บทที่ 171 ปีศาจสองบุคลิก

เด็กสาวเกิดมาพร้อมกับดวงตาที่สามารถลวงหลอกคนให้กลายเป็นปีศาจร้ายได้

และเมื่อดวงตาคู่นั้นประดับอยู่บนดวงหน้างดงามไร้ที่ติ ก็ยิ่งเพิ่มความงามล่มเมืองได้อีกมากโข แม้แต่คนอย่างโหลวจวินเหยาที่อยู่มาหลายร้อยปียังอดรู้สึกว่าทะเลสาบในก้นบึ้งจิตใจที่เคยสงบสุขกลับเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาไม่ได้

เป็นจิ้งจอกน้อยที่ยั่วยวนนัก!

โหลวจวินเหยาเริ่มรู้สึกไม่สบายตัวกับสายตานาง จึงยกมือขึ้นปิดตานางไว้

แต่ถึงแม้จะทำแบบนั้นก็ยังเห็นริมฝีปากที่โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแทบมองไม่เห็น คล้ายกับจะล้อเลียนเขา “อะไร? ข้าอ่านใจถูก ท่านก็เลยใช้ความโกรธปกปิดความน่าละอายงั้นหรือ?”

โหลวจวินเหยากัดฟันแน่น “ข้าอยากจะตีเจ้าแรง ๆ สักทีจริง!”

“โอ๋? ท่านไม่เพียงชอบแกล้งสตรี แต่ยังชอบตีคนด้วยหรือนี่?” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเรียบ

โหลวจวินเหยาหายใจเข้าลึก ๆ ปัดความคิดอยากตีคนออกไป จากนั้นเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ

ชิงอวี่ประหลาดใจนัก “?? …..”

บุรุษสมัยนี้น่าสมเพชขนาดนี้เชียวหรือ?

นางแค่หยอกเขาเล่นเอง เขาต้องโกรธขนาดนั้นเลย? ตอนที่มือเขาอยู่ไม่สุขนางยังไม่เก็บมาคิดแค้นเคืองเลยนะ!

เฟิ่งเทียนเหิงมองภาพนั้นจากไกล ๆ อยู่นานพอสมควร ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเดินตามหลังเขาไว ๆ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ เด็กคนนั้นใครหรือ? ทำไมข้ารู้สึกราวกับว่าท่านห่วงใยนางเอามาก ๆ ”

เช่นนี้ไม่สมกับเป็นพี่ใหญ่เลย

จากนั้นเขาก็พลันจำได้ว่าเฟิ่งเทียนเหิงมีท่าทีเช่นไรยามกลับมาสำนัก จำได้ว่าเขาจ้องไปยังที่ไกล ๆ ไม่ละสายตา ดวงตาเต็มไปด้วยความโหยหาและรุ่มร้อน เมื่อนึกย้อนกลับไป เหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังจ้องแผ่นหลังของเด็กคนหนึ่ง เหมือนกับแม่นางคนนี้มาก อาจจะเป็น… คนเดียวกันหรือไม่?

ดวงตาของเฟิ่งเทียนเหิงหรี่ลง ปลายริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น “เจ้าเชื่อเรื่องชาติก่อนไหม?”

เด็กหนุ่มรู้สึกงงงวยเล็กน้อย “ชาติก่อน?”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผล แต่ได้เห็นนางครั้งแรก ในใจข้าก็มีความรู้สึกพิเศษบางอย่าง รู้สึกราวกับรู้จักนางมานาน ได้ยินเสียงบอกว่านางเป็นของข้า” เสียงของเฟิ่งเทียนเหิงเต็มไปด้วยความปรารถนา ราวกับว่ามันช่างสวยงามอย่างที่เขาว่าไว้นัก

ได้ยินเช่นนั้นแล้ว เด็กหนุ่มก็เงียบไปชั่วขณะก่อนจะถามว่า “หมายความว่าพี่ใหญ่ชอบนางหรือ? ทำไมไม่บอกนางเล่า? ผู้ชายคนเมื่อครู่ดูจะสนใจนาง หากพี่ใหญ่ไม่พูดอะไร คนอื่นอาจลงมือก่อนก็ได้นะ”

