บทที่ 172 มีแต่ฆ่าเขาจึงจะเป็นอิสระ

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 172 มีแต่ฆ่าเขาจึงจะเป็นอิสระ

ชายที่มีรอยยิ้มชั่วร้ายบนริมฝีปากเคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ตรงหน้าโหลวจวินเหยาในพริบตา ใช้หางตามองแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ผู้มีเกียรติของเรามาจากที่ใดกันแน่? วิชาที่ท่านอาจารย์ใช้ไปเมื่อครู่ดูคล้ายกับวิชาเนตรลำแสงที่สูญหายไปนานแล้วนัก ข้าไม่คิดว่าแดนเล็ก ๆ เช่นแดนมุกหยกจะมีจอมยุทธ์มากฝีมือเช่นเจ้าขึ้นมาได้กระมัง”

โหลวจวินเหยาริมฝีปากแข็งค้าง “เจ้าเองก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น แสร้งทำตัวเป็นมนุษย์ปกติเช่นนี้ ทำไมเจ้าจึงไม่เสแสร้งต่อเล่า?”

“เสแสร้ง?” ชายผู้มีรอยยิ้มชั่วร้ายหัวเราะ “ข้าไม่ได้เสแสร้ง นี่คือตัวตนที่แท้จริงของข้า”

โหลวจวินเหยาหรี่ตาลง “เจ้าเป็นใครกันแน่?“

“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือไม่ว่าท่านอาจารย์จะฝีมือล้ำลึกเพียงไหน แต่คืนนี้ก็ไม่อาจรอดชีวิตไปได้แล้ว” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเจือแววทะมึน “ถึงแม่นางทั้งหลายจะชอบบุรุษอ่อนโยน ทว่า… อย่าไปแตะต้องของที่ไม่ใช่ของของตนจะดีกว่า”

โหลวจวินเหยานัยน์ตาทะมึนลง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น คนคนหนึ่งก็พลันผุดขึ้นมาในใจไม่ทันรู้ตัว นี้อีกฝ่ายพูดถึงจิ้งจอกน้อยอยู่หรือ?

นางดึงดูดผู้คนให้ตกบ่วงนางไปกี่คนแล้วกัน?

แต่เขาก็ไม่มีเวลาให้คิดอีกต่อไป สิ้นคำอีกฝ่าย เสียงหัวเราะประหลาดพิลึกก็ดังขึ้น สายลมชวนให้รู้สึกขนลุกพลันพัดผ่าน ชายหนุ่มท่าทางชั่วร้ายหายไปในพริบตา ตรงจุดที่เขาเคยยืนอยู่คือร่างผมยุ่งเหยิง ใบหน้าก้มลงต่ำ เป็นหุ่นเชิดนับสิบที่ร่างดูแข็งทื่อนั่นเอง

“ข้าไม่ได้ใช้วิชาเชิดหุ่นของข้ามานานหลายปี คิดว่าคงจะพอให้ท่านอาจารย์ได้ออกกำลังได้บ้าง”

วิชาเชิดหุ่นหรือ?

ดวงตาของโหลวจวินเหยาลึกล้ำขึ้น ในบรรดาอาชีพมากมายในดินแดนทั้งหลาย วิชาเชิดหุ่นนับว่าหาได้ยากที่สุด ยิ่งในแดนต่ำ ๆ คงไม่ต้องเอ่ย กระทั่งในแดนเมฆาสวรรค์ก็อาจมีนักเชิดหุ่นอยู่ไม่เกินห้าคนเท่านั้น

ที่ผ่านมา คนที่จะเป็นนักเชิดหุ่นได้ต่างเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์หาใครเทียม สามารถควบคุมคนอื่นได้ ทั้งยังมีพลังจิตใช้โจมตีได้รุนแรงนัก หลายครั้งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์พลังบำเพ็ญลึกล้ำ เมื่อเผชิญหน้ากับนักเชิดหุ่นกลับต้องตกที่นั่งลำบาก

