บทที่ 64: ช็อค..

สามปีแห่งการทํางานหนักเพื่อโอกาสเพียงครั้งเดียว!

คําพูดของฟานเว่ยหมิงปลุกใจนักเรียนหลายๆคน มันทําให้พวกเขารู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจของพวกเขามากขึ้น

การสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือวันที่ 5 กรกฎาคม

หลังจากที่นักเรียนออกไป ทั้งโรงเรียนถูกปิดล้อม

มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกันเกี่ยวกับโลกนี้เมื่อเทียบกับโลกในชีวิตที่แล้ว

ตัวอย่างเช่น ในโลกที่แล้ว มันจะมีวันหยุดสามวันก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ในโลกนี้มันก็มีวันหยุดแค่วันเดียวเท่านั้น

ถึงกระนั้นพวกเขาก็สามารถจัดการเรื่องสถานที่สอบได้เสร็จหมดในวันเดียว

โรงเรียนมัธยมตงไห่นั้นเป็นโรงเรียนชั้นนํา ดังนั้นมันจึงเป็นหนึ่งในสถานที่สอบ

นอกจากนี้ก็ยังมีโรงเรียนอื่นๆและสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงบางแห่งที่เป็นสถานที่สอบ

ได้ยินถูกต้องแล้ว สถาบันสอนศิลปะการต่อสู้นั้นก็เป็นสถานที่สอบเช่นกัน อย่างไรก็ตามพวกมันก็ถูกใช้สําหรับการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้เท่านั้น

อุปกรณ์ทุกประเภทในสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้จะถูกใช้เพื่อตรวจสอบร่างกายของนักเรียน ที่เข้าร่วมการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้

หวังเต็งหยิบบัตรประจําตัวผู้เข้าสอบและบอกลาหลินซัวหาน จากนั้นพวกเขาก็แยกย้า ยกันกลับบ้าน

วันรุ่งขึ้น วันเสาร์

หวังเต็งไม่ได้ไปไหน เขาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน

เขาได้เพิ่มค่าคุณสมบัติทั้งหมดเท่าที่เจะทําได้แล้ว และการหยุดเพียงวันเดียวนั้นก็ไม่ได้สร้างข้อแตกต่างอะไรมากสําหรับเขา

พูดตามตรง สําหรับเขาแล้วการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นก็เป็นเพียงประตูอีกบานที่เขาต้องเดินเข้าไปเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไรสําหรับเขา

หวังเฉินกั่วและหลี่ซิ่วเหม่ยไม่เหมือนกับพ่อแม่คนอื่นๆที่เป็นเหมือนมดบนกระทะร้อน พวกเขาไม่ได้กระวนกระวายหรือวิตกกังวลใดๆ พวกเขาทั้งสองคนใจเย็นมาก มากซะจนพวกเขาทําเหมือนกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนกลางคืน

หวังเฉินถั่วดื่มชาและดูข่าวในขณะที่หลี่ซิวเหม่ยก็ฝึกโยคะที่ด้านข้าง พวกเขาดูไร้กังวลจริงๆ

เมื่อหวังเต็งลงมาดื่มน้ําแล้วได้เห็นสิ่งที่พ่อแม่ของเขากําลังทําอยู่ เขาก็รู้สึกพูดไม่ออกในทันที

พูดตามตรงนะ คุณช่วยแสดงความเคารพต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของลูกคุณหน่อยได้ไหม?

“ ผู้คนจะคิดยังไงถ้าพวกเขาเห็นพ่อและแม่ของฉันทําตัวแบบนี้ขณะที่ฉันกําลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย”

หวังเต็งบ่นในใจ อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ว่าที่พวกเขาสงบได้ถึงขนาดนั้นก็เป็นเพราะพวกไม่มีความคาดหวังอะไรในตัวหวังเต็ง

แต่หลังจากที่ผลสอบออกมา เขาก็รู้สึกสงสัยจริงๆว่าการแสดงออกของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

มันคงจะน่าสนใจไม่น้อย!

“ ลูกเตรียมทุกสิ่งที่จําเป็นสําหรับการสอบพรุ่งนี้พร้อมแล้วหรือยัง? แม้ว่าลูกจะไปสอบเล่นๆพรุ่งนี้ แต่ลูกก็ต้องเตรียมตัวหน่อยนะ ยังไงซะพ่อกับแม่ก็จะได้พอพูดได้บ้างเวลาคนอื่นเขาถามถึงการสอบของลูก” หลี่ซิวเหม่ยหยุดครู่หนึ่งแล้วพูด

หวังเฉินกั่วจิบชาของเขาและหลับตาลงเพื่อลิ้มรส จากนั้นเขาก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ แม่ของลูกพูดถูก หากลูกได้คะแนนเป็นศูนย์ ลูกก็อย่าไปสิบเลย ขายหนาเขาเปล่าๆ”

หวังเต็งพูดไม่ออก “ ทําไมพ่อไม่มั่นใจในตัวผมให้มากกว่านี้หน่อยหล่ะ?”

“ เราก็ต้องการที่จะมั่นใจในตัวลูกเช่นกัน แต่ลูกก็ไม่เปิดโอกาสให้เราได้ทําแบบนั้นเลย ไอ้ลูกชาย!” หวังเฉินกัวตอบกลับ

“ แล้วเราจะได้รู้กัน” หวังเต็งหัวเราะขณะตอบกลับ

“ ลูกพ่อ!” หวังเฉินกั่วกลอกตาใส่เขา

ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นและขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดกับหลี่ซิ่วเหมียว่า “ พี่ชายโทรมานะ”

“ สวัสดีพี่” หวังเฉินทั่วรับสายและเริ่มคุยกับลุงของหวังเต็ง หวังเฉินหง

ก่อนที่การสนทนาของพวกเขาจะจบลง โทรศัพท์ของหลี่ซิ่วเหม่ยก็ดังขึ้นเช่นกัน เธอหยิบมันขี้นมาแล้วพูดว่า “ สวัสดีพี่!”

ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งคู่ก็วางสาย

“ ลูกพ่อ พวกเขาโทรมาถามเรื่องการสอบของลูกน่ะ เป็นไง กดดันขึ้นรึยัง?” หวังเฉินกั่วแกล้งลูกชายของเขา

“ ผมจะกดดันอะไร? ยังไงผมก็ปที่นั่นเพื่อได้รับศูนย์คะแนนอยู่ดี ยังๆงก็เถอะ คนที่ควรกดดันน่ะมันพ่อกับแม่ต่างหาก” หวังเต็งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

ใบหน้าของหวังเฉินกั่วและหลี่ซิ่วเหม่ยเปลี่ยนเป็นมืดมน

ไอ้เด็กเวรนี่พูดอะไรออกมาน่ะ!

ขณะที่ทั้งสามเริ่มคุยกัน โทรศัพท์ของพวกเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันคือสายเรียกเข้าของลุง,ป้าและญาติๆของหวังเต็ง ทุกคนแสดงความกังวลต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเขา

ในตอนท้าย สายตาของหวังเฉินกั่วและหลี่ซิ่วเหม่ยก็เปลี่ยนไปจากเดิม

“ ลูกแม่ ถ้าลูกไม่ได้สักหนึ่งคะแนน สองคะแนน หรือสามคะแนนในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ ลูกก็จะได้เจอกับพายุโหมกระหน่ําแน่!” หลี่ซิ่วเหม่ยขู่เขา

“ เหมือนกัน ถ้าลูกไม่ได้สักคะแนนเลยล่ะก็ หึๆ เตรียมเจอกับความโกรธของจักรพรรดิหวังได้เลยเข้าใจไหม?” หวังเฉินกั่วจ้องมองไปที่หวังเต็ง

หวังเต็งรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาในทันที

“ ท่านจักรพรรดิ จักรพรรดินี กระผมทําไม่ได้”

“ ฮีม ถ้าลูกทําไม่ได้ล่ะก็ ตาย…”

โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง

… หวังเฉินกั่วและหลี่ซิ่วเหม่ยเงียบไปสองสามวินาที จากนั้นพวกเขาก็พูดพร้อมกัน

“ ฮัลโหล!”

“ ฮัลโหล!”

มุมปากของหวังเต็งกระตุก เขารู้สึกว่าพ่อแม่ของเขากําลังจะเป็นบ้าจากการโทรที่บ้าคลั่งมาแก้คําถามคณิตศาสตร์กันเถอะ

ตอนนี้หวังเฉินกั่วและหลี่ซิ่วเหม่ยกําลังมีแผลใจยาวเท่าไหร่กัน?

ถ้าถูกก็มีรางวัล

หลี่ซิ่วเหม่ยเหลือบมองไปที่ไอดีผู้โทรบนโทรศัพท์ จากนั้นเธอก็บอกกับสามีของเธอว่า “ เร็วเข้า นั่นพ่อ!”

“ สวัสดีครับคุณพ่อ!” หวังเฉินกัวรีบรับสาย

“ ทําไมแกรับสายช้าจัง?” เสียงชายชราดังมาจากปลายสาย เขาฟังดูเคร่งขรึมเล็กน้อย

“ เอ่อ ผมอยู่ในห้องน้ํานะ” หวังเฉินกั่วแถสีข้างถลอกโดยไม่ลังเล

“ เอาล่ะ ฉันขี้เกียจจะคุยกับแกแล้ว หลานชายของฉันอยู่ข้างๆแกไหม ฉันขอคุยกับเขาหน่อย” ปูหวังพูดอย่างหมดความอดทน

“ นี่ คุณปู่ของลูก” หวังเฉินกั่วส่งโทรศัพท์ของเขาให้หวังเต็งอย่างเชื่อฟัง เขาดูอิจฉาเล็กน้อย

หวังเต็งวางโทรศัพท์ไว้ข้างหูและทักทาย “ คุณปู่”

“ หลานรักของปู่!”

เสียงปุ่หวังดังขึ้นทันที มันยังเป็นคนเดิม แต่ตอนนี้เขากลับฟังดูน่ารักขึ้นจริงๆ

การแสดงออกของหวังเฉินกั่วเปลี่ยนไปอย่างขมขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงที่ใจดีนั้น

หลี่ซิ่วเหม่ายหัวเราะเยาะที่ด้านข้าง

หวังเต็งและปู่หวังคุยกันแบบสบายๆอยู่พักหนึ่ง ส่วนใหญ่เขาถามหวังเต็งเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเขา

ในตอนท้ายปู่หวังก็กล่าวว่า “ ตั้งใจทําข้อสอบล่ะ หลังจากสอบเสร็จ ปู่จะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เอง”

หวังเต็งเชื่อฟังปู่ของเขาอยู่เสมอ และนั่นคือเหตุผลว่าทําไมปู่ของเขาจึงมองเขาเป็นหลานรีกและไม่เคยมองเขาในแง่ร้าย และไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเรียนเลย เขาไม่เคยสนว่าหลานของเขาจะเรียนแย่ขนาดไหน เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็เชื่อว่าหลานของเขาจะประสบความสําเร็จอย่างแน่นอน

หวังเต็งยังจําได้ว่าปู่ของเขานั้นก็ได้จัดงานเลีเยงครั้งใหญ่ให้กับเขาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด เขาก็ไม่สามารถซ่อนผลการสอบของเขาจากกลุ่มผู้สอดรู้สอดเห็นได้ ดังนั้นงานเลี้ยงจึงกลายเป็นเรื่องตลกในแวดวงชนชั้นสูง และนั่นก็ทําให้ปู่หวังของเขาเกือบตายด้วยความโกรธ

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ หวังเต็งก็รู้สึกผิดและเสียใจ

โชคดีที่ในชีวิตนี้เขาไม่ได้มาเล่นๆเหมือนครั้งก่อน

การสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรอ? หึๆ!

หวังเต็งตัดสินใจเงียบๆว่าเขาจะต้องทําให้ทุกคนประหลาดใจให้ได้ในการสอบครั้งนี้ เขาจะพิสูจน์ตัวเองกับคนที่เคยดูถูกเขาในอดีต

หวังเต็งต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าหวังเต็งคนนี้คือตัวตนของคนที่อยู่เหนือจินตนาการของพวกเขา

ไม่มีใครโทรหาพวกเขาอีกหลังจากคุณปู่หวังวางสาย หวังเฉินนิ้วแหละหลี่ซิวเหม่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในตอนแรกพวกเขาสงบมาก ทว่าตอนนี้พวกเขาก็ได้เปลี่ยนไปแสดงสีหน้าลําบากใจและรู้สึ กขมขื่นใจแทน

“ เราควรจะทําอย่างไรดี?” หลี่ซิ่วเหม่ยถาม

“ ทําไมเราไม่หักขาลูกชายเราทิ้งซะล่ะ? เขาจะได้ไม่สามารถไปเข้าสอบมหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้ได้ไง? ด้วยวิธีนี้เราก็จะได้มีเหตุผลดีๆไปตอบพวกญาติๆด้วย” หวังเฉินกั่วพูดความคิดที่น่ารังเกียจออกมา

ดวงตาของหลี่ซิ่วเหม่ยเป็นประกาย “ นั่นสิ ทําไมเราไม่ลองดูล่ะ? เขาว่ากันว่าคนที่ฝึกศิลปะการป้องกันตัวจะหายได้เร็วมาก ดังนั้นเขาก็น่าจะฟื้นตัวได้ภายในสองสามวัน และการหักขาเขาก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเขา”

“ พวกคุณเป็นปีศาจหรอ? ฉันเป็นลูกชายแท้ๆของพวกคุณนะ!” หวังเต็งตัวสั่นด้วยความกลัวพาดหัวข่าวพรุ่งนี้

ข่าวช็อก! พ่อแม่ของนักเรียนคนหนึ่งหักขาลูกตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพราะเขาโง่เกินไป นี่เป็นการดิ้นรนของมนุษย์หรือความเสื่อมทางศีลธรรมกัน!”