บทที่ 169 อาจเป็นได้ 4 (1)

“พวกท่านต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!”

คาร์ลยื่นมือไปรับแก้วไวน์จากชายหนุ่มคนหนึ่ง

ตอนนี้กลุ่มของคาร์ลอยู่ในหมู่บ้านซึ่งใกล้กับ‘ทะเลสาบแห่งความสิ้นหวัง’มากที่สุด ที่นี่เป็นโรงแรมและร้านอาหารขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ หลานชายเจ้าของโรงแรมกุมมือของตนแน่นขึ้นด้วยความกระวนกระวายเมื่อได้ยินโรสลินเอ่ยถามเกี่ยวกับ‘ทะเลสาบแห่งความสิ้นหวัง’

“หากเป็นฤดูอื่นอาจไม่เป็นไรมากนักแต่การที่พวกท่านบอกว่าจะเดินทางไปที่นั่นในช่วงเดือนมกราคมเช่นนี้..มันคือการหาเรื่องไปตายชัดๆ”

“อย่างนั้นรึ?..หากให้ข้าเดาคนอื่นคงจะเดินทางไปที่นั่นช่วงฤดูอื่นสินะ?”

คาร์ลยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มก่อนจะหยุดชะงักทันที

แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นแต่มันก็ค่อนข้างแรง

‘ขอไวน์ที่อ่อนกว่านี้ได้หรือเปล่า?’

นี่คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อ่อนที่สุดเท่าที่พวกเขามีแต่มันกลับขมบาดคอและแทบจะทำให้ท้องเขาไหม้

~มนุษย์!..ไวน์อร่อยหรือเปล่า?ทำไมเจ้าถึงดื่มต่อไปทั้งๆที่คิ้วขมวดขนาดนั้น?~

คาร์ลหันไปมองเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างๆแม้ว่ามันจะเป็นเก้าอี้ว่างแต่ราอนที่ใช้เวทย์ล่องหนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น คาร์ลกวาดสายตาไปมองรอบๆก่อนจะเอ่ยเสียงเหี้ยม

“ไม่!”

ให้เด็ก 6 ขวบดื่มเหล้าอย่างนั้นหรือ? แม้ว่าจะเป็นมังกรก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ จะเป็นเช่นไรหากราอนเมาแล้วอาละวาดระเบิดภูเขาเล่น?! มันต้องเป็นหายนะครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!

~ก..ก็ได้.ถ้าไม่อร่อยข้าไม่ดื่มก็ได้?~

คาร์ลไม่สนใจเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของราอนเมื่อหันไปจดจ่อกับบทสนทนาของโรสลินและชายหนุ่มผู้นั้นแทน

ปัจจุบันกลุ่มของคาร์ลได้ใช้พลังเวทย์ในการแปลงโฉมของตนให้เหมือนกลุ่มชาวบ้านทั่วๆไปโดยสีผมและสีตาถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แน่นอนว่ารูปลักษณ์ของพาสตันและอาร์ชีที่ดูดีเกินไปต้องถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อฮู้ดตัวใหญ่

“อืม..มีคนพยายามไปที่นั่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนเช่นกัน”

หลานชายเจ้าของโรงแรมส่ายศีรษะของตนเบาๆ

สถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในห้าเขตต้องห้าม

บุคคลผู้กล้าหาญพยายามเดินทางไปที่นั่นหลายร้อยคนแต่ผลลัพธ์กลับไม่เคยดีเลยสักครั้ง ชายหนุ่มหันไปมองยายของตนที่นั่งอยู่ข้างๆเตาผิงก่อนจะพูดต่อ

“คนที่พยายามฝ่าพายุหิมะเข้าไปจะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร? แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีคนเกือบครึ่งที่หนีตายออกจากพายุหิมะนั้นได้”

“มีคนเกือบครึ่งสามารถรอดชีวิตกลับมาได้สินะ?”

เชวฮันเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่ชายผู้นี้จะส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ

“คนที่รอดชีวิตกลับมาได้ล้วนแต่ถูกพิษรุนแรง..หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ค่อยๆตาบอด”

ตาบอด! คาร์ลเคยได้ยินมาเช่นกันว่าพิษจากหิมะทำให้คนอ่อนกำลังลงก่อนจะเริ่มตาบอดและสูญเสียการควบคุมตัวเองจนเป็นอัมพาต เมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้ก็ทำให้คาร์ลอดสะท้อนใจไมได้

‘นี่คือโลกอันโหดร้าย’

‘ทะเลทรายแห่งความตาย’มีพลังเวทย์แห่งความตายล่องลอยอยู่เต็มพื้นที่ ในขณะที่‘ทะเลสาบแห่งความสิ้นหวัง’มีพายุหิมะที่เป็นพิษ

โลกใบนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอยู่จำนวนมากนอกเหนือไปจากความวุ่นวายของกลุ่มคนที่แย่งชิงอำนาจกัน

มีสิ่งมีชีวิตจากเผ่าที่แข็งแกร่งและโหดร้ายอยู่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเผ่าของสัตว์อสูรหรือเผ่าที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังมืด

‘แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้สัตว์ประหลาดไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก’

เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งเหล่านี้ช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดบุกรุกเข้ามาระรานมนุษย์ได้ ส่งผลให้สัตว์ประหลาดในภูมิภาคนี้มีขนาดเล็กและพลังไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แน่นอนว่าคาร์ลไม่ได้สนใจในประเด็นนี้เพราะเขาไม่มีแผนที่จะไปเจอสัตว์ประหลาดหน้าไหนอีกแน่ๆ.

หลายชายเจ้าของโรงแรมเอ่ยเตือนกลุ่มคาร์ลอย่างระมัดระวัง เขาเต็มไปด้วยความกังวลกับแขกกลุ่มแรกของเขา

“พวกท่านโปรดคิดให้ดีๆ..สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายยิ่งนัก”

“ซัลลี่”

ชายหนุ่มหยุดพูดทันทีเมื่อได้ยินยายของตนซึ่งนั่งเงียบมานานเอ่ยเรียกตนขึ้นมา หญิงชราผู้เป็นเจ้าของโรงแรมจ้องไปยังเปลวไฟในเตาผิงเมื่อเริ่มพูด

“มีบางอย่างที่ทำให้ข้านึกถึง..เมื่อมองดูกลุ่มคนที่มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบแห่งความสิ้นหวัง”

เงาของหญิงชราทอดยาวจนเติมเต็มไปทั่วผนังห้องเก่าๆที่ดูจะมีอายุพอๆกับเธอ

เธออาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆและลงเอยด้วยการแต่งงานกับชายนักผจญภัยก่อนที่ทั้งคู่จะสร้างโรงแรมนี้ขึ้นมาด้วยกัน จากนั้นพวกเขาก็มีลูกสาวคนหนึ่งมาเป็นแก้วตาดวงใจและเฝ้ามองเธอแต่งงานมีครอบครัวก่อนจะกำเนิดหลานชายผู้นี้ออกมา

หญิงชราถอนสายตาออกจากกองฟืนเพื่อหันมาสบตากับคาร์ล

“สิ่งที่ข้านึกถึงก็คือ..ไม่มีใครหยุดฟังเลยสักคน”

คนที่มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบแห่งนั้นต่างไม่ฟังคำห้ามปรามเลยสักคำ

“ทั้งลูกสาวและลูกเขยของข้า..ก็เป็นแบบเดียวกัน”

สามีของเธอที่เสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนบอกแก่เธอว่าจะไปพบลูกสาวและลูกเขยก่อน เขาบอกให้เธอดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าก่อนจะตามไปสมทบกับพวกเขาในภายหลัง เขาบอกให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกว่าหลานชายเพียงคนเดียวของเธอจะโตขึ้นและแต่งงานในที่สุด

ซึ่งเธอเองก็รับปากอย่างหนักแน่นว่าจะทำให้ได้

หญิงชราจ้องเข้าไปในดวงตาคาร์ลก่อนจะถอนสายตากลับ

“…ดูเหมือนท่านกำลังฟังข้าอยู่แต่ก็ยังดึงดันที่จะไปต่อ”

หญิงชราได้ยินเสียงเรียบๆของคาร์ลดังขึ้น

“ข้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาและจะมาดื่มเหล้าที่โรงแรมของท่านอีกครั้ง”

หญิงชราเอื้อมมือไปผิงไฟเพื่อให้ความอบอุ่นกับร่างกายพลางเอ่ยขึ้น

“ซัลลี่”

“ขอรับ”

“ไม่ต้องเก็บเงินค่าเครื่องดื่มจากพวกเขา”

คาร์ลเขย่าแก้วไวน์เบาๆเมื่อหันไปยิ้มบางๆให้กับซัลลี่ผู้เป็นหลานชายเจ้าของโรงแรม เขายกแก้วไวน์ที่เหลือขึ้นดื่มอึกใหญ่ เสียงของราอนก็ดังเข้ามาในหัวของเขาในตอนนั้น

~…มนุษย์!มาทำลายพายุหิมะกันเถอะ!~

คาร์ลไม่สนใจในสิ่งที่ราอนพูด

ออนและฮงร้องเมี้ยวออกมาเบาๆเมื่อสะบัดหางฟาดไปกับโต๊ะอย่างตื่นเต้น

แน่นอนว่าคาร์ลก็ไม่สนใจอาการของพวกมันเช่นกัน เขาสนใจเพียงสิ่งที่อูฮาเบ็นเคยบอกเขาเอาไว้

‘เจ้าต้องทำลายต้นไม้โลกเพื่อกำจัดพายุหิมะพวกนั้น’

‘เพราะต้นไม้โลกเป็นตัวควบคุมพายุหิมะดังนั้นมันจะเปิดเส้นทางให้กับเจ้าหากใช้ตราของข้าเป็นใบเบิกทาง’

อูฮาเบ็นไม่ค่อยเอ่ยเตือนคาร์ลเกี่ยวกับเรื่องอะไรแต่ในครั้งนี้เขามีบางอย่างที่จะพูด

‘เจ้าอาจคิดว่าต้นไม้โลกเป็นสิ่งโหดร้ายเมื่อเห็นพายุหิมะนั่น..แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นต้นไม้โลกก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายและเกิดใหม่มาหลายต่อหลายครั้งๆนานกว่าหมื่นๆปีแล้ว’

‘ต้นไม้โลกคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด..การเกิดและตายจึงถือเป็นเรื่องธรรมชาติ..จำคำเหล่านี้เอาไว้ให้ดี’

ต้นไม้โลกก่อพายุหิมะขึ้นมาก็เพื่อป้องกันตัวเองจากอันตราย แม้ว่าจะมีคนตายจากพายุหิมะแต่มันก็ช่วยให้ต้นไม้โลกปลอดภัยจากความโลภของสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้

คาร์ลวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องพักของตน ออนและฮงก็จะตามเขาไปเช่นกัน

คาร์ลออกคำสั่งแก่เชวฮันที่ค่อยๆลุกตามหลังเขามา

“เก็บซากศพทั้งหมดที่เจ้าพบในทะเลสาบนั่น..บอกทุกคนให้รู้ด้วย”

เชวฮันชะงักฝีเท้าที่จะตามหลังคาร์ลไปก่อนจะพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น คาร์ลรีบมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของตนในขณะที่เชวฮันกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิมและลอบยิ้มออกมา

คาร์ลต้องรับมือกับคำถามของฮงเมื่อเขาเอนหลังไปกับเตียงนอน

“เจ้าคิดว่าข้าจะทำให้ศัตรูตาบอดได้มั้ย?หากข้ากินพิษนั้นเข้าไป”

“อาจจะ?”

“ว้าวววววว!!!!”

ฮงร้องออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อกระโดดไปนอนข้างๆพี่สาวของตน ฮงจินตนาการว่าตัวเองกินพายุหิมะนั่นเข้าไปเป็นจำนวนมากก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด

.

.

.

เช้าวันรุ่งขึ้น

ฮงอยู่ไม่ไกลจากพายุหิมะที่กำลังโหมกระหน่ำก่อนจะเริ่มอ้าปากกว้าง

“อ้า!!!!”

เกล็ดหิมะเริ่มตกลงเข้าไปในปากของมัน ความรู้สึกซาบซ่านี้ช่างแตกต่างจากพิษอื่นๆที่มันเคยกินมาก่อน

“ไปใกล้กว่านี้!”

เสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของฮงทำให้คาร์ลซึ่งอุ้มร่างของมันอยู่เริ่มผลักมันเข้าไปใกล้กับพายุหิมะมากขึ้น วาฬเพชฌฆาตอาร์ชีมองสิ่งนี้ด้วยความตกใจ

‘นี่!..เขาผลักลูกแมวเข้าไปในพายุหิมะ’

อาร์ชีอาจดูเป็นคนหยาบคายแต่เขาก็ยังมีคุณธรรมในใจ เขาอ้าและหุบปากซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ก่อนจะรู้สึกถึงมือของพาสตันที่วางมาที่ไหล่ของตน

“นั่น..นั่น–”

‘เราต้องหยุดเขา!’

นั่นคือสิ่งที่เขาจะพูดออกมาแต่เสียงของฮงกลับดังขึ้นมาก่อน

“อร่อยมากเลย!”

จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของคาร์ล

“เจ้าจะปวดท้องได้..หากกินเข้าไปมากเกินไป”

ออนที่อยู่ข้างๆเป็นฝ่ายตอบกลับ

“หิมะมีขนาดเล็กเกินไป..กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกอิ่มหรอก”

คาร์ลส่ายศีรษะของตนอย่างระอาใจ

“เจ้าจะปวดท้องได้หากเจ้ากินของเย็นๆมากเกินไป”

ออนชะงักค้างก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็หันไปมองราอนที่ยืนอยู่ข้างๆตน ราอนสวมเสื้อโค้ท ขนสัตว์และใช้เวทย์ความร้อนเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ราอนกำลังสูดน้ำมูกเข้าจมูกเบาๆ

“เจ้ามนุษย์พูดถูก! เจ้าต้องระวังไม่ให้ตัวเองเป็นหวัดด้วยล่ะ! แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ก็ยังสามารถคัดจมูกได้!”

ออนพยักหน้ารับอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มสร้างหมอกขึ้นมา

ฟิ้วววววววววววว!!!!!!!

คาร์ลก้มลงมองเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังอยู่ข้างๆขาของตน ออนกำลังสร้างหมอกใกล้ๆกับจุดที่เขายืนอยู่

“เจ้ากำลังทำอะไร?”

“ข้าต้องการให้หมอกของข้าเหมือนกับพายุหิมะ!”

ออนตอบคำถามคาร์ลด้วยความตื่นเต้นก่อนที่คาร์ลจะเอ่ยความรู้สึกของตนออกมา

“วิเศษยิ่งนัก!”

ออนยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้รับคำชมจากคาร์ล มันหันไปควบคุมหมอกของตนต่ออย่างตั้งใจ มังกรดำที่อยู่ข้างๆก็คอยให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้ออนสามารถสร้างพายุที่รุนแรงกว่าพายุหิมะนี้ได้

พาสตันมองสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยสีหน้าแปลกๆ

“นั่น..นั่น..มัน..อะไรกัน?!”

พาสตันแสร้งไม่ได้ยินเสียงตะกุกตะกักของอาร์ชีเมื่อสายตาของเขาเพ่งไปข้างหน้าแทน

เขาเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่กว่าหนองน้ำสีดำที่เคยพบในป่าแห่งความมืด หากจะพูดให้ถูกพาสตันมองเห็นขนาดของมันได้เพียงรางๆเพราะเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมาพร้อมกับป่าขนาดย่อมๆที่บดบังทัศนวิสัยจนหมด เขาเพียงกะขนาดของทะเลสาบตามขนาดของพายุหิมะเท่านั้น

พาสตันกวาดสายตาไปมองรอบๆอย่างรวดเร็ว

มังกรดำได้กล่าวไว้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอบๆทะเลสาบแห่งนี้ มันจึงเป็นเหตุผลที่ทุกคนค่อนข้างผ่อนคลาย

แต่สิ่งที่เป็นอยู่กลับน่าทึ่งมากกว่า