เฟิ่งเทียนเหิงจ้องมองแผ่นหลังเด็กสาวที่เดินจากไปแล้วสายตาก็ทะมึนลง “วันที่นางจะได้รู้ว่าใครที่เหมาะสมกับนางที่สุดจะมาถึงเข้าสักวัน บุรุษผู้นั้นก็เป็นอาจารย์ต่ำต้อยผู้หนึ่ง หึ คิดใคร่อยากในของที่ไม่ใช่ของตน สักวันจะต้องชดใช้”

“พี่ใหญ่ ชายหนุ่มคนนั้นให้ข้าจัดการเองเถอะ” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมไอสังหารในนัยน์ตา

เฟิ่งเทียนเหิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขาไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นหรอกนะ หากเจ้าประมาท เจ้าย่อมเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว”

เด็กหนุ่มไม่พอใจ พยายามจะโต้เถียง “ถึงพลังบำเพ็ญของข้าจะไม่ลึกล้ำเท่าของท่าน แต่อย่างน้อยข้าก็เป็นจอมยุทธ์อันดับสูงที่สุดทั่วทั้งแดนมุกหยกนะ มีหรือจะไม่อาจรับมือพวกหน้าขาวไล่เกี้ยวสตรีไปทั่วอย่างเขาได้?”

ใช่แล้ว ที่เขาเห็นคือ ชายหนุ่มผู้นั้นก็แค่ไล่ตามสตรีไปวัน ๆ คิดแข่งขันเอาสตรีคนเดียวกับพี่ใหญ่ก็เท่านั้น แต่นอกจากหน้าตาดูดีกับมีเล่ห์เหลี่ยมล่อลวงหญิงสาวและมีฝีมือยุทธ์อยู่บ้างแล้ว ชายคนนั้นก็ไม่มีดีอะไรอีก

หากใครบางคนได้รู้ความคิดนี้เข้าก็คงได้หัวเราะจนตายเป็นแน่

เขาเป็นจอมมารแห่งแคว้นมารแดนเมฆาสวรรค์ กลับถูกผู้อื่นนึกว่าเป็นแค่ไอ้หนุ่มหน้าขาวคนหนึ่งที่ไล่เกี้ยวสตรีไปทั่ว นับเป็นความล้มเหลวยิ่งนัก

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตัดสินใจแล้ว เฟิ่งเทียนเหิงก็จนใจ แต่ก็ไม่ได้บอกปฏิเสธ

ก็ดี จะได้ถือโอกาสทดสอบว่าโหลวไป่เชียนผู้นี้ลึกล้ำขนาดไหน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ เด็กหนุ่มก็จากไปอย่างมีความสุข ปล่อยให้เฟิ่งเทียนเหิงยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานจนกระทั่งใบหน้าเปลี่ยนไป

หากใครเดินผ่านมาเห็น ก็คงได้ค้นพบด้านที่แปลกประหลาดของชายหนุ่มที่ปกติจะนุ่มนวลอ่อนโยนอยู่ตลอด ใบหน้าไร้จุดบกพร่องใดราวกับถูกแยกออกเป็นสองส่วน กลายเป็นคนที่แตกต่างกันสองคน

ใบหน้าด้านหนึ่งมีรอยยิ้มชั่วร้ายประดับอยู่ ในขณะที่อีกด้านนั้นเป็นชายหนุ่มใสสะอาด บริสุทธิ์นัก

เขากุมศีรษะตนเองท่าทางดูเจ็บปวด “เจ้าปีศาจ! ออกไปจากร่างข้าเดี๋ยวนี้! ออกไปเสีย!”

