บทที่ 195 ดูแล

บทที่ 195 ดูแล

คำพูดของอู๋ฝาน เป็นเหตุให้ทุกคนเงียบงัน พวกเขาเผยสีหน้าหมองหม่นออกมา

“เป็นอะไรไป? อาการไม่ดีงั้นหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

“พวกเขาทั้งสามไม่เป็นไรแล้วขอรับ เพียงแต่ภายหน้าไม่อาจเข้าร่วมศึกสงครามได้อีกแล้ว หลังกลับไปยังบ้านเกิดจะเป็นอย่างไรก็ยากที่จะพูดได้” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบกลับมา

เห็นได้ชัดว่าทั้งสามบาดเจ็บอย่างสาหัส แม้รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็มีสภาพไม่ต่างกับคนพิการ ไม่สามารถเข้าร่วมศึกสงครามได้อีก

อู๋ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดว่าคนทั้งสามจะอาการเลวร้ายถึงขั้นนั้น ในสังคมของที่นี่ ไม่ว่าจะครอบครัวใด โดยเฉพาะกับครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย หากมีคนพิการ พวกเขาจะกลายเป็นตัวถ่วงของคนทั้งตระกูล ทว่าถ้าคนผู้นั้นเดิมเป็นกระดูกสันหลังของครอบครัว ผลที่ตามมาจะยิ่งเลวร้าย มันจะส่งผลกระทบให้ทั้งบ้านไม่อาจใช้ชีวิตต่อ ความเป็นไปได้นี้ไม่ใช่เกินจริงเลย

“หัวหน้า หลังจากนี้ไปปลอบพวกเขาได้นะขอรับ ข้าเกรงว่าพวกเขาทั้งสามอาจจะคิดสั้น” หวังปิงบอกกับอู๋ฝาน

เรื่องราวนี้ไม่ใช่ว่าตื่นตระหนกไปเอง เพราะหลังพวกเขากลายเป็นคนพิการ สุดท้ายก็จะเป็นภาระของทางบ้าน เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดใช้ชีวิตอยู่ต่อ จนนำแรงกดดันสู่ครอบครัวที่เดิมก็ไม่ได้ร่ำรวยอยู่แล้ว ความเป็นไปได้ที่จะคิดสั้นมีมากเลยทีเดียว!

“ได้ ไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยก็แล้วกัน” อู๋ฝานตอบรับ “เสี่ยวลิ่ว เจ้าไปกับข้า จะว่าไปแล้วก็ไปตลาดหาซื้อแรงงานคนกลับมาด้วยเลยก็ดี พวกเจ้าอยู่ที่นี่จัดการสถานที่กันไป ช่วงเย็นพวกเราจะทานมื้อเย็นกันที่นี่”

“ขอรับ” กลุ่มคนตอบรับ

ถัดจากนั้น อู๋ฝานจึงออกไปพร้อมกับเสี่ยวลิ่ว

“พวกเจ้าคิดอย่างไรถึงมาเป็นทหารส่วนตัวของข้า?” ระหว่างทางอู๋ฝานเอ่ยถามกับเจิ้งเสี่ยวลิ่ว

แม้ว่าก่อนหน้านี้หนิวเอ้อจะเคยพูดกับอู๋ฝานเอาไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ว่าต้องการเป็นทหารส่วนตัวของเขา แต่ในเวลานั้นชายหนุ่มมองว่าหนิวเอ้อเพียงกล่าวไปเรื่อย เพราะการจะเป็นทหารส่วนตัวของใครสักคน ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่ต่างกับคนรับใช้ สถานะทางบ้านอาจจะสูงขึ้น แต่แท้จริงก็เป็นผู้ใต้บัญชาของเจ้านาย ในความเห็นของเขา ย่อมไม่มีใครคิดจะเป็นผู้ใต้บัญชาของคนอื่น อย่างน้อยตัวอู๋ฝานเองก็ไม่ใช่

เพียงแต่อู๋ฝานลืมเลือนไปว่ายุคสมัยนี้ไม่ใช่ยุคใหม่ที่สงบสุข แต่เป็นอีกโลกหนึ่ง สถานที่ซึ่งผู้คนมากมายคิดทุกสิ่งอย่างจริงจัง ไม่มีสถานที่ให้เล่น ไม่มีอาหารอร่อยให้กิน มีเพียงแต่คิดหาทางเอาชีวิตรอด

“ก็ปกตินี่ขอรับ” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบกลับ “เป็นทหารส่วนตัวของหัวหน้า พวกเราไม่ต้องกลับบ้านไปทำไร่ ไม่ต้องเป็นภาระของทางบ้าน มีอาหารให้กิน มีรายได้ เป็นทหารส่วนตัวของท่านหนานเจี๋ย พวกเราก็ได้รับการยกเว้นรับใช้กองทัพด้วย ทั้งยังไม่ต้องจ่ายภาษี มีผลประโยชน์มากมาย ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่อยากคว้าโอกาสในการเป็นทหารส่วนตัวของหัวหน้าด้วยซ้ำ บางทีหากคนในค่ายรู้ว่าพวกเราได้เป็นทหารส่วนตัวของหัวหน้า พวกเขาอาจอิจฉาจนแทบตายเลยก็ได้”

เมื่อได้ฟังอู๋ฝานจึงได้ตระหนักว่าตนเองมาจากคนละยุคสมัย ดังนั้นแนวคิดของเขาจึงไม่อาจสอดคล้องกับผู้คนในยุคนี้ สำหรับชายหนุ่มแล้วกลับคิดว่