บทที่ 173 ปีศาจภายในจิตใจ

เมื่อเห็นเลือดยังคงไหลซึมออกมาจากบาดแผลบนฝ่ามือขาว โหลวจวินเหยาจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสี่เหลี่ยมมาพันรอบฝ่ามือนางไว้แล้วกดแน่น ๆ เพื่อห้ามเลือด

“เจ้าใช้วิชาลับอะไรถึงสังหารหุ่นเชิดทั้งหมดได้?” โหลวจวินเหยาถามขณะพันแผลให้

ชิงอวี่มองมือที่พันแผลไว้ไม่เอ่ยคำครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากตอบ “ ข้ามีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด เลือดของข้าเป็นสิ่งที่ความชั่วร้ายหลายเกรงกลัวที่สุด”

“แต่ก็ทำให้ร่างกายเจ้ารับภาระหนักมาก” โหลวจวินเหยาขมวดคิ้วพลางมองใบหน้าเล็กที่มีผิวขาวเนียน ตอนนี้ที่ริมฝีปากกลับไร้สีเลือด สองแก้มซีดเผือด ดูอ่อนแอนัก

“มีเพียงเลือดของข้าเท่านั้นที่จะสามารถต้านวิชาเชิดหุ่นได้”

ชิงอวี่ลดสายตาลง ก่อนหน้านี้นางไม่รู้สึกอะไร แต่เหมือนตอนนี้จะเริ่มรู้สึกบ้างแล้ว ความเจ็บปวดบนฝ่ามือทำให้นางตื่นเต็มตา นางพลันเอ่ยเสียงกระซิบ “คนที่ใช้วิชาเชิดหุ่นเมื่อครู่ ท่านเห็นหน้าเขาหรือไม่?”

โหลวจวินเหยารู้สึกได้ว่านางดูอ่อนไหว ยามเอ่ยถามจึงมีสีหน้าเป็นกังวล “ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเขาหรือไม่”

มันเป็นใบหน้าที่เขาคุ้นตานัก กระนั้นในพริบตากลิ่นอายของเขากลับผันเปลี่ยนราวกับเป็นอีกคนได้อย่างไรกัน?

ไม่อาจปกปิดกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายที่ซึมออกมาจากกระดูกของอีกฝ่ายได้เลย เหตุใดความชั่วร้ายเช่นนั้นจึงมาปรากฏอยู่บนร่างชายหนุ่มผู้อ่อนโยนบริสุทธิ์อย่างเขาได้ เหมือนมันซุกซ่อนอยู่ลึกนัก จนทำให้คนไม่ทันระวัง

“คนผู้นั้น แม้กลิ่นอายและท่าทางจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ใบหน้าเป็นเฟิ่งเทียนเหิงไม่ผิดแน่”

มิน่าเล่า…

ในใจลึก ๆ นางถึงไม่ชอบเฟิ่งเทียนเหิง ไม่แปลกที่นางรู้สึกคุ้นเคยกับเขา

เป็นเขาจริง ๆ สินะ เขาเองก็มาเกิดใหม่ที่โลกนี้เช่นกัน

ชิงอวี่หลับตาลง กำมือข้างที่บาดเจ็บไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว แผลจึงปริออก เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากผ้าเช็ดหน้า

“คิดจะทำอะไร?” ไม่อยากมีมือไว้ใช้แล้วรึ” โหลวจวินเหยาคว้าข้อมือนางไว้แล้วงัดนิ้วนางออก บาดแผลที่อุตส่าห์ปิดไปแล้วตอนนี้กลับปริออกอีกครั้ง เลือดสีแดงสดซึมออกมาเป็นภาพน่ากลัว

โหลวจวินเหยาสีหน้าไม่ดีนัก “เจ้ามียาห้ามเลือดไหม?”

“ข้าไม่เป็นไร ไม่นานแผลก็ปิดเอง” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเบา

ในร่างนางมีธาตุไฟอยู่ มีพลังในการรักษาตัวสูงนัก แม้ว่าบาดแผลจะดูน่ากลัวพอสมควร คนส่วนใหญ่ต้องใช้เวลารักษาตัวสิบวันถึงสองสัปดาห์ แต่นางใช้เวลาเพียงสองวันก็หายดีได้

โหลวจวินเหยากลับมองว่านางแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง ดังนั้นจึงขมวดคิ้วแน่นแล้วเรียกพลังวิญญาณออกมาหยุดเลือดให้ เป็นผลให้แผลหดเล็กลงทันที ทิ้งรอยแผลเป็นที่ตื้น ๆ ไว้เท่านั้น

ชิงอวี่กะพริบตามองเขาด้วยความประหลาดใจ

ใบหน้าชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ กล่าวเตือนสติว่า “ตัวเจ้าหรือก็เล็กเท่านี้ เสียเลือดไปมากเข้าจะทำร้ายร่างกายเจ้าขนาดไหนกัน! เจ้าเป็นเด็กสาวแต่กลับไม่รู้จักดูแลตนเองบ้างเลย”

ชิงอวี่ไม่รู้จะพูดอะไร “…..”

ห่างออกไปไม่ไกล เยว่จีได้ยินคำพูดชายหนุ่มแล้วดวงตาก็แทบถลนออกจากเบ้า

นางหูฝาดไปหรือไม่?

นายท่านดูดุร้ายนัก… เป็นเพราะกำลังอยากปกป้องเด็กสาวงั้นหรือ?

นายท่านที่ไม่ค่อยแยแสองครักษ์ส่วนตัวอย่างนางเท่าไหร่กลับเป็นห่วงแม่นางน้อยผู้หนึ่งได้เช่นนี้…

ดูเหมือนว่า… ข่าวลือที่แพร่สะพัดในแคว้นมารจะมีมูลอยู่บ้าง!

คำพูดเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้เยว่จีไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ถูกด้วย กระทั่งจั้งไหมที่ล่องหนอยู่ยังเอามือปิดปากพูดเยาะนายท่านตนอย่างไม่เกรงกลัว “สวรรค์! ในที่สุดก็มีคนคุมนายหญิงอยู่เสียที”

ใบหน้าชิงอวี่ที่วสงบนิ่งอยู่ตลอดยังมีร่องรอยเขินอายให้เห็น นางดึงแขนตนเองกลับท่าทางอึกอัก

“เจ้ารู้จักกับเฟิ่งเทียนเหิงหรือ?” เมื่อเห็นนางดูเขินอายอยู่เล็กน้อย โหลวจวินเหยาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของชิงอวี่ก็มืดลง เงียบไปชั่วขณะ

ทันใดนั้น ความทรงจำที่สูญหายไปนานก็ไหลย้อนกลับมาดั่งกระแสน้ำไหล ความทรงจำที่ซ่อนลึกพากันเอ่อล้นในจิตใจ มันเคยเป็นความทรงจำที่นางรักและหวงแหนมากที่สุด

ไหมไหมพูดถูก ชายคนนั้นเป็นปีศาจที่ตามหลอกหลอนนางอยู่ภายในใจ เป็นสิ่งที่นางไม่อาจตัดออกไปหรือลบล้างออกไปได้

โหลวจวินเหยาสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาของนาง ทั้งความเศร้าความสิ้นหวังที่แผ่ออกจากร่างพานจะทำให้คนรอบข้างรู้สึกไปด้วย

นางมี… อดีตอะไรกับเฟิ่งเทียนเหิงกันแน่?

มีอะไรที่ทำให้นางตกตะลึงและตกอยู่ในความสิ้นหวังได้เช่นนี้…

คืนนี้อากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ ทั้งยังเงียบผิดปกตินัก เมื่อเยว่จีเห็นว่าโหลวจวินเหยาปลอดภัยดีแล้ว นางก็จากไปโดยไร้เสียง

เหลือเพียงโหลวจวินเหยาและชิงอวี่ที่ยังคงยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางค่ำคืน ที่พื้นดินปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ร่างเล็กของเด็กสาวเหยียดตรง ส่วนชายหนุ่มร่างสูงก็ยืนมองนางไม่ห่าง ทั้งสองไม่ขยับกายแม้สักนิด

ทันใดนั้นร่างเล็กก็โอนเอนก่อนจะเซล้มลง

โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว เอื้อมแขนไปคว้านางไว้โดยสัญชาตญาณ

เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่านางเพียงหลุบตาลงต่ำ ไม่ได้มีสีหน้าไม่สบายตรงจุดใดอีก นางนั่งหมอบอยู่กับพื้น สองมือกอดเข่า ดูอ่อนแอไร้พลังเป็นอย่างยิ่ง

โหลวจวินเหยายังไม่ปล่อยมือ เพียงแต่วางมือลงบนไหล่นางอย่างปกป้องเท่านั้น ร่างสูงของเขาหมอบอยู่ข้าง ๆ นาง ดวงตาสีม่วงลึกล้ำ เอ่ยขึ้นเสียงทุ้ม “เป็นอะไรไป?”

ชิงอวี่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน นางเป็นสตรีที่กล้าหาญมาโดยตลอด

หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา คำที่ใช้กล่าวถึงบุรุษเลือดร้อนอันแสนภาคภูมิ น่าจะสามารถนำมาใช้อธิบายนางได้ไม่ผิดนัก

วัยเยาว์ไม่เคยร้องไห้ ไม่ว่าจะตอนเกิดหรือตอนบิดามารดาถูกสังหารก็ไม่เคยหลั่งน้ำตา อาจเพราะนางรู้ตัวดีว่านางเป็นเด็กที่ไม่มีใครรัก หากร้องไห้ไปมีแต่จะทำให้คนรังเกียจเดียดฉันท์ ดังนั้นนางจึงไม่ยอมให้ตนเองต้องร้องไห้ ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าคนอื่น

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ครั้งนี้คือครั้งที่นางเสียน้ำตาเป็นคราแรก

เป็นเพราะคนที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์มาตั้งแต่ต้นคนนั้น คนที่เข้าใกล้นางโดยมีเจตนาแอบแฝง

ใบหน้างดงามของเด็กสาวไม่แสดงความอ่อนแอออกมา มีเพียงนัยน์ตาว่างเปล่าไร้อารมณ์ใดเท่านั้น ผ่านไปชั่วอึดใจใหญ่ ๆ นางจึงตั้งสติได้ นิ้วมือทั้งหลายจับแขนชายหนุ่มไว้แน่น ริมฝีปากนางขยับออกเอ่ยเสียงเบา “เขาชื่อชิงเทียนหลิน เป็นพี่ชายของข้า”

โหลวจวินเหยาชะงักไป “แล้วทำไม…”

“หึ” ชิงอหัวเราะหยันก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ไม่น่าขันหรือ? ไม่ว่าข้าจะชิงชังไม่อยากยอมรับมันขนาดไหน แต่เขาก็เป็นคนที่ทำลายความรู้สึกโหยหาครอบครัวลงด้วยมือเขาเอง ผลักข้าให้ต้องเดินไปบนถนนที่ไร้หนทางให้หนี”

อาจเป็นเพราะอากาศในคืนนี้หนาวเย็นเกินไป พร้อมทั้งนางที่ได้สัมผัสกลิ่นอายชั่วร้ายที่นางไม่อาจหลบหนีไปได้นั่นอีกครั้งหนึ่ง ทั่วร่างนางจึงสั่นสะท้านไม่อาจคุมได้ และเมื่อได้เห็นชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ นางบนหิมะอยู่ด้วยกันเช่นนี้ นางก็พลันรู้สึกอยากระบายมันออกไป

“ท่านบอกข้าที ทำไมอำนาจและฐานะทั้งหลายมันถึงน่ากลัวจนสามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นคนละคนได้?”

โหลวจวินเหยาเห็นว่าใบหน้านางสับสนเป็นยิ่งนัก นางดูเหมือนกวางหลงทางที่กำลังหวาดกลัว ทั้งไร้หนทางและน่าสงสารยิ่ง

ในใจเขาพลันรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่าง จากนั้นถอนหายใจออกมา “เมื่อพูดถึงอำนาจและฐานะแล้ว คนที่มองว่ามันมีคุณค่าก็จะพยายามไล่ตามมันด้วยทุกสิ่งอย่างไปชั่วชีวิต แต่คนที่ไม่ใส่ใจ ทั้งสองอย่างก็ไร้ความหมาย ดังนั้นพวกมันไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดหรอก แต่เป็นปีศาจภายในใจของผู้คนต่างหาก”

“ปีศาจภายในใจ… ” ชิงอวี่พึมพำ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขา “แล้วท่านมีปีศาจภายในใจเป็นแบบไหนหรือ?”

“หากบอกว่าข้าไม่มี เจ้าจะเชื่อหรือไม่?” โหลวจวินเหยากล่าว ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้ม

ชิงอวี่ย่นคิ้วมองเขาสีหน้าครุ่นคิด “คนเราจะไม่มีจุดอ่อนเลยหรือ?”

โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา ๆ และตอบกลับนาง “ใครจะไปรู้เล่า!

ดวงตาสีม่วงที่ชวนให้หลงใหลของชายหนุ่มคล้ายกับมีมนต์ขลัง ชิงอวี่จ้องลึกไปในดวงตาคู่นั้น นางมองเห็นทุกสิ่งอย่างถูกพลังเวียนวนดูดเข้าไป พริบตานั้นเปลือกตานางก็ปิดลงพร้อม ๆ กับร่างที่ตกลงสู่อ้อมแขนชายหนุ่ม

ลมหายใจของนางสม่ำเสมอ ดูท่าจะหลับไปแล้ว

โหลวจวินเหยายกมือขึ้นปัดผมที่ปรกหน้าไปทัดไว้หลังใบหู จากนั้นวางแขนใต้ข้อพับขาเพื่อยกตัวนางลอยขึ้นจากพื้น น้ำเสียงของเขานุ่มนวลยามเอ่ยคำ “เจ้านอนหลับเสียเถอะ… ”

เงาร่างน่ากลัวพุ่งทะยานไปในอากาศราวกับไม่ใช่มนุษย์ กระโจนแต่ละทีได้ระยะไกลนัก ทันใดนั้น ร่างนั้นก็ถูกบีบให้หยุดลงด้วยพลังจากคมดาบ

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ร่างในชุดแดงนั้นสะดุดตานัก ดาบในมือและกลิ่นอายที่แผ่จากร่างให้ความรู้สึกเยียบเย็น นัยน์ตาสีเขียวของหัวหมาป่าบนด้ามดาบส่องประกายเหี้ยม

คือชิงเยี่ยหลีนั่นเอง

เขาจ้องมองเงาร่างสีดำสนิทที่แทบกลืนไปกับความมืดด้วยความสงบนิ่ง ริมฝีปากของเขาแยกออกเล็กน้อย “ไม่ได้พบกันนาน ชิงเทียนหลิน”

เงาร่างสีดำชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะโอหังเสียงดัง “คิดไว้ไม่มีผิด จมูกพวกสัตว์นี่ไวนัก”

ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเหยียด “กลิ่นอายจากร่างเจ้ามันน่าสะอิดสะเอียนเกินทน ไม่ต้องดมก็รู้ว่าเป็นเจ้า”

คำพูดนี้อาจทำให้อีกฝ่ายโกรธ ดังนั้นน้ำเสียงชั่วร้ายจึงไร้แววขันอีกต่อไป “หากเจ้าอยากตายข้าทำให้เจ้าสมปรารถนาได้ หากไม่ได้ชิงชิงคอยปกป้อง เจ้าก็คงไม่รอดตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

“ข้าขอกล่าวคำเหล่านั้นกลับไปที่เจ้า” พูดจบ ดาบในมือก็พุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ แม้เขาจะหลบได้ว่องไวนัก แต่ผมปอยหนึ่งก็ถูกคมดาบจนขาดไปบางส่วน

ชายคนนั้นหัวเราะอย่างชั่วร้ายขณะมองปอยผมบนพื้น “ไม่น่าเจ้าถึงกล้าท้าทายข้าเช่นนี้ ดูเหมือนฝีมือเจ้าจะดีขึ้นไม่น้อย แต่มัน… ก็ยังไม่มากพอ”

พูดจบ เขาก็ร่ายคาถา เรียกหุ่นเชิดออกมา ทันใดนั้นใบหน้าก็แข็งค้าง เลือดสีดำสนิทพลันพุ่งพรวดออกมาจากริมฝีปาก

เขาจ้องมองเลือดด้วยความไม่อยากเชื่อ ชิงชิงนางใช้เลือดของนางเพื่อยับยั้งวิชาเชิดหุ่น!!

ด้วยสิ่งนั้น… ไม่เพียงเขาไม่อาจใช้วิชาได้ แต่พลังบำเพ็ญยังจะถดถอยลงอีก หากผนึกเลือดที่ยับยั้งพลังของเขาไม่ถูกปลดออก พลังบำเพ็ญของเขาก็จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันหายไปจนหมด

เขารู้มาโดยตลอดมานางมีสายเลือดที่ทรงพลังนัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะแกร่งจนถึงขนาดใช้ผนึกวิชาเชิดหุ่นได้!

นางช่างเป็นสมบัติล้ำค่าที่ซุกซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ไว้ เป็นเขาที่ทำให้เรื่องดำเนินไปเร็วเกินควร

การประมือกับชิงเยี่ยหลีในตอนนี้เขายิ่งเสียเปรียบ

“ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่ครั้งหน้าที่เจอกันเจ้าไม่รอดแน่!”

นัยน์ตาสีหมึกขุ่นของเขาเปลี่ยนไป ก่อนทั่วร่างจะกลายเป็นหมอกแล้วหายไปไม่เหลือร่องรอย

ชิงเยี่ยหลีสายตาทะมึนลง บัดซบ! เขาหนีไปได้

เขารู้สึกมาตลอดว่าคนคนนั้นยังไม่ตาย และตอนนี้ก็เห็นกับตาแล้วว่าเป็นความจริง

ตอนนี้เขาไม่อาจถอยห่างจากชิงอวี่ได้อีก ไม่เช่นนั้นปีศาจตัวนี้คงจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำเรื่องชั่วช้าในอดีตให้สำเร็จ