ใจที่เต็มไปด้วยเสียงคำรามโกรธพลุ่งพล่านอยู่ชั่วขณะ

คล้ายกับว่าเขามีนิสัยที่ต่างกันสิ้นเชิงอยู่สองแบบ พวกมันต่างต่อสู้พัวพัน พยายามถือครองเอาร่างของเขา

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เชื่อฟังอีกแล้วหรือ? เจ้าหมายความว่าอะไรที่บอกว่ามันเป็นร่างของเจ้า? เจ้ากับข้าเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่หรือไร?” เสียงนี้ออกจากปากเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับฟังดูชั่วร้ายนัก

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” เฟิ่งเทียนเหิงนัยน์ตาแดง ถามเสียงลอดไรฟัน

ใบหน้าครึ่งที่ดูชั่วร้ายพลันแลบลิ้นเลียมุมปาก “สิ่งที่ข้าต้องการน่ะหรือ? แม้เดิมทีเจ้ากับข้าจะเคยเป็นหนึ่งเดียวกัน ทว่าเด็กคนนั้น… ไม่ใช่คนที่เจ้าคิดอยากครอบครองได้”

“เจ้าว่าอะไรนะ!?” อย่าได้มีความคิดอะไรกับนางเลยดีกว่า ไม่เช่นนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” เฟิ่งเทียนเหิงกล่าวอย่างโกรธเคือง

“ฮ่า ๆ เจ้าคิดว่าเป็นเพราะอะไรเล่า ตอนเจ้ามองนางครั้งแรกจึงรู้สึกคุ้นเคยปานนั้น? ทำไมหัวใจของเจ้าถึงได้โหยหานางมากขนาดนี้? นั่นก็เพราะ…ความรู้สึกเหล่านั้นมันมีอิทธิพลมาจากความทรงจำของข้า”

เฟิ่งเทียนเหิงชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด

“นางเป็นของข้าคนเดียว ในโลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ครอบครองนางอีก ยกเว้นข้าเท่านั้น มีเพียงข้าที่ทำได้” ใบหน้าชั่วร้ายนั้นน่ากลัวและกระหายเลือดยิ่งนัก “แต่เพราะพวกเรามีร่างเดียวกัน ข้าก็จะไม่คิดแค้นเจ้าอีก วันนี้ข้าพอใจกับสิ่งที่เจ้าทำมาก ไม่ว่าบุรุษใดที่คิดปรารถนาชิงของข้า มันผู้นั้นจะต้องทรมานเสียยิ่งกว่าตาย”

เฟิ่งเทียนเหิงรู้สึกว่าร่างพลันแข็งค้างไป ความหนาวกัดกระดูกแล่นไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า

ทันใดนั้นอาการเวียนหัวก็เข้าครอบงำจิตใจ สภาวะสองบุคลิกพลันกลับคืนเป็นปกติ ใบหน้ากลับไปเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาอ่อนโยนคนเดิม เว้นเสียแต่รอยยิ้มที่มุมปาก มันไม่ได้ให้ความรู้สึกปลอบประโลมสดชื่นเช่นแต่ก่อน กลับรู้สึกถึงความชั่วร้ายน่ากลัวแทน

มันเป็นใบหน้าเดียวกัน แต่กลับรู้สึกราวกับเป็นคนละคน

เขาหรี่ตาลง “ปล่อยให้เจ้าคนไร้ประโยชน์จัดการเรื่อง ข้าคงไม่อาจวางใจได้ ข้าขจัดความกังวลด้วยตนเองจะดีกว่า”

——————————-

ยามราตรีมาถึง ในสำนักละอองหมอกเงียบสงบเป็นยิ่งนัก

เว้นเสียแต่ชิงอวี่ในภาควิชาพิเศษ คนอื่น ๆ นั้นพักอยู่ใกล้เคียงกันมาก

ชายหนุ่มหน้าสตรีพยายามเร่งฝีเท้าสุดชีวิต พยายามตักน้ำให้เต็มก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

เขาเหนื่อยมากจนหลับไป แต่ปากยังคงพึมพำสาปแช่งใส่ชายใจดำคนหนึ่งไม่หยุด ภายใต้พระจันทร์สิ้นปีอันเหน็บหนาว ลำธารนั้นพากันแข็งตัว ทำให้เขาต้องนั่งละลายน้ำแข็งซึ่งเสียเวลาพอสมควร แทบทำภารกิจให้สำเร็จไม่ได้เลย

แต่บทเรียนในวันนี้ทำให้เขาจำฝังหัว ในบรรดาอาจารย์ทั้งหมดในสำนักละอองหมอก หากคิดจะล่วงเกินใคร คนคนนั้นต้องไม่ใช่โหลวไป่เชียน

คนคนนั้นสามารถทรมานเจ้าจนตายพลางส่งยิ้มไร้พิษภัยให้เจ้าได้ อีกทั้งยังไม่เปื้อนเลือดอีกต่างหาก

อาจารย์ในสำนักได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่ามาก เกือบทุกคนมีเรือนเป็นของตนเอง มีพื้นที่กว้างขวางให้ใช้สอย

โหลวจวินเหยาเป็นอาจารย์ระดับเจ็ดดาว ดังนั้นจึงยิ่งได้รับการปฏิบัติที่ดียิ่งกว่า เรือนของเขามีขนาดใหญ่กว่าคนอื่น ๆ นัก นอกจากเรื่องพื้นที่แล้ว มันยังเงียบสงบ มีน้อยคนที่จะมารบกวนเขาได้ ไม่มีอะไรน่าสบายใจไปมากกว่านี้แล้ว

ไป๋จือเยี่ยนเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากที่นั่น ส้นเท้าเพิ่งจะยกขึ้น แต่กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน

แต่ด้วยพลังบำเพ็ญของคนผู้นั้นต่ำต้อยนัก ไม่ว่าจะฝีเท้าเบาเพียงไหน โหลวจวินเหยาก็สัมผัสอีกฝ่ายได้แม้จะยังไม่ทันได้เข้ามาก็ตามที

คนผู้นั้นอยู่ในชุดดำทั้งตัวเพื่อกลืนไปกับความมืด นักฆ่าผ้าคลุมหน้าดำค่อย ๆ พลิกตัวเข้ามาอย่างไร้เสียง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งจิบชาอยู่กลางสวนก็ให้ตกใจ

คนคนนี้… ผิดปกติอะไรที่ศีรษะหรือไม่?

กลางค่ำกลางคืน อากาศเหน็บหนาวเช่นนี้เขากลับไม่หลับไม่นอน มานั่งจิบชาตากลมหนาวเสียดกระดูกงั้นหรือ!?

โหลวจวินเหยายกริมฝีปากขึ้น “แขกของข้ามีใจอยากจิบช้าเช่นข้าบ้างหรือไม่?”

ดูท่าจะผิดปกติจริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนเชื้อเชิญนักฆ่าที่มาเพื่อปลิดชีวิตตนให้ไปนั่งดื่มชากับตนเอง

นักฆ่าผู้นั้นหัวเราะเยาะก่อนจะแบมือออก ดาบโปร่งแสงแผ่ไอสังหารร้ายกาจออกมาพลันปรากฏขึ้นในมือ มันส่องล้อแสงจันทร์สีเงินเป็นประกายเย็นเยียบ

“เวลาของเจ้าหมดลงเท่านี้ล่ะ!”

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่? ชายคนนั้น… บอกว่ามาเพื่อสังหารเขาหรือ?

หลังจากเข้าใจเจตนาของชายคนนั้นแล้ว โหลวจวินเหยาก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ หัวเราะจนอกกระเพื่อมไม่หยุด น่าสนใจนี่ ผ่านมานานกี่ปีแล้วนะ? ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเรื่องน่าสนใจเช่นนี้

ในแดนเมฆาสวรรค์ การลอบสังหารหรือซุ่มโจมตีนับเป็นเรื่องปกติ แต่ในดินแดนที่ต่ำกว่าเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นกับเขา

แต่เขาก็สงสัยมากจริง ๆ ว่าเขาไปขัดขาผู้ใดไว้?

อาจเป็นเพราะเขามีใบหน้าสับสนนัก นักฆ่าผู้นั้นจึงช่วยเปิดปากบอกให้ “หากอยากรู้ต้นสายปลายเหตุ ก็โทษที่เจ้ามักมากในกาม กล้าปรารถนาสตรีของพี่ใหญ่ของข้าก็แล้วกัน!”

มักมาก?

ข้าเนี่ยนะ?

โหลวจวินเหยายิ่งสงสัยกว่าเก่า “แล้วพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นใครกัน?”

“คนตายไม่จำเป็นต้องรู้มาก!”

“…..” ก็แล้วใครมันพูดขึ้นมาก่อนเล่า?

นักฆ่าส่งเสียงร้อง ก่อนจะพุ่งเข้าซัดการโจมตีอย่างดุเดือด โหลวจวินเหยาไม่คิดหลบ รอให้นักฆ่าเข้ามาใกล้ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย หลบการโจมตีรุนแรงที่หมายปะทะร่างไปได้

ดวงตาของนักฆ่าเป็นประกายแวววาว ไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือ สามารถหลบการโจมตีเขาได้

เมื่อรู้ว่าเป้าหมายรับมือไม่ง่าย นักฆ่าก็พลันคว้าน้ำเต้าที่ห้อยอยู่ที่เอว จากนั้นเปิดจุกมันออก เขาพลันเงยหน้าขึ้นแล้วกระดกของภายในน้ำเต้านั้นลงคอไป ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ร่างเผยกลิ่นอายดุดันมากขึ้น

โหลวจวินเหยาสูดจมูกฟุดฟิด มองไปที่น้ำเต้าที่พื้น กลิ่นนี้มัน… เหล้านี่?

“ตายเสีย!”

หลังดื่มเหล้าไป นักฆ่าก็มีความเร็วเพิ่มขึ้นมาก ยิ่งโจมตีรุนแรงกว่าเก่า แต่ในสายตาของโหลวจวินเหยา การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยช่องว่าง ไม่มีค่าพอให้เขาใส่ใจ

ตอนแรกเขาดีใจที่คงได้มีโอกาสสนุกกับเจ้านักฆ่าซื่อบื้อผู้นี้สักหน่อย แต่เขาพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนอีกคน เขาหรี่ตาลง ก่อนจะปล่อยลำแสงสีม่วงออกจากนัยน์ตา ซัดเข้าใส่นักฆ่าเข้าอย่างจัง อีกฝ่ายถูกแสงสีม่วงก็กระตุกไป ก่อนจะทรุดลงนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น

เขาสะบัดแขนคราหนึ่ง คนที่นอนหมดสติอยู่กับพื้นก็พลันหายไปไม่เหลือร่องรอย

อึดใจต่อมา น้ำเสียงชั่วร้ายก็ดังขึ้น “ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นจริงเสียด้วย!”

โหลวจวินเหยาหันไปทางต้นเสียง เป็นชายในชุดขาวที่คุ้นตา คนที่เขาได้เห็นเมื่อตอนนั้น

“เฟิ่งเทียนเหิง?”

เขาเดินเข้ามาช้า ๆ อาจเพราะกลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกมามันขัดกับคนที่เขาเคยพบหน้าอย่างสิ้นเชิง โหลวจวินเหยาจึงขมวดคิ้วน้อย ๆ เอ่ยเสียงเข้มขึ้น “เจ้าไม่ใช่เฟิ่งเทียนเหิง”

ใบหน้านั้นเหมือนกัน แต่กลิ่นอายนั้นแตกต่างราวฟ้ากับเหว

หากเฟิ่งเทียนเหิงในปกติที่เขาได้เห็นเป็นเพียงภาพลวงเสแสร้ง เช่นนั้นตัวตนชั่วร้ายที่เขาสำแดงอยู่ตอนนี้ก็คงจะเป็นตัวตนภายใต้หน้ากาก เป็นคนที่ใคร ๆ ก็เลี่ยงหลบที่จะพบหน้า