ตอนที่ 184 ข้าจะเป็นผู้ชดใช้เอง (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 184 ข้าจะเป็นผู้ชดใช้เอง (1)

ตอนเช้าตรู่ มั่วเชียนเสวี่ยตื่นขึ้นมานานแล้ว นางฉวยโอกาสที่ยังพอมีเวลา จัดการโรงงานให้เป็นระเบียบ ดูแลกิจการของนางที่นี่ให้ดี

ทำเต้าหู้ กิจการถั่ว ร้านอาหาร โรงงาน และแกะสลักรากไม้ สิ่งเหล่านี้มั่วเชียนเสวี่ยล้วนต้องการจัดเตรียมทางหนีทีไล่ให้ดีทีละขั้นตอนถึงจะใช้ได้

ในทั้งห้ากิจการนี้ มีเพียงโรงงานที่สำคัญที่สุด แม้ตอนนี้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่ามันทำเงินได้มากขนาดไหน แต่นี่เป็นกิจการในระยะยาว ประชาชนถือเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญเท่าเทียมฟ้า ต้องมีสักวันที่สินค้าของนางจะถูกขายในทั่วทุกมุมของเทียนฉี

แม้มดจะตัวเล็ก แต่ก็เขย่าต้นไม้ใหญ่ได้

สามวันนี้ มั่วเชียนเสวี่ยยุ่งมาก

นางทำเหมือนเดิมซ้ำๆ ทุกวันก็ให้อาอู่ขับรถม้าพานางไปแจ้งข่าวในโรงงาน จากนั้นก็ไปตรวจสอบบัญชีที่ร้านอาหาร และยังส่งคนไปที่ภัตตาคารต่างๆ ของเทียนเซียงเพื่อเสนอขายเมนูใหม่ที่ใช้น้ำส้มสายชูในประกอบอาหารด้วย

สามวันนี้ หนิงเซ่าชิงก็ยุ่งมากเหมือนกัน วันๆ หนึ่งแทบจะไม่ได้พบเจอผู้คนเลย น้ำส้มสายชูเพิ่งเข้าสู่ตลาด ก็ขายหมดแลัว อันที่จริงมันก็เป็นสินค้าชุดแรกที่เอาออกมาทดลองขาย ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจะมีไม่มาก

เถ้าแก่หลี่แห่งไป๋อวิ๋นจวีฉลาดกว่าร้านอื่นๆมากนัก คนของมั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งออกมาเสนอขายอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำส้มสายชู เขาไม่รอผลตอบรับจากลูกค้าในร้านอาหาร ก็สั่งสินค้าตัวนั้นเลย

ดังนั้น น้ำส้มสายชูชุดแรก นอกจากร้านเล็กๆ สองร้านที่มีสินค้าอยู่ในคลัง ก็มีไป๋อวิ๋นจวีนี่แหละที่มี

ไม่กี่วันมานี้ผู้ที่คอยติดตามมั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่หมิงเย่ว์และไฉ่สยา แต่เป็นชูอีและสืออู่ นี่ย่อมเป็นความต้องการของหนิงเซ่าชิง

แน่นอนว่าสิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยต้องการก็เหมือนๆ กันกับเขา นางไม่กลัวว่าทั้งสองจะเห็นว่านางต่างออกไป นางเป็นคนอื่นมิได้ แม้จะได้ร่างของเสวี่ยเอ๋อร์มา อยู่ในร่างของนาง แต่นางก็ยังเป็นมั่วเชียนเสวี่ยคนนั้นเหมือนแต่ก่อน

ไม่เสแสร้ง ไม่อ่อนโยนน่ารักน่าทะนุถนอมปานนั้น

ดังนั้น ในสายตาของชูอี คุณหนูที่นางได้พบเจอแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ในตอนทำงานมั่วเชียนเสวี่ยจะจริงจัง มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงาน จัดการเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาดโดยไม่ชักช้าแม้แต่น้อย หัวไว ทั้งยังไม่สูญเสียความสนใจของมนุษย์ ทำให้ตาของนางเบิกกว้างแล้วเบิกกว้างอีก หากไม่ใช่เพราะนางคอยติดตามคุณหนูตั้งแต่อายุสามขวบ รับใช้คุณหนูมาสิบกว่าปี บนตัวคุณหนูมีเส้นผมกี่เส้น มีกี่รูขุมขน นางรู้ดีที่สุด นางอยากจะคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่เบื้องหน้านางนี้เป็นตัวปลอมจริงๆ

เพียงแค่สูญเสียความทรงจำ ก็สามารถทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้ มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ

แต่ว่า เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน นางกลับชอบนิสัยของคุณหนูที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้มากกว่า เมื่อก่อนคุณหนูจะว่าดีก็ดี แต่อ่อนแอมากเกินไป อ่อนปวกเปียกเหมือนแป้งอย่างไรอย่างนั้น

ด้านบนมีเฟิงเหล่าเหยียกับเฟิงเหล่าฮูหยินคอยหวงแหนอยู่ ด้านล่างมีหมัวมัวคอยดูแล มีพวกนางเหล่าสาวใช้คอยรับใช้ แต่อยู่ภายในคฤหาสน์ใหญ่โตของตระกูลเฟิงนั้น นางต้องแบกรับความช้ำใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ก็คือบุตรชายเหล่านั้นของเหล่าอนุและอนุที่ไม่ดีพอให้เสนอหน้า บางครั้งก็กล้าเข้ามาพูดคำพูดที่ใจร้ายที่ทำให้นางตื่นตระหนก

ความเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในสายตาของชูอี ความปิติยินดีเห็นได้จากตาและคิ้วของนาง นางเก็บมันไว้ในใจ

ด้วยนิสัยของคุณหนูในตอนนี้ อาจจะต่อกรกับพวกเขาด้วยได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม สืออู่ผู้ที่ไม่อาจเก็บคำพูดไว้ในใจได้ และมักจะผุดคำถามแปลกๆ ออกมาเสมอ

เช่น ‘คุณหนูเจ้าคะ เมื่อก่อนท่านชอบงานเย็บปักถักร้อยมิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่อยู่ทำงานปักที่บ้านเล่า พักผ่อนหย่อนใจ ลงมาทุกวันเช่นนี้คงจะเหนื่อยแย่’

อีกตัวอย่างหนึ่ง ‘คุณหนู เมื่อก่อนท่านมักจะบ่นว่าห้องครัวทั้งสกปรกทั้ง…’

มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร และไม่อยากจะตอบด้วย ดังนั้นตราบใดที่นางถามถึงเรื่องในอดีต ก็ทำเพียงส่งเสียงดุพลางจ้องไปที่นาง

มั่วเชียนเสวี่ยจ้องมองนาง นางก็ยิ้มร่า คำถามอะไรก็ถูกกลืนไปจนสิ้นแล้ว

สืออู่ชอบนิสัยของคุณหนูในตอนนี้จากใจจริง เดิมทีนางเป็นคนที่กระฉับกระเฉง เมื่อก่อนตอนที่คุณหนูอยู่ในห้องนอน นางมักจะง่วนอยู่กับการฝึกหมัดมวยในลาน และจะถูกหมัวมัวบิดหูอยู่บ่อยครั้ง…

……

รากดอกไม้ประหลาดถูกทำลาย ชายชราประหลาดโกรธมากที่ไม่สามารถจัดการกับหัวหน้าพวกมันได้ ทว่าก็ยังตามหลังคนผู้นั้นมาโดยตลอด

เห็นได้ชัดว่าแววตาของคนผู้คือแววตาของคนที่พร้อมพลีชีพ เขาไม่ได้ต้องการศพ ที่เขาอยากรู้ก็คือใครทำลายยาของเขา

หลังจากเฝ้าดูหัวหน้าคนนั้นเข้าไปในเรือนถงอยู่ไกลๆ ใจเขาก็มืดหม่น รู้สึกโกรธเคืองมากยิ่งขึ้น

เขาคิดว่าเข้าใจเขา แต่ความจริงแล้วเขาเข้าใจผิดไป นึกไม่ถึงว่า ความโหดร้ายของเขาไม่ได้มีไว้ใช้กับคนนอก และบุตรชายเพียงเท่านั้น ยังใช้กับเขาที่เป็นสหายเก่าด้วยเช่นกัน

ด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาของเขา ชายชราประหลาดก็ได้มาปรากฎตัวอยู่หน้าประตูบ้านถง

“เหล่าถง เจ้าโผล่หัวมาเดี๋ยวนี้นะ…”

……

เฟิงอวี้เฉินยืนอยู่ในป่าท้อ ด้านหลังเป็นชายชุดดำสิบแปดคน เขาแหงนหน้าขึ้นแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูดวงตะวันตกดิน มันค่อยๆ ตกลงมาที่ลงมาทีละน้อยๆ

นี่ก็สามวันแล้ว สามวันนี้นางไม่ได้มา มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือนางจำได้ แต่นางได้เลือกแล้ว สองคือนางยังจำตนเองไม่ได้ หากจดจำอดีตได้ หากนางเลือกตนเอง นางก็จะต้องตามมา นางรู้ว่าจะหาเขาได้ที่ไหน

สามวันนี้ เขารอสิบแปดองครักษ์ และเพื่อให้ขีดเส้นตายเวลาสุดท้ายแก่ตนเองและนางด้วย ความเป็นไปได้สองข้อนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับได้ ดังนั้นเขาจึงรอถึงสามวัน

เขาเคยพูดว่า เขาให้นางเกลียดเขาเสียยังดีกว่า แต่ไม่อยากให้นางลืมเขา

ค่ำคืนนี้ไม่ใช่คืนธรรมดาๆ อย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกันที่ชายชราประหลาดไปเอาเรื่องเหล่าถง เฟิงอวี้เฉินก็ไปพาสิบแปดองครักษ์ของเฟิงอวิ๋นมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านหวังจยาทางน้ำ

หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้คิดบัญชีภายใต้แสงไฟต่อ หนิงเซ่าชิงนอนอ่านตำรา ทั้งสองเงยหน้าสบตาพลางยิ้มให้กันเล็กน้อย ความห่วงใยในสายตาของคนทั้งสองคือทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในโลกแล้ว

แสงสลัวส่องสว่างในห้องที่อบอุ่น ชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบกำลังดี

เมื่อได้ยินเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หนิงเซ่าชิงที่ร่างกายอ่อนแรงก็ขมวดคิ้วขึ้น ตาที่ลืมอยู่ครึ่งเดียวก็เปิดกว้างขึ้นทันที

มีเสียงของอาซานและอาอู่ที่เฝ้าเวรยามอยู่ดังขึ้น “ผู้ใด”

น้ำเสียงอันเย็นชาตอบกลับมา “เฟิงอวี้เฉิน”

เมื่อหนิงเซ่าชิงและมั่วเชียนเสวี่ยออกจากประตูไป เข้าสู่ลานบ้านแล้ว ก็แหงนหน้าขึ้นมองที่บนหลังคา ล้วนมีแต่คนยืนอยู่บนนั้น

ที่น่าแปลกใจคือคนเหล่านั้น มาถึงที่นี่แต่กลับเงียบเสียงมาก อย่างน้อยๆ ในความรู้สึกของมั่วเชียนเสวี่ยคือเงียบมาก

แม้ว่าฉากการต่อสู้นี้จะยิ่งใหญ่ และแม้ว่าฉากนี้จะแปลกมาก แต่กลับไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายในหมู่บ้านหวังจยาเลยแม้แต่น้อย

เรือนของคนสกุลหนิงอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในหมู่บ้าน ถึงแม้จะมีเรือนคนแซ่ฟางที่อยู่ใกล้เคียง แต่ก็ยังอยู่ห่างกันหลายจั้ง ในยามนี้ ฟ้าก็มืดแล้ว ใครจะสังเกตเห็น

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปที่ชุดดำที่พลิ้วสยายไปตามสายชมซึ่งยืนอยู่กลางลานบ้าน แล้วทอดถอนหายใจ สิ่งที่ควรมาก็ย่อมจะมาเสมอ

ได้ยินเสียงฝีเท้า เฟิงอวี้เฉินจึงหันกลับไปมอง ดวงตาของเขามองข้ามหนิงเซ่าชิงที่เดินนำหน้ามา มุ่งตรงไปหามั่วเชียนเสวี่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ กลับไปพร้อมกับพี่เถิด” เสียงเขาแผ่วเบาราบเรียบดั่งน้ำ ฟังไม่ออกว่าอารมณ์ของเขาเป็นเช่นไรแม้แต่น้อย

ผู้ใดที่สวมใส่ชุดสีดำจะแสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นมีอุปนิสัยที่เย็นชาถึงสามส่วน ทว่าเขาดูสง่างาม ใบหน้างดงามราวภูเขาสูงตระหง่าน ในเวลานี้ชุดดำนี่ได้แสดงให้เห็นถึงความเจ้าอารมณ์และดื้อรั้นของเขา

เมื่อมีคนมาบอกให้สตรีของตนเองจากไปกับเขาต่อหน้าต่อตาตนเอง หนิงเซ่าชิงก็โมโหมาก! คนผู้นี้อยากตายเป็นแน่ เขาจะทำให้สมปรารถนาเอง ยิ่งครั้งที่แล้วที่มั่วเชียนเสวี่ยผลักเขาออก ตอนที่ยื่นมือไปหาคนผู้นี้ เขาก็อยากจะสังหารเขามากแล้ว

อย่างไรก็ตาม นอกจากจะสูญเสียการควบคุมก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้ามั่วเชียนเสวี่ยเท่านั้นแล้ว หนิงเซ่าชิงยามที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่น ยิ่งมีอารมณ์โกรธก็จะยิ่งนิ่งสงบ…