ในสายตาคนส่วนมาก นักเชิดหุ่นคือบุคคลที่รวมเอาความชั่วร้ายทั้งหลายไว้ในร่างของคนคนเดียว

พวกเขาบำเพ็ญวิชาชั่วร้าย ใช้ชีวิตผู้คนเป็นเครื่องเซ่นและฝึกปรือให้กลายเป็นอาวุธที่ไม่เกรงกลัวมีดดาบ ไม่อาจใช้พลังธาตุทำอะไรได้ พวกเขากลายเป็นเครื่องจักรสังหารเจือด้วยพิษร้ายแรง ไม่รู้จักเจ็บไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หุ่นเชิดตัวหนึ่งสามารถใช้สังหารศัตรูในสมรภูมิได้นับร้อยคน

นับแต่โบราณมา หลาย ๆ ราชวงศ์ยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อจ้างวานนักเชิดหุ่น ให้พวกเขาสร้างหุ่นเชิดพลังมหาศาลเอาไว้ใช้ทำงานต่าง ๆ แทน และเมื่อเกิดสงครามระหว่างแคว้น ใช้เพียงหุ่นเชิดเหล่านี้ก็เอาชนะโดยไม่ต้องเสียทหารสักคน

แต่ด้วยหุ่นเชิดนั้นชั่วร้ายเกินไป ท่ามกลางภัยพิบัติครั้งใหญ่ จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจึงร่วมมือกับแคว้นทรงพลังแห่งหนึ่งเพื่อฆ่าสังหารเหล่านักเชิดหุ่น ทำลายล้างสำนักเชิดหุ่น เผาตำราและคัมภีร์ที่เกี่ยวพันกับการบำเพ็ญวิชาเชิดหุ่นไปจนสิ้น จากนั้นก็มีคำสั่งออกมาว่าจากนี้ต่อไป นักเชิดหุ่นจะต้องถูกประหารชีวิตโดยไม่มีข้อยกเว้น!

จากนั้นเป็นต้นมา สำนักเชิดหุ่นจึงได้หายสาบสูญไป

แม้ว่าจะผ่านมาแล้วหลายร้อยปี แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่านักเชิดหุ่นปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในตอนไหน แต่ไม่มีใครพบว่ามีการใช้มนุษย์เป็นเครื่องเซ่นอีก ราวกับว่านักเชิดหุ่นทั้งหลายเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นคนทั้งหลายจึงมีความเกลียดชังต่อพวกเขาลดน้อยลง

ทว่าตรงหน้าโหลวจวินเหยาคืออะไรกัน? เห็นได้ชัดว่าหุ่นพวกนี้สร้างมาจากมนุษย์!

โหลวจวินเหยานัยน์ตาทะมึน ภายในนัยน์ตาราวกับมีดวงไฟลุกโชน “ใช่มนุษย์เป็นเครื่องเซ่นหุ่นถูกสั่งห้ามมานานหลายร้อยปี เจ้ากลับฝ่าฝืนข้อห้ามนั้น ไม่กลัวจะถูกใต้หล้าประณามหรือ?”

“ข้อห้าม? ฮ่า ๆ ๆ ใต้หล้านี้ ข้านี่แหละเป็นคนสร้างกฎ! ถูกประณามแล้วอย่างไร? ข้าจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดในอีกไม่ช้า กลายเป็นราชาที่ครองทั่วทั้งแดน!” ชายที่ยังคงซ่อนตัวอยู่หัวเราะเสียงเย่อหยิ่ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความทะยานอยากและความละโมบ เจือไปด้วยความดูถูก

เมื่อเขาพูดจบ หุ่นเชิดที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงก็ราวกับถูกปลดปล่อยจากการสกัดจุด หัวที่ก้มลงต่ำเริ่มส่งเสียงกระทบกึกพร้อมกับเริ่มมีการเคลื่อนไหว แขนทั้งสองของพวกมันส่งเสียงดังเปรี๊ยะ เผยให้เห็นปลายเล็บแหลมสีดำสนิท

และบนใบหน้าที่ถูกเส้นผมยุ่งเหยิงปกคลุม นัยน์ตาสีแดงก่ำของพวกมันเต็มไปด้วยความกระหาย

“การเชิดหุ่นและวิชาเนตรลำแสงนั้นเหมือนกันในจุดที่สามารถคุมจิตคนได้ ข้าอยากรู้นักว่าวิชาลับที่สูญหายไปนานทั้งสองวิชานี้ วิชาใดจะเหนือกว่ากัน”

ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก จากนั้นก็พลันทำเสียงประหลาดขึ้น พริบตาถัดมา หุ่นเชิดไร้ชีวิตก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

เล็บยาวของพวกมันคมอย่างไม่น่าเชื่อ สะบัดคราเดียว ต้นไม้หนาในสวนกลับถูกตัดผ่านจนสิ้น โค่นล้มลงกับพื้นเสียงดังสนั่น

ดูเหมือนว่าคืนนี้อีกฝ่ายจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี สถานที่นี้คงจะมีการกางวางค่ายกลเอาไว้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดเสียงดังสั่นสะเทือนแผ่นฟ้าแต่จะไม่มีใครได้ยินเป็นแน่

ดวงตาโหลวจวินเหยาลึกล้ำขึ้น สีดำสนิทที่ย้อมไว้ค่อย ๆ เผยให้เห็นสีที่แท้จริงนับตั้งแต่ที่ใช้เนตรลำแสง กลายเป็นสีม่วงเข้มที่น่าหลงใหลในที่สุด

————————

คืนนั้นพวกสาว ๆ คุยกันอยู่สักพัก ก่อนจะพากันขึ้นเตียงนอนแล้วผล็อยหลับไป เหลือเพียงชิงอวี่ที่ไม่อาจข่มตาหลับอย่างสงบสุขได้ นางได้แต่นอนขมวดคิ้วอยู่เช่นนั้น

ไม่รู้ทำไมในใจนางจึงรู้สึกกระวนกระวายนัก

ทันใดนั้นร่างทั้งร่างก็พลันสั่นสะท้านเฮือก มันแข็งเกร็งราวกับไม้กระดาน

“ชิงชิงตื่นเถอะ เจ้าไม่อยากพบข้าหรือ?”

“ชิงชิง ข้าคิดถึงเจ้ามาก ไม่ได้พบกันนานปี เจ้างดงามขึ้นมากเลยนะ ข้ายังจำเจ้าในชุดเจ้าสาวได้ เจ้านับเป็นสตรีที่งามที่สุดในโลกหล้าทีเดียว”

ชิงอวี่กำมือแน่น ขนตายาวนางสั่นไหวด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ใบหน้านางบิดเบี้ยวไปมา ก่อนนางจะพลันเบิกตากว้างขึ้น

เจ้าปีศาจนั่น… อยู่ไม่ไกล!

ความรู้สึกน่าผวานั้นทำให้ร่างนางสั่นสะท้าน

ชิงอวี่ลุกขึ้นช้า ๆ สวมเสื้อคลุม แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่ปลุกแม้แต่คนสักคน

ใบหน้างามของนางดูเรียบเฉย แต่ดวงตากลับดูเหม่อลอยเล็กน้อย คล้ายกับถูกล่อลวงโดยบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นนางจึงค่อย ๆ เดินตรงไปยังทิศทางหนึ่ง

“นายหญิง!”

ร่องรอยอบอุ่นที่ฝ่ามือทำให้ชิงอวี่ฟื้นคืนสติ

นางเงยหน้าขึ้น เห็นเด็กหนุ่มผมทองอาบแสงสีทองระยิบระยับ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไม่ได้แต่งแต้มด้วยความไร้เดียงสาเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป แต่กลับมีความยับยั้งชั่งใจและดูมั่นคงมากขึ้น เห็นแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจนัก

ชิงอวี่กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ “ไหมไหม…..”

ดวงตาสีทองและสีเงินน่ามองของเด็กหนุ่มจ้องตรงมายังนาง “นายหญิง ข้าหายดีแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าไม่จำเป็นต้องอยู่ในร่างนายหญิงเพื่อพักฟื้นอีกต่อไป สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับนายหญิงในสนามรบได้แล้ว”

“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” ชิงอวี่เอ่ยหลังถอนใจ

จั้งไหมมองนางท่าทางระแวดระวัง แต่เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติก็วางใจ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเข้มงวด “นายหญิงรู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ท่านตกอยู่ภายใต้วิชาเชิดหุ่น? หากข้าไม่สังเกตเห็นทันเวลา ตอนนี้ท่านคงถูกครอบงำไปแล้ว”

“วิชาเชิดหุ่น…” ดวงตาของชิงอวี่เปลี่ยนเป็นเย็นชา “เจ้าก็รู้สึกใช่หรือไม่? กลิ่นอายนั้น”

จั้งไหมหันไปจ้องยังทิศทางหนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ เป็นเขา”

เมื่อรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของเด็กสาวเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จั้งไหมจึงกล่าวว่า “ข้ากลัวว่านายหญิงจะตัดใจโจมตีเขาไม่ลง”

“คนเราเปลี่ยนกันได้” ชิงอวี่ลดสายตาลง กล่าวอย่างไร้อารมณ์

“นายหญิง หากท่านลงมือไม่ได้จริง ๆ ก็ให้ข้าทำเถอะ” จั้งไหมจับมือนางไว้พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “เรื่องนี้หลอกหลอนอยู่ในฝันท่านมานาน มีแต่กำจัดเขาไปนายหญิงจึงจะเดินจากมันมาได้”

“เรื่องนี้ข้าทำเองได้” ชิงอวี่สะบัดมือเขา ก่อนจะเดินจากไป

เด็กหนุ่มนัยน์ตาเฉียบคม ยากจะปกปิดความกังวลภายในไว้ได้

อีกด้านหนึ่ง ในลานกว้างที่โหลวจวินเหยากำลังยืนอยู่นั้นกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายใหญ่หลวงนัก

หุ่นจำนวนหลายสิบตัวไม่รู้จักเหนื่อยล้า พุ่งเข้าใส่เขาไม่หยุดหย่อน ดวงตาสีม่วงของโหลวจวินเหยาที่มีพลังทำลายล้างสูงได้ใช้พลังจนหมดแล้ว ไม่อาจทำอะไรกับหุ่นเชิดไร้ชีวิตได้อีกต่อไป

เมื่อไม่อาจโจมตีได้ ก็ได้แต่ตั้งรับเท่านั้น

“นายท่าน ให้เยว่จีช่วยเถอะเจ้าค่ะ” เยว่จีที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเฝ้ามองมาระยะหนึ่งคิดกังวลเมื่อเห็นโหลวจวินเหยาเริ่มเป็นฝ่ายตั้งรับ นางอยากจะออกจากเงามืดใจจะขาด

“ซ่อนอยู่เช่นนั้นให้ดี หากไม่มีคำสั่งก็ห้ามลงมือ!” โหลวจวินเหยาเอ่ยเตือนเสียงเย็น

หุ่นเชิดนั้นดูราวกับไร้จุดอ่อนใด ไม่รู้จักเจ็บไม่รู้จัดปวด โจมตีรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นหากยังไม่พบจุดอ่อนของพวกมัน โหลวจวินเหยาจึงทำได้เพียงปัดป้องการโจมตีไปก่อน การที่จะให้เยว่จีเผยกาย ไม่เพียงไม่ช่วย แต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเก่า

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยว่จีก็ได้แต่ซ่อนตัวรอคำสั่ง นางมองไปรอบ ๆ หานักเชิดหุ่นที่อยู่เบื้องหลังฉาก

บ้าเอ๊ย ในแดนชั้นต่ำกลับมีนักเชิดหุ่นที่คิดโจมตีนายท่านของนางเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะภารกิจของนางเป็นภารกิจลับ คนแคว้นมารก็คงพากันแห่ลงมาทำลายที่นี่จนราบเป็นหน้ากลองแล้ว

“หึ น่าเบื่อนัก มีดีเท่านี้เองสินะ เจ้าโค่นหุ่นเชิดข้าไม่ได้ แล้วยังกล้ามีใจให้ชิงชิง เช่นนี้ก็นับว่ารนหาที่ตายนัก”

นัยน์ตาชั่วร้ายของชายคนนั้นที่จ้องมาเคล้าไอสังหาร ภายในบังเกิดแสงประหลาดวาบอยู่ภายใน หุ่นเชิดที่โจมตีไปเรื่อย จู่ ๆ ก็ส่งเสียงคำรามออกมา ก่อนจะกระโจนเข้ามาราวกับเสือดาว ล้อมโหลวจวินเหยาเอาไว้ คล้ายกับคิดจะกลืนกินเขาเข้าไป

“นายท่าน ระวัง”

เยว่จีเบิกตากว้างด้วยความกลัว นางไม่สนคำสั่งเขาอีกต่อไป พุ่งเข้ามาในวงล้อมหุ่นเชิดทันที

นางเป็นองครักษ์เงาของเขา มีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองนายท่านของตน หากนางเห็นนายท่านตกอยู่ในอันตรายแล้วไม่ลงมือทำอะไร นางขอตายเสียยังดีกว่า!

และหากต้องตาย ก็ขอยอมตายก่อนนายท่านของนาง

เมื่อเห็นเยว่จีพุ่งเข้ามาในวงล้อม ยืนขวางหน้าเขาไว้ โหลวจวินเหยาก็ขมวดคิ้ว ก่อนสบถเสียงต่ำ เขากำลังคิดจะเรียกพลังวิญญาณใช้ตรึงร่างเยว่จีเอาไว้แล้วโยนนางออกนอกวงล้อมศัตรู แต่ฉับพลันได้ยินน้ำเสียงไพเราะดังขึ้นจากไกล ๆ มันเป็นเพียงคำสั้น ๆ แต่กลับทำให้หุ่นเชิดชั่วร้ายที่กำลังง้างกรงเล็บกระหายเลือดพลันหยุดชะงักลงทันที

“สังเวยเลือดขับปีศาจ”

กลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยผ่านอากาศออกมาจากร่างของหุ่นเชิด ทันใดนั้นแสงสีแดงก็ระเบิดออกมา หุ่นเชิดที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ครั้งเดียวยามต่อสู้กับโหลวจวินเหยาพลันร้องโหยหวนขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างของมันจะระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ พร้อมกับเสียงระเบิดดังลั่น แขนขาที่แหลกเละไม่มีชิ้นดีกระจัดกระจายไปทั่ว

แต่บนพื้นกลับไร้เลือดสักหยด

ชิงอวี่มองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย เด็กหนุ่มผมทองข้าง ๆ เอ่ยขึ้นเสียงเบา “นายหญิง เขาหนีไปแล้ว”

กลิ่นอายที่คุ้นเคยนั้นหายไปก่อนที่นางจะมาถึงเสียอีก

หึ ในเมื่อเปิดเผยตัวตนแล้ว เหตุใดจึงไม่กล้าเผชิญหน้านางเล่า? เป็นเขาเองมิใช่หรือที่พยายามดึงให้นางปรากฏเช่นนี้

ชิงอวี่หันไปมองโหลวจวินเหยาที่มีสีหน้าฉงน “ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

“เจ้าสิที่ดูไม่ดีนัก” โหลวจวินเหยาก้าวเท้ายาว ๆ ไปหานาง ก่อนจะคว้าข้อมือนางยกขึ้นดู ที่กลางฝ่ามือนางมีรอยแผลลึกน่าสยดสยอง เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด