ตอนที่ 188 เรื่องราวในอนาคตและ หมีเลน

คุณหนูโลลิคลั่งเนีย・ลิสตัน

188 เรื่องราวในอนาคตและ ซิลเลน

 

“สายัณห์สวัสดิ์ โอโจ้จัง”

 

อะ มาแล้ว

 

หลังจากวันที่สองในโรงเรียนทหารจักรกล ขณะที่ฉันกำลังเดินกลับบ้านก็ถูกล้อมโดยชายสี่คนใกล้คฤหาสน์

 

……อืม ม๊า อืม

 

ฉันรู้ว่าพวกเขามาอยู่แถวนี้กันอยู่แล้ว และเดาว่าน่าจะปรากฎตัวในไม่ช้า

 

ฉันเดาว่ายังคงเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ

ไม่รู้ว่าพวกเขาเฝ้าดูกันมานานแค่ไหนแล้ว หรือเฝ้าดูด้วยความระแวงอยู่แล้ว

 

ถ้าเป็นฉัน คงไม่ใช่งานพวกอันธพาลเหล่านั้นอีกต่อไป ฉันคิดว่าพวกเขาควรจะส่งผู้มีฝีมือมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการฆ่า หรือลักพาตัวก็ไม่สำคัญหรอก หากทำได้

 

“สายัณห์สวัสดิ์เช่นกันค่ะ ต้องการอะไรจากฉันหรือคะ?”

 

เนื่องจากเดิมทีที่นี่เป็นสถานที่รวมตัวกันสำหรับคนไร้บ้าน จึงแทบไม่มีคนสัญจรไปมาในบริเวณนี้

เมื่อพิจารณาจากที่ตั้งของคฤหาสน์ที่เช่าอยู่ มันอยู่บริเวณริมเขตแดนของเขตชนชั้นสูง ในมุมหนึ่ง เนื่องจากทำเลที่ตั้งแล้ว จึงเป็นพื้นที่ที่เงียบสงบที่แยกตัวจากเขตบ้านเรือนของสามัญชน และไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะสามารถเข้ามาเดินเล่นได้

 

เนื่องจากมีผู้คนไม่มากนัก ฉันจึงสามารถโต้ตอบกับพวกเขาได้อย่างเปิดเผย

 

――ลูกขุนนางที่เดินเล่นคนเดียวในสถานที่แบบนี้

 

หากเป็นโปรของสายงานนั้น ฉันคิดว่าก็คงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวัง ก็อะไรทำนองราว ๆ นั้น คนปกติจะอยากมายุ่งเกี่ยวกับเด็กน่าสงสัยแบบนี้หรือเปล่า

 

ม๊า ยังไงก็ช่าง

มาฟังธุรกิจของพวกเขาดีกว่า

 

“ในไม่กี่วันที่ผ่านมา มี『แขก』มาเยี่ยมเยือนบ้านของโอโจ้จังใช่ไหมล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”

 

โห๊ว แขกล่ะ

 

คำพูดเหล่านี้เป็นหลักฐานของข้อเท็จจริงที่ว่า「เป็นพวกเราเองที่โจมตีคฤหาสน์ของแกในตอนกลางคืน」 ในที่สุดพวกเขาก็ไม่คิดที่จะซ่อนอีกต่อไปแล้วสินะ

 

“ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของแขกมากนักหรอกนะคะ ถ้ามีคนมาแบบนั้น ฉันมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับการต้อนรับด้วยความเคารพค่ะ”

 

“ฟุฮะ? งั้น ถ้าเมดนั่นแข็งแกร่งมากขนาดนั้น คงเข้าใจใช่ไหม?”

 

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าฉันกกำลังพูดบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของฉัน ส่วนคนที่เหลืออีกสามคนก็เคลื่อนไหวช้า ๆ เข้ามาขัดขวางเส้นทางหลบหนีของฉัน

 

“พวกคุณกำลังมองหาคนพวกนั้นอย่างงั้นเหรอคะ?  ถ้าอย่างงั้นจะมาที่คฤหาสน์ไหมล่ะคะ?”

 

“อะ?”

 

“เรายินดีต้อนรับคุณในฐานะ『แขก』ค่ะ ซ้า ไปกันเลยไหมคะ?”

 

หลังจากที่ได้รับข้อเสนอที่ไม่คาดคินี้ ฉันก็เดินผ่านชายที่ตกตะลึงตรงหน้าอย่างไม่สนใจ และมุ่งตรงเข้าคฤหาสน์

 

――จากนั้น ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในคฤหาสน์「แขก」ก็กลายเป็น「นักโทษ」

 

 

 

ซ้า

วันนี้พวกเรากล้าจับนักโทษต่อหน้าพวกเด็ก ๆ

 

“………..”

 

…….ไม่ค่อยมีอาการตื่นตระหนกมากนัก

 

ซิก บัลเจอร์ และคาลัว สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนตอนที่เห็นฉันพาชายทั้งสี่คนลงไปนอนในทันที วันนี้มิโตะยังคงทำหน้าที่ตักน้ำอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้อยู่ใกล้ทางเข้าคฤหาสน์

 

……………

 

คงจะกลายเป็นเรื่องน่าหนักใจหากมีคนร้องไห้หรือกรีดร้อง แต่การทำให้ไม่มีการตอบโต้เลย ในทางกลับกันก็ทำได้ยากนิดหน่อย

 

“……….ม๊า นี่คือสิ่งที่พวกฉันทำ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันอยากจะพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตไงล่ะ คฤหาสน์แห่งนี้ไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น”

 

ฉันสั่งให้ริโนกิสพาคนทั้งสี่ที่หลับอยู่ลงไป ก่อนชวนพวกเด็ก ๆ มาที่ห้องอาหาร มิโตะ…….จะทำตามความต้องการของซิก พี่ชายของเธอ ฉันขอให้ซิกบอกเธอในภายหลัง

 

“จะเริ่มคุยเรื่องไหนก่อนดีเน๊”

 

“อะ อาโน………ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? โอโจ้ซามะ”

 

ในขณะที่หนึ่งคน กับอีกสามคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ซิกซึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายสุดเปิดปากอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

 

“อาโน รู้อยู่แล้วครับ”

 

“เอ๊ะ?”

 

ก่อนที่ฉันจะถามอะไรเพิ่ม ซิกก็พูดซ้ำอีกครั้ง

 

“เรามักจะได้ยินเสียงในสวนตอนกลางคืน ตอนนั้นผมเห็นริโนกิสซังกำลังต่อสู้ พร้อมกับโอโจ้ซามะ แบบ ตอนเห็น เคลื่อนไหวเร็วมาก แถมยังเห็นตอนลากคนหายไปด้วย………”

 

อ้า งั้นเหรอ

หากอยู่ในคฤหาสน์ ก็ยังพอระวังการปรากฎตัว และจ้องมองจากพวกเด็ก ๆ ได้ แต่ก็ตามที่คาดไว้ การตรวจจับทั้งภายในและภายนอกอาคารทำได้ยาก ตัวอย่างเช่น ฉันสามารถบอกได้มีเจตนาร้าย หรือความเป็นศัตรูจากการจ้องมองได้ แต่หากไม่มีอย่างนั้น…….

 

เห็นเรื่องที่ทำในสวนสินะ

เพราะไม่อยากให้หน้าต่างพังตอนที่พยายามบุกเข้ามา ดังนั้นฉันจึงย้ายออกไปจัดการที่ข้างนอกมากกว่าจะทำภายในคฤหาสน์ แต่ดูเหมือนจะส่งผมย้อนกลับซะแล้ว

 

“รู้หรือเปล่า?”

 

“พวกเราต้องใช้ชีวิตโดยหลีกเลี่ยงจากสายตาของผู้ใหญ่ให้มากที่สุดครับ…….ดังนั้นจึงกังวลเรื่องเสียงตอนกลางคืน……..”

 

อะ เหรอ ……….งั้นสินะ

 

“ไม่คิดว่าจะโดนเห็นเลยน๊า อุตส่าห์พยายามระวังไว้แล้ว”

 

นอกจากนี้ริโนกิสยังได้รับคำสั่งอย่างเคร่งครัดว่าอย่าทำต่อหน้าเด็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าให้เข้าใกล้ห้องใต้ดิน

 

โชคดี ที่ฉันเป็นนายจ้าง และริโนกิสเป็นหัวหน้าของพวกเขา

ฉันมีความคิดหลายอย่าง เช่น สั่งให้พวกเด็ก ๆ ห้ามเข้าใกล้ การซ่อนสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก ตราบใดที่ทำในช่วงเวลาที่ทำได้ แม้ว่าความจะแตกแล้วก็ตาม

 

“จ๊า อาจจะเร็วไปสักหน่อย แต่ตอนนี้ มีคนจำนวนมากถูกขังอยู่ในห้องใต้ดิน สี่คนจากเมื่อกี้ก็ถูกเพิ่มเข้าไปด้วย คิดอาจจะเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยในอนาคต”

 

“ทำแบบนี้ไปเพื่อะไรครับ?”

 

“ก็ไม่มีเหตุผลหรอก ฉันแค่รอใครสักคนมารับกลับไปเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่มีใครมารับสักที ดังนั้นก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเก็บไว้ ฉันก็มีปัญหาเหมือนกัน ――เน๊ ริโนกิส?”

 

เมื่อฉันถามริโนกิสที่กลับมาหลังจากอุ้มพวกผู้ชายไปเก็บ เธอก็ตอบว่า「ใช่ค่ะ」

 

“เรื่องแบบนี้จะไม่สิ้นสุดลง เว้นแต่ฉันจะได้คุยกับเจ้านายของทางนั้นล่ะนะ”

 

นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น

 

“มาทำไม? มาที่นี่ทำไม?”

 

ฉันส่ายหัวให้กับคำถามของบัลเจอร์ ทว่า ม๊า ก็แบบไม่คุ้มที่จะได้ถามอย่างแน่นอนไงล่ะ ฉันไม่มีธุระกับคนที่ไม่รู้จักที่แอบปีนเข้ามาในเวลากลางคืนอยู่แล้ว ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอก ไม่มีอะไรพิเศษอยู่แล้ว

 

“โอโจ้ซามะ พวกเราไม่มีที่ไปอีกแล้ว ถึงท่านจะบอกว่าที่นี่อันตราย แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่พวกเราจะสามารถไปได้อีกแล้วจริง ๆ”

 

“ผมอยากอยู่ที่นี่”

 

“อยากอยู่ข้างโอโจ้ค่ะ”

 

……งั้นเหรอ คาลัวน่ารักจริงน๊า ถึงแม้จะเป็นคำเยินยอแบบโจ่งแจ้งเลยก็ตาม

 

“มันอันตรายมากรู้ไหม? อาจจะตายได้เลยนะ? อย่างถ้าพวกเธอถูกจับเป็นตัวประกันล่ะก็ ฉันจะให้ความสำคัญกับการต่อยใครสักคนมากกว่าความปลอดภัยของพวกเธอเลยนะ แน่นอนว่าจะโจมตีแบบเต็มกำลังให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะ แบบนั้นก็ดีแล้วเหรอ?”

 

“ดีแล้วครับ เรื่องนั้น”

 

“ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนคิดช่วยพวกเราอยู่แล้ว แต่โอโจ้ซามะช่วยพวกเราไว้”

 

“โอโจ้ หนูขอกินขนมบนชั้นวางได้หรือเปล่าค๊า?”

 

…….งั้นเหอร คาลัวน่ารักจังน๊า แต่ขอหวานไม่ได้น่ะ เป็นของฉัน

 

“คุณหนูค่ะ คุยแบบนี้ไปก็ไม่ได้………”

 

“เข้าใจดี”

 

ฉันรู้ว่าริโนกิสต้องการพูดเรื่องอะไร ฉันเองก็รู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ

 

หากถามพวกเด็ก ๆ ที่ไม่มีที่ไปว่า อยากออกไปหรือไม่ ก็มีแค่คำตอบเดียวที่รออยู่เท่านั้นเท่านั้น นี่ไม่ใช่การสนทนาด้วยซ้ำ

 

………………….

 

ถึงจุดนี้ บางทีอาจต้องคิดว่านี่เป็นสายสัมพันธ์บางอย่างระหว่างเรา

 

ในตอนนี้ พวกเขาเป็นเด็กไร้ที่พึ่ง แต่พวกเขาไม่มีทางเป็นเด็กตลอดไป

ในท้ายที่สุดยังไงก็ต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ยืนด้วยสองเท้าของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มเดิน และเลือกวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง

 

จนกว่าจะถึงตอนนั้น ฉันก็แค่ต้องดูแลพวกเขา

เพราะถึงแม้ว่าฉันจะปล่อยพวกเขาไปในตอนนี้ แต่ฉันก็คงกังวลแน่ ๆ ว่าเด็กเหล่านี้จะไปอยู่ที่ไหนกัน ถ้าจะเป็นแบบนั้น สู้เก็บไว้ใกล้มือ และเพียงแค่ต้องดูแลอย่างระมัดระวังเท่านั้น

 

แม้แต่ความแข็งแกร่งของฉันซึ่งเก่งเฉพาะในการทำลายสิ่งต่าง ๆ ก็น่าจะสามารถปกป้องเด็กสี่คนได้แหละ

 

 

 

หลังจากนั้น เราก็คุยเรื่องเชิงลึกมากขึ้นอีกเล็กน้อย

 

“เด็กกำพร้าทหารจักรกล……..สินะ”

 

ฉันได้ยินบางอย่างที่ฉันไม่ชอบ

 

――ดูเหมือนว่าซิกกับคนอื่น ๆ จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเด็กกำพร้าทหารจักรกล นี่เป็นเอกลักษณ์ของมาเวเลีย

 

โรงเรียนทหารจักรกลเริ่มตั้งแต่อายุแปดขวบ

ทว่า การทดสอบที่เป็นตัวกำหนดภาควิชาสามารถเข้ารับการสอบได้ก่อนหน้านั้น

 

เด็กที่ไม่มีโค้ดสีประจำตัวที่ทำให้สามารถขับทหารจักรกลได้นั้น เห็นได้ชัดว่าบางครั้งก็ถูกยอมแพ้ที่จะคาดหวังอย่างรวดเร็ว และถูกโยนทิ้งออกมา

 

สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจมากที่สุดคือ ซิกกับมิโตะเป็นลูกนอกสมรสของขุนนาง ส่วนบัลเจอร์กับคาลัวก็เป็นลูกนอกสมรสของนักบินจักรกลที่เกษียณแล้วเช่นกัน และเด็กที่ถูกถามก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ไม่รู้ว่าเป็นใครจากที่ไหนอย่างที่คิดไว้

 

กล่าวโดยสรุปคือ เด็กเหล่านี้เป็นทายาทของตระกูลบางตระกูล

 

ขุนนางและนักบินทหารจักรกลก็ต้องการทายาทที่เป็นทหารจักรกล จึงนิยมมีลูกเป็นจำนวนมาก แต่มีเฉพาะเด็กที่สามารถขับทหารจักรกลได้เท่านั้นที่จะถูกรับเข้าตระกูล และได้รับการเลี้ยงดู

ดูเหมือนว่าจะมีวัฒนธรรมที่คัดสรรเด็กเช่นนี้อยู่

 

แน่นอนว่าแม้แต่ในมาเวเลียนี่ก็เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจและก่อให้เกิดคำถามต่อความเหมาะสม ――แต่ว่า ในชนชั้นสูงที่หน้าตาและตำแหน่งมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนั้น นี่ถือเป็นสามัญสำนึก

 

เด็กที่ไม่สามารถขับทหารจักรกลได้

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเด็ก ๆ ถึงถูกเรียกว่า เด็กกำพร้าทหารจักรกล

 

……ม๊า ก็เป็นวัฒนธรรมของประเทศอื่น ฉันจะไม่เอ่ยปากอะไร

 

――ถึงจะไม่ชอบใจจริง ๆ เลยก็เถอะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

” ――ซิลซามะ ได้ยินเรื่องนั้นแล้วรึยังคะ?”

 

ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เพื่อนผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นทั้งมือขวา และรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันของซิลเลนก็เข้ามาอยู่ข้าง ๆ และจู่ ๆ ก็กระซิบที่ข้างหูของเธอ

 

หญิงสาวที่มีผมสีดำและดวงตาสีเข้มอันโดดเด่น อาคาชิ・ชิโนบาซ

เธอไม่รู้จักบ้านเกิดหรือประเทศที่จากมาของหญิงสาว แต่ทั้งสองเป็นเด็กสาวในวัยเดียวกัน และเธอก็อยู่ข้างกายซิลเลนมาตั้งแต่ที่เธอจำความได้

 

“กำลังพูดถึงเรื่องไหนล่ะ”

 

เธอเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องนั้น แต่ซิลเลนก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นเคย

 

อาคาชิพูด้วยรอยยิ้มขี้เล่นตามปกติ

 

“ดูเหมือนว่านักเรียนต่างชาติผมขาวจะเอาชนะทหารจักรกลได้ด้วยนิ้วเดียวไงล่ะ”

 

“ไร้สาระ”

 

นั่นเป็นเรื่องที่เธอเคยได้ยินมาแล้ว

อันที่จริงนั่นคือหัวข้อสนทนาในทุก ๆ ที่ที่เธอไปมาเมื่อเช้านี้ เอาเข้าจริงก็ถือว่าช้าเกินไปแล้วที่จะมาพูดถึงเรื่องนี้หลังเลิกเรียน

 

――มองยังไงก็เรื่องไร้สาระ ข่าวลือเท็จ ไม่มีทางเป็นไปได้

 

เด็กตัวเล็ก ๆ จะไปทำอะไรอย่างงั้นกับทหารจักรกลที่แม้แต่พวกผู้ใหญ่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ แม้จะทุ่มสุดกำลังแล้วก็ตามน่ะเหรอ

และด้วยนิ้วเดียว

 

ทว่าเนื่องจากมีข่าวลือเกิดขึ้น เธอจึงคิดว่าน่าจะมีบางอย่างที่ใกล้เคียงเกิดขึ้นมากกว่า ความจริงอาจจะแค่ล้มลงไปเองก็ได้ ทว่ายังไงก็ตาม ข่าวลือทั้งหมดนี้ไม่มีทางเป็นจริงได้หรอก

 

“ไม่หรอกค๊า แต่นั่นสิเน๊”

 

รู้อะไรมาสินะ

 

กระแสที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์

เป็นการแลกเปลี่ยนที่(ช่างโง่เขลาจริง ๆ)อาคาชิพูดออกมาอย่างสบาย ๆ เพื่อนของเธอคนนี้มักจะดูไร้สาระอยู่ตลอด แต่ก็มีความขวางโลกไม่น้อย

 

“แต่ฟังเหมือนจริงมากเลยน๊า”

 

“เรื่องไร้สาระก็คือเรื่องไร้สาระ”

 

“ไม่เลยไม่เลย จริง ๆ น๊า เนสอยู่ที่โรงซ่อม(ด็อก)เพื่อซ่อมทหารจักรกลพร้อมร้องไห้ไหด้วย ยากมากเลยน่ะที่จะคุยกับเขาในสถาพนั้น”

 

“แต่ก็จัดการได้ใช่ไหม?”

 

“แน่นอนจ๊า จำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อคุยกับซิลซามะนิหน่า ถึงจะเหมือนเป็นการโรยเกลือบนแผลก็ตาม แต่ก็ตามนั้น จำเป็นต้องทำ ไม่อย่างงั้นก็จะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยความไม่ซื่อสัตย์ล๊า”

 

“เอาเถอะ พูดต่อที”

 

” ――ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงที่จริงจังล่ะ เกราะด้านหน้ามีรอยบุบรุนแรง ราวกับว่าได้รับการโจมตีด้วยพวกกาแกนท์ สภาพนั่นไม่ใช่การพัง เพราะโดนพายุจนล้ม หรือว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญได้หรอกหว๊า”

 

“…….เวทมนตร์เหรอ?”

 

“หืม เดาจากสิ่งที่เห็นแล้วแตกต่างออกไป ถึงแม้จะเป็นเพียงเครื่องสำหรับฝึกฝน แต่ก็มีความสามารถในการสกัดกั้นเวทมนตร์ได้ในระดับหนึ่งอยู่ดีน๊า แต่แรกแล้วเด็กขาวนั่นก็ไม่มีสีประจำตัวล่ะ”

 

“ไปสืบสวนมา”

 

” ――ตามประสงค์เพคะ”

 

โดยไร้ซึ่งเสียงใด ๆ อาคาชิหายตัวไปจากภายในรถม้า

 

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปรากฎตัวมาจากไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายไปไหน

 

 

 

――ซิลเลน・ซิลค์・มาเวเลีย อายุสิกหกปี

 

ทุกคนที่โรงเรียนทหารจักรกลไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ เธอเป็นเจ้าหญิงลำดับที่สี่ สายเลือดแท้ของราชวงศ์มาเวเลีย ทั้งยังเป็นทหารจักรกลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโรงเรียนทหารจักรกลอีกด้วย

นอกจากรูปลักษณ์ที่งดงามของเธอแล้ว ปรัชญาของเธอยังให้ความสำคัญกับ ความเรียบง่าย จริงใจ พลัง และแข็งแกร่ง เป็นเลิศทั้ง ทางวิชาการ และการทหาร เป็นผู้ที่ถ่อมตัว และขยันขันแข็งซึ่งไม่ชอบความหรูหรามากเกินไป

 

เธอเข้มงวดกับคนอื่น แต่เข้มงวดกับตนเองยิ่งกว่า

เป็นตัวตนที่ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว

 

เธอได้รับประสบการณ์การต่อสู้ในฐานะทหารจักรกลมาแล้ว และเมื่อเธอสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนทหารจักรกลในอีกสองปีข้างหน้า เธอก็จะได้รับตำแหน่งใหม่เป็น「เจ้าหญิงนักรบจักรกล」ทั้งยังมีการตัดสินใจว่าเธอจะตั้งสังกัดหน่วยทหารจักรกลหญิงล้วน และทำหน้าที่เป็นผู้นำอีกด้วย

 

เด็กผู้หญิงที่อยู่ในภาควิชาทหารจักรกลของโรงเรียนกำลังฝึกฝนทักษะโดยมีเป้าหมายที่จะเข้าร่วมหน่วยที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นใหม่นี้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในโรงเรียนและในเมือง

 

เธอคนนี้ กำลังจะต้องก้าวสะดุดครั้งใหญ่ ในเร็ว ๆ นี้ 

 

ไม่สิ

 

――พวกเขากำลังจะล้มลงอย่างแรงต่างหาก