ตอนที่ 185 ข้าจะเป็นผู้ชดใช้เอง (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 185 ข้าจะเป็นผู้ชดใช้เอง (2)

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน เขาก็ยิ่งนิ่งสงบ เป็นความคุ้นเคยที่บ่มเพาะมาเนิ่นนานหลายปี ดังนั้น เขาจึงไม่พูดออกมาในทันที

ไอเย็นแผ่ซ่านออกจากกายหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นท่าไม่ดีแล้ว

นางได้รับปากเสวี่ยเอ๋อร์เอาไว้แล้ว ว่าจะไม่ทำร้ายเฟิงอวี้เฉินและมองว่าเขาเป็นพี่ชายของนางคนหนึ่ง แน่นอนว่ามิอาจให้พวกเขาต่อสู้กันได้ ดังนั้น จึงยื่นมือไปดึงมือใหญ่ที่เรียวยาวของหนิงเซ่าชิงที่แนบข้างลำตัวของเขามา

หนิงเซ่าชิงหันไปมอง มั่วเชียนเสวี่ยก็ส่ายหน้าพลางกล่าวเสียงค่อย “เรื่องนี้ ให้ข้าจัดการเองเถิด”

หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้ว

มั่วเชียนเสวี่ยเขย่ามือของเขาเป็นการขอร้อง

หนิงเซ่าชิงหันหลังกลับ เขาไม่เคยขัดนางได้เลย

ทั้งสองผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมาย ประโยคนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ‘ชั่วชีวิตนี้พวกเราจะไม่มีวันพรากจากกัน อยู่ด้วยกันชั่วชีวิต’ เป็นการเผยความในใจ ทำให้มีพลัง เยียวยาลึกไปถึงไขกระดูก

มั่วเชียนเสวี่ยเผยความรู้สึกในใจของนางจนหมดสิ้น แม้หนิงเซ่าชิงจะโกรธ แต่ก็ไม่อาจริษยามากเกินไป

ในอดีตคนผู้นี้กับมั่วเชียนเสวี่ยเคยมีความสัมพันธ์แนบชิดสนิทสนมกัน ตอนนี้ตระกูลเฟิงเป็นที่พึ่งพิงที่ยิ่งใหญ่ให้มั่วเชียนเสวี่ยได้ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ อดทนเพียงครั้งเดียวแต่สบายไปตลอด

นึกได้ถึงจุดนี้ หนิงเซ่าชิงถึงแม้อยากจะฆ่าเขาสักเพียงใด แต่กลับต้องอดทนต่อไป

หนิงเซ่าชิงหันหลังกลับไป ยืดหลังเหยียดตรง มั่วเชียนเสวี่ยปวดใจเล็กน้อย

บุรุษที่ดื้อรั้น เผด็จการ โดดเด่น สุภาพเรียบร้อยเช่นนี้อดทนเพื่อตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า เปลี่ยนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า หากบอกว่าไม่ประทับใจก็คงจะโกหกแล้ว

หนักใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และกล่าวอย่างสุภาพ “เชียนเสวี่ยได้แต่งเข้าตระกูลหนิงแล้ว ตระกูลหนิงก็คือบ้านของเชียนเสวี่ย ถ้าพี่ใหญ่มาเพื่อเป็นแขก เชียนเสวี่ยก็ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง”

ประโยคนี้ได้ถึงแสดงถึงจุดยืนของตนเอง พวกเขาสองคนเดิมทีก็เป็นคนที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน เพียงแต่เขาไม่รู้ก็เท่านั้นเอง นี่คือท่าทีที่ดีที่สุดที่นางสามารถทำให้ได้ในขณะนี้แล้ว เป็นความจริงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

สู้เพื่อคนที่รัก…เฟิงอวี้เฉินก็ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่ ตนเองไม่มีสิทธิ์ไปกล่าวโทษเขา ในทางกลับกัน หากตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ บางทีนางอาจจะซาบซึ้งกับการที่เขามั่นคงในรักก็เป็นได้

เพียงแต่ ความจริงแล้วนางไม่ใช่ ‘นาง’ นางเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดต่อเขา ไม่จำเป็นนอบน้อมอะไรมากมาย

หากเขาอยากจะโทษจริงๆ ก็ต้องโทษเรื่องราวของโลกนี้ที่แกล้งคน คนโบราณให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ปราศจากมลทินมาโดยตลอดมิใช่หรือ นางเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยเอ๋อร์ก็ได้แต่งงานแล้ว ก็หวังว่าเขาจะทำใจได้

น้ำเสียงของเฟิงอวี้เฉินเย็นยะเยือก มองไปที่แววตาที่ไม่เหมือนกับแววตาอันเศร้าสร้อยเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้แต่เป็นแววตาที่เด็ดขาด “เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ เช่นนั้นก็หมายความว่า เจ้าจำข้าได้แล้วใช่หรือไม่”

“ยังจำไม่ได้ เพียงแต่ ชูอีกับสืออู่ได้เล่าถึงฐานะของข้าให้ฟังก็เท่านั้น” มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหัว “ตอนนี้ เชียนเสวี่ยออกเรือนแล้ว เหตุใดพี่ใหญ่…”

เฟิงอวี้เฉินจ้องมองนาง แล้วพูดขัดจังหวะขึ้นมาทันที “ข้าไม่ถือ!”

มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวอย่างเด็ดขาด “แต่ข้าถือ!”

นางพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีทีท่าว่าจะลังเลแม้แต่น้อย

ตอนนี้บรรยากาศโดยรอบอึมครึมมาก

ชูอีและสืออู่ออกมาจากห้องนานแล้ว พวกนางยืนอยู่ข้างหลังมั่วเชียนเสวี่ยอย่างเงียบๆ

ชูอีมีสีหน้าที่นิ่งสงบอย่างชัดเจน ทว่าสืออู่กลับรู้สึกโมโหเล็กน้อย

พอได้ยินประโยคนี้ในที่สุดใบหน้าที่แข็งทื่อของหนิงเซ่าชิงก็ผ่อนคลายลง

“เสวี่ยเอ๋อร์…” น้ำเสียงของเฟิงอวี้เฉินอ่อนลงอีกครั้ง ท่าทางเขาดูหงอยลง น้ำเสียงอันราบเรียบแต่แฝงด้วยการวิงวอนอยู่เล็กน้อย “เจ้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วใช่หรือไม่…”

คำวิงวอนเล็กน้อยนี้ซ่อนอยู่ลึกมาก แต่กลับเป็นการประนีประนอมครั้งสุดท้ายของเขา

สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยยังคงเหมือนเดิมมิเปลี่ยน “ขออภัยท่านด้วย! ข้าจำอดีตไม่ได้จริงๆ ต่อไปภายภาคหน้าพี่ใหญ่ก็จะได้เจอคนที่มีใจตรงกันเอง”

ไม่มีวัน ไม่มีวัน ไม่มีทางที่ใครคนไหนจะมาแทนที่นางได้ตลอดไป

หัวใจของเฟิงอวี้เฉินกระตุกอย่างรุนแรง เจ็บปวดราวกับจะหายใจไม่ออก ทว่าใบหน้ากลับดูสงบขึ้นเรื่อยๆ เม้มมุมปากอย่างแรง ไม่พูดอะไรสักคำ

กาลครั้งหนึ่ง หญิงงามที่อยู่ในอ้อมอกเขา ควบขี่ม้าแล้วพูดคุยเรื่องชาติบ้านเมืองกัน

ให้เฟิงอวี้เฉินเกิดมา ไฉนเลยถึงต้องมีหนิงเซ่าชิง

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถยืนเคียงข้างนางได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้นางมีความสุขได้ ในเมื่อนางตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว หากเขาไม่เชื่อฟัง ก็ทำได้เพียงแต่ต้องใช้กำลังบังคับยื้อแย่งนางมา

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา คำวิงวอนที่ซ่อนเร้นในสายตาก็ถูกกวาดออกไปจนสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความโกรธและความเหี้ยมโหด พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจกลับไปกับข้าก็ตาม อย่างไรเสียวันนี้เจ้าก็ต้องกลับไปกับข้า”

“ท่าน…ดื้อดึงยิ่งนัก!” มั่วเชียนเสวี่ยโมโหเสียจนพูดไม่ออก หรือว่าต้องใช้กำลังถึงคลี่คลายปัญหานี้กันนะ

แล้วที่นับเป็นพี่ชายล่ะ ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาก็เกรงว่าจะเป็นศัตรูกันแล้ว

เสวี่ยเอ๋อร์ สิ่งที่เจ้าร้องขอมันยากเกินไป ยากเกินไป…

เฟิงอวี้เฉินเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่พูดอะไร จึงนึกขึ้นได้ว่านางอ่อนแอมาโดยตลอด คงจะตกใจกลัวกระมัง เขาใจอ่อนลง ซ่อนความโกรธเอาไว้ เค้นความอ่อนโยนออกมา “เสวี่ยเอ๋อร์ หลังจากกลับไปแล้ว…ข้า…”

ตราบใดที่นางตามเขากลับไป ถึงเวลานั้น เขาก็จะมีวิธีของเขาที่ทำให้นางเปลี่ยนใจได้ กระตุ้นให้นางจำเรื่องราวในอดีตให้ได้ ลืมเลือนชายหนุ่มในชุดเขียวไปเสีย!

ชั่วชีวิตนี้ เจ้า เป็นของข้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่เจ้าคิดถึงก็ต้องเป็นข้าผู้เดียวเท่านั้น…

หนิงเซ่าชิงหันหลังกลับเดินเข้าไปหา พลางยิ้มเย้ยหยัน “ท่านจะพาภรรยาของข้าไป คิดไหมว่าจะต้องถามความคิดเห็นจากข้าผู้เป็นสามีของนางคนนี้ก่อน”

ที่ควรไว้หน้าเขาก็ไว้ให้แล้วที่ควรให้โอกาสเขาก็ให้ไปแล้ว

ความอดทนได้สิ้นสุดลงแล้ว ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!

เฟิงอวี้เฉินเงยหน้าพลางมองไปยังหนิงเซ่าชิง “พวกเจ้าไม่ได้ทำตามคำสั่งของพ่อแม่และไม่มีการชักนำของแม่สื่อ ไม่มีการจับคู่ ไม่นับว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ”

ไม่มีๆๆ เรื่องพวกนี้อีกแล้ว หัวของหนิงเซ่าชิงแทบจะระเบิดออกมา

อย่างไรก็ตาม ด้วยความโกรธเขากลับไม่มองเฟิงอวี้เฉินเลย เพียงแค่ดึงมั่วเชียนเสวี่ยไปไว้ด้านหลังของเขา ถ้าให้เฟิงอวี้เฉินมองเชียนเสวี่ยต่ออีกหน่อย ในใจเขาก็จะยิ่งไม่เป็นสุขมากขึ้น ริษยามากขึ้น โมโหมากขึ้น…

เรื่องราวก็ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นมิตรกันได้อีก

หนิงเซ่าชิงดึงมั่วเชียนเสวี่ยไปด้านหลัง กัดฟันพูดออกไปสามคำ “ลงมือเถิด”

“ดาหน้าเข้ามาเลย!” ที่เฟิงอวี้เฉินรออยู่ก็คือช่วงเวลานี้

ขณะที่พูด ร่างของชายหนุ่มในชุดดำและชุดเขียวก็ได้เหาะเข้าไปในบ้าน

นี่คือการต่อสู้ระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง

พอสติของมั่วเชียนเสวี่ยกลับมา กลางลานบ้านก็มีชายชุดดำสิบแปดคนที่ยืนประจัญหน้ากับนาง ชูอี สืออู่ อาซาน อาอู่ รวมถึงหมิงเย่ว์กับไฉ่สยาที่ยืนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

“เร็วเข้า…รีบพาข้าไปหาพวกเขา” มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย คว้าหลังของชูอีกับสืออู่แล้วกล่าวว่าหนิงเซ่าชิงยังบาดเจ็บเพราะพิษอยู่ หากกำเริบขึ้นมา มันจะเป็นอะไรที่แย่มาก

“เจ้าค่ะ” ทั้งสองตอบรับ ขณะที่พูดพวกนางก็พยุงมั่วเชี่ยนเสวี่ยติดตามไปทางทิศที่หนิงเซ่าชิงและเฟิงอวี้เฉินหายตัวไป

วิชาการต่อสู้ของคุณชายอวี้เฉินนั้นล้ำลึก วันนั้นสถาณการณ์ไม่อำนวย อีกทั้งจิตใจยังว้าวุ่นจึงทำให้พ่ายแพ้ไป เป็นไปได้มากว่าสองสามวันมานี้จะสั่งสมพละกำลังมาอย่างเต็มที่แล้ว กูเหยียที่ขี้โรคเช่นนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่แล้ว

พวกนางยังต้องปกคุ้มครองกูเหยีย อย่างไรก็ตาม เบื้องหน้าดันมีกำแพงมนุษย์ขวางไว้อยู่อีก

มั่วเชียนเสวี่ยมองให้ชัดๆ ก็พบว่าเป็นเฟิงล่วนกับเฟิงปัวอยู่ในชายชุดดำทั้งสิบแปดคน!