการสนทนาได้จากทุกที่ ฉากนี้ดูแออัดเนพิเศษ

อีกฝั่งมีรถเมล์จอดอยู่สองสามคัน

นักเรียนหลายคนกําลังรวมตัวกันอยู่ข้างๆรถเมล์ พวกเขากระซิบกันและดูเหมือนกับกําลังตรวจสอบสถานที่สอบ

นักเรียนเหล่านี้มาจากพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อทําการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

หวังเต็งลงจากรถของเขาและสํารวจสภาพแวดล้อมรอบๆ เขาเองก็ต้องการที่จะดูว่ามันมีคนคุ้นเคยแถวนี้บ้างหรือไม่

ในขณะนั้นเอง มันก็มีเสียงดังมาจากข้างหลังเขา

“ นายน้อยหวัง ทางนี้!” หวังเต็งหันศีรษะกลับไปและเห็นหยางเจี้ยนกําลังโบกมือให้เขาขณะที่ตะโกน

หลินซัวหานและนักเรียนอีกสองสามคนจากชั้นเรียนของเขาก็อยู่ข้างๆเขาด้วยเช่นกัน

“ พ่อ เพื่อนร่วมชั้นของผมกําลังเรียกผม งั้นผมไปก่อนนะ” หวังเต็งพูดกับหวังฉินกั๋ว

“ ไปได้เลย พ่อจะมารับหลังจากลูกสอบเสร็จนะ” หวังเฉินกั๋วพยักหน้า

“ เรื่องนั้นไม่จําเป็น ผมกลับด้วยตัวเองได้ พอไปทํางานได้เลย” หวังเต็งตอบ

“ ไม่เป็นไร. ไม่ไปสักวันไม่เป็นไรหรอก พ่อตัดสินใจแล้ว พ่อจะมาหาลูกทันทีที่บูกสอบเสร็จ” หวังเฉินกั๋วขับรถออกไปหลังจากที่เขาพูดจบ

หวังเต็งเดินไปเข้าร่วมกับหลินซัวหาน และเพื่อนร่วมชั้นของเขา

“ เตรียมตัวมาพร้อมรึยัง?” หวังเต็งถามหลินซัวหานและหยางเจี้ยนอย่างชิวๆ

“ ก็ดี การสอบปกติไม่น่าจะเป็นปัญหาสําหรับฉัน” หยางเจี้ยนกล่าว

“ เราจะสอบภาษา คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษในวันนี้ และมันก็ไม่มีอะไรต้องกังวลมากนัก แต่เรื่องน่าปวดหัวของจริงก็คือการสอบศิลปะการต่อสู้หลังจกนั้นนั่นแหละ” หลินซัวหานกล่าว

การสอบศิลปะการต่อสู้และการประเมินการต่อสู้จริง!

นักเรียนทุกคนจะต้องเรียนวิชาภาษา,คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษก่อน จากนั้น นักเรียนธรรมดาก็จะทําเอกสารวิชาการต่อ ในขณะที่ผู้ที่เข้าร่วมการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นก็จะเริ่มทําเอกสารศิลปะการต่อสู้

ซึ่งนั่นก็คือ “การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจําลองสามปี” ที่พวกเขาศึกษามาโดยตลอด

หวังเต็งพยักหน้า เขาสังเกตเห็นว่าหลินซัวหานอยู่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงถามด้วยความประหลาดใจ “ คุณป้าไม่ได้มาส่งเธอสอบหรอ?”

“ ฉันไม่อยากให้เธอมา” หลินซัวหานกล่าว

“ แล้วการสอบวิชาภาษา,คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษของนายจะโอเคไหม” หลินซัวหานเปลี่ยนหัวข้อและถาม

หวังเต็งไม่เคยสนใจเรียนมาก่อน และผลสอบของเขานั้นก็มักจะเป็นเลขหลักหน่วยเสมอ ดังนั้นมันจึงทําให้เธอสงสัยว่าเขาจะสามารถสอบผ่านได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม ที่หลินซัวหานถามออกไปนั้นก็เป็นเพราะท่าทีที่ดูมั่นใจของเขา

“ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเป็นห่วง” ตามที่คาดไว้ หวังเต็งก็ยังคงพูดเหมือนเดิม

“ เอาล่ะ ตราบใดที่นายมั่นใจก็นะ” หลินซัวหานกล่าว

“ เจี้ยนน้อย พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของลูกอย่างงั้นหรอ?” ชายวัยกลางคนข้างๆหยางเจี้ยนกระโดดเข้าสู่การสนทนา

“ ใช่ครับพ่อ พวกเขานั่งอยู่ข้างหลังผม และพวกเขาก็สอบเข้าหลักสูตรศิลปะการต่อสู้เช่นดียวกับผม” หยางเจี้ยนพยักหน้าและตอบ

“ หัวหน้าห้อง นายน้อยหวัง นี่คือพ่อของฉัน…”

หยางเจี้ยนแนะนําพ่อของเขาให้รู้จักกับหวังเต็งและหลินซัวหาน

“ ยินดีที่ได้รู้จักครับ/ค่ะลุงหยาง!” หวังเต็งและหลินซัวหานทักทายชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว

พ่อของหยางเจี้ยนยิ้มและพูดว่า “ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน พวกเธอทุกคนกําลังสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้เช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเธอทั้งสามคนก็ควรจะสนิทกันไว้เยอะๆนะ”

“ เอาล่ะพ่อ เราจะไปที่สนามสอบเร็วๆนี้แล้ว พ่อกลับไปได้แล้ว” หยางเจี้ยนกล่าว

“ ตกลงตกลง พ่อจะมารับลูกตอนบ่ายนะ ตั้งใจสอบล่ะ” พ่อของหยางเจี้ยนบอกลาหวังเต็งและหลินซัวหานและขับรถออกไป

นักเรียนสามคนยืนอยู่ที่นั่นและพูดคุยกัน

นักเรียนคนอื่นๆทยอยมาถึงสถานที่สอบอย่างช้าๆ มันมีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆยืนอยู่นอกประตูโรงเรียน

“ ฉิบหายละ ฉันลืมเอาบัตรประจําตัวผู้เข้าสอบมาด้วย!”

ทันใดนั้น ฝูงชนก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญ นักเรียนและผู้ปกครองทุกคนต่างหันมามอง

มันเป็นนักเรียนหญิงที่อวบอ้วนเล็กน้อย เธอกระวนกระวายใจจนเหมือนมดบนกระทะร้อน เธอมีน้ำตาปรากฏบนใบหน้า เธอควานหามันในกระเป๋านักเรียน และมันก็ทําให้รอบข้างดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ยิ่งเธอตื่นตระหนกมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดูวิตกกังวลมากขึ้นเท่านั้น

พ่อแม่ของเธอเองก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เอาแต่บ่นและดุเธอ

“ ก่อนที่เราจะออกจากบ้านแม่ก็บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าให้เตรียมของให้พร้อม ทําไมลูกถึงได้ไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้นะ”

แม่ของนักเรียนคนนั้นเป็นหญิงวัยกลางคน ในเวลานี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทําเช่นไรดี

นักเรียนทุกคนมองดูนักเรียนหญิงด้วยความสงสาร การสอบกําลังจะเริ่มต้นขึ้น มันไม่มีเวลากลับไปเอาบัตรประจําตัวผู้เข้าสอบแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ทุกคนก็เริ่มตรวจสอบทรัพย์สินของพวกเขาเช่นกัน พวกเขากลัวว่าจะลืมนําของบางอย่างมาและจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโศกนาฏกรรมในครั้งนี้

หวังเต็งอดไม่ได้ที่จะตรวจสอบสิ่งของของเขาด้วย

บรรยากาศนี้ส่งผลกระทบต่อทุกๆคน บรรยากาศในที่เกิดเหตุดูวิตกกังวลและหวาดกลัว ดังนั้นแม้ว่าหวังเต็งจะดูสงบเสงี่ยมแค่ไหน แต่มันก็ยังทําให้เขารู้สึกกลัวเช่นกัน

โชคดีที่เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้น เขาไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องโชคร้าย จู่ๆคนที่อยู่ไม่ไกลจากเขาก็จาม

“ ให้ตายสิ ฉันบังเอิญเป็นหวัดเมื่อวานและวันนี้ฉันก็ป่วยเฉยเลย!”

มันค่อนข้างน่าเศร้าเช่นกัน นักเรียนคนนี้ปวยระหว่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มันอาจจะส่งผลต่อการแสดงความสามรถของเขา และหากเขาทําคะแนนได้น้อยลงโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็อาจจะไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้

สิ่งที่คล้ายกันมักเกิดขึ้นระหว่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ

ฉากทั้งหมดนี้เป็นด้านต่างๆของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

เวลาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

แนวกั้นถูกถอดออก และนักเรียนก็หลั่งไหลกันเข้าไปในสถานที่สอบในทันที

หวังเต็งแยกทางกับหลินซัวหานและหยางเจี้ยน พวกเขาไปที่สถานที่สอบของแต่ละคน

เขาคุ้นเคยกับโรงเรียนมัธยมตงไห่ดี ดังนั้นหวังเต็งจึงเดินไปเรื่อยๆจนพบกับห้องสอบของเขา

เขามอบโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆให้ผู้คุมสอบ จากนั้นเขาก็ตรวจสอบบัตรประจําตัวประชาชนและบัตรประจําตัวผู้เข้าสอบของเขา หลังจากนั้นหวังเต็งก็สามารถเข้าไปรอในห้องได้ในที่สุด

เขาหาที่นั่งและนั่งรอการสอบเริ่ม

ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงปรากฏขึ้นบนระบบกระจายเสียงของโรงเรียน มันอธิบายกฎของสถานที่สอบตลอดจนสิ่งที่ควรทราบ

นักเรียนฟังประกาศอย่างระมัดระวัง พวกเขากลัวว่าจะพลาดแม่จะเป็นจุดเดียวก็ตาม

ท้ายที่สุดแล้ว ความแตกต่างเพียงจุดเดียวก็อาจเพียงพอแล้วที่จะทําให้พวกเขาหมดอนาคต

เมื่อการออกอากาศจบลง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

อันดับแรกคือการสอบภาษา

ครูแจกเอกสารที่ละชิ้น หวังเต็งยิ้มเมื่อเห็นคําถามบนกระดาษ

การสอบภาษานั้นใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่ง หวังเต็งใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการทําให้เสร็จและอีกหนึ่งชั่วโมงที่เหลือเขาก็ไม่ได้ทําอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้เลือกที่จะออกจากสถานที่สอบไป แต่เขารอให้กริ่งดังก่อนจะออกไปจากห้องพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ

ฝูงชนของผู้ปกครองที่กระวนกระวายใจรออยู่นอกประตูโรงเรียนมัธยม

วินาทีที่นักเรียนออกมาเจอพ่อแม่ของพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร ผู้ปกครองทุกคนก็จะถามพวกเขาตรงๆต่อหน้าว่า “ สอบเป็นยังไงบ้าง?”

บ้างก็สุข บ้างก็ทุกข์

เพราะนี่คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มันเป็นฉากของ “ถ้าคุณไม่มีความสุข ฉันก็จะมีความสุขตาม!”

หวังเฉินกั๋วนั้นสงบกว่ามากเมื่อเทียบกับพวกเขา เขาไม่ได้ถามอะไรหวังเต็งเลยแม้แต่น้อยขณะขับรถกลับบ้าน

เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน หลี่ซิ่วเหม่ยก็ทําในลักษณะเดียวกัน เธอสงบนิ่งจนหากไม่บอก มันก็คงจะไม่มีใครรู้ว่าลูกของพวกเขาเพิ่งไปสอบมา

หวังเต็งรู้สึกหมดหนทาง เมื่อวานพวกเขายังคิดจะหักขาเขาอยู่เลย แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นแล้วล่ะ? ทําไมพวกเขาถึงทําราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้

การสอบคณิตศาสตร์อยู่ช่วงบ่าย และเขาก็จะสอบภาษาอังกฤษในวันรุ่งขึ้น

หวังเต็งทําทุกอย่างโดยไม่ได้ติดขัดอะไร

ต่อไปเป็นการสอบศิลปะการต่อสู้

หวังเต็งไม่ต้องสอบตอนบ่ายของวันที่สอง ดังนั้นเขาจึงกลับบ้านเร็ว การสอบศิลปะการต่อสู้นั้นเป็นของวันที่สามที่สถานที่อื่น

หวังเฉินกั๋วและหลี่ซิ่วเหม่ยตกตะลึง “ ลูกสมัครสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้หรอ?”

หวังเต็งไม่ได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินว่าหวังเต็งกําลังสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้อยู่ พวกเขาจึงไม่ทันได้ตั้งตัว

“ ถูกต้อง ไม่อย่างงั้นแล้วผมจะฝึกศิลปะการต่อสู้ไปทําไมล่ะ?” หวังเต็งกล่าวอย่างสบายๆ

“ แต่ลูกเพิ่งเริ่มเรียนศิลปะการต่อสู้และยังไม่ได้เป็นศิษย์นักสู้ขั้นกลางไม่ใช่หรอ? นอกจากนี้พ่อก็ได้ยินมาว่าการประเมินการต่อสู้จริงของหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นอันตรายมาก” หวังเฉินกั๋วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ ลูกแม่ ลูกอย่าเอาชีวิตของลูกไปเล่นอะไรโง่ๆสิ!” หลี่ซิ่วเหมียรู้สึกประหม่าเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“ ไม่ต้องกังวล ถ้าพรุ่งนี้ผมไม่ผ่านการทดสอบของศิษย์นักสู้ขั้นกลาง ผมก็จะไม่เข้าการประเมินการต่อสู้จริงอย่างแน่นอน” หวังเต็งโบกมือ

“ อืม เอางั้นก็ได้” หวังเฉินกั๋วตั้งสติ เขาถามด้วยความสงสัย “ ในกรณีนี้ ทําไมลูกถึงสมัครสอบทั้งๆที่ไม่มีความหวัง?”

“ ผมอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง” หวังเต็งพูดเรื่องไร้สาระเหมือนกับพ่อของเขา

“ โอเค คิดได้แบบนั้นก็ดี” หวังเฉินกั๋วพยักหน้าและตอบ

วันที่ 7 กรกฎาคม วันที่สามของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

รุ่งเช้า หวังเต็งมาถึงโรงเรียนมัธยมตงไห่ ประตูโรงเรียนเต็มไปด้วยผู้คนตามปกติ

นี่เป็นรอบแรกของการทดสอบศิษย์นักสู้ – การตรวจสอบระดับลูกศิษย์

รอบนี้จะไม่ได้จัดขึ้นที่โรงเรียนมัธยม แต่เป็นสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงแทน

ในขณะนี้ ไม่ไกลจากทางเข้าโรงเรียนมัธยม มันก็มีรถโดยสารสองสามคันจอดอยู่ที่นั่น หลินซัวหานและนักเรียนคนอื่นๆที่เข้าร่วมการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ได้รวมตัวกันแล้ว

นักเรียนธรรมดาคนอื่นๆจ้องมองไปในทิศทางนั้นเป็นครั้งคราวและกระซิบกันเอง มันมีความอิจฉาริษยาในดวงตาของพวกเขา

“ พวกเขาเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่เข้าร่วมการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้”

“ มีการเปลี่ยนแปลงกฏในปีนี้ ดังนั้นศิษย์นักสู้ขั้นกลางจึงมีโอกาสสมัครสอบด้วย เห็นได้ชัดว่ามันมีคนมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว น่าเสียดายที่เราก็ยังไม่มีโอกาส

“ เฮ้อ…”

นักสู้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสังคมชนชั้นสูงไปแล้ว สังคมและเวลามีการเปลี่ยนแปลงเสมอและในสังคมยุคปัจจุบัน ตําแหน่งระดับสูงจํานวนมากก็สามารถถูกครอบครองได้เฉพาะนักสู้เท่านั้น พวกเขาเป็นคนสําคัญและขาดไม่ได้ในสังคม

คนปกติไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดพวกนักสู้จากการปีนขึ้นไปด้านบน

เมื่อกลายเป็นนักสู้แล้ว นั่นก็หมายความว่าพวกเขาได้หลุดพ้นจากชนชั้นกรรมกรทั่วไปแล้ว

ดังนั้นแล้วใครล่ะจะอยากไปอยู่ในชนชั้นล่างตลอดไป?

หวังเต็งลงจากรถและอําลาหวังเฉินกั๋ว เขาถือกระเป๋าของเขาไว้ในมือข้างหนึ่งและถือกล่องสี่เหลี่ยมสีดําที่ดูเหมือนกล่องเชลโลไว้บนหลังของเขา เขาเดินไปทางรถเมล์

เมื่อนักเรียนผ่านการวัดระดับศิษย์นักสู้ พวกเขาก็จะมุ่งหน้าไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อทําการทดสอบรอบถัดไป

ด้วยเหตุนี้เอง นักเรียนทุกคนจึงต้องนําเสื้อผ้าสําหรับเปลี่ยนและของใช้ประจําวันมาด้วย

หวังเฉินกั๋วพบว่ามันตลกเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นหวังเต็งซึ่งเพิ่งจะฝึกศิลปะการต่อสู้นํากระเป๋าเดินทางไปด้วย และดูราวกับว่าเขาจะจริงจังกับการสอบมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาอนุญาตให้ลูกชายของเขาทําทุกอย่างที่เขาต้องการ

อย่างไรก็ตาม เขาก็สงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับกล่องดํายาวที่ดูเหมือนกล่องเชลโล หวังเต็งใส่อะไรไว้ในนั้นกันนะ?”

แต่เนื่องจากหวังเต็งไม่ต้องการที่จะบอกเขา เขาก็จึงไม่สามารถทําอะไรได้เช่นกัน!

เขามองไปที่แผ่นหลังของหวังเต็งขณะที่เขาเดินไปทางรถเมล์ ทันใดนั้นหวังเฉินกั๋วก็ตระหนักได้ว่าลูกชายของเขานั้นแตกต่างจากในอดีต

แผ่นหลังของเขาตรงและมั่นคง เขาดูเหมือนใบมีดล้ำค่าที่รอการดึงออกจากฝัก!

เขายังมีภาพลวงตาว่าลูกชายของเขาจะทําให้เกิดพายุรุนแรงระหว่างการเดินทาง

หวังเฉินกั๋วหัวเราะและส่ายหัว ….

ในอีกด้านหนึ่ง หวังเต็งก็ได้รวมกลุ่มกับหลินซัวหานและเพื่อนของเขา พวกเขายืนอยู่ข้างรถบัสและพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง

“ นายน้อยหวัง สิ่งที่อยู่ด้านหลังของคุณคืออะไรกัน?” หยางเจี้ยนจ้องไปที่กล่องบรรจุอาวุธบนหลังของหวังเต็งด้วยความสงสัย

หลินซัวหานเองก็มองไปที่นั่นเช่นกัน เธอประเมินกล่องบรรจุอาวุธด้วยสายตาของเธอ แต่โชคไม่ดีที่หวังเต็งเอากระเป๋าดํามาปิดไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน

พวกเขามีอาการคันด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ อาวุธลับ!” หวังเต็งยิ้มและตอบ

“ ชิ บอกเราหน่อยก็ไม่ได้” หยางเจี้ยนบ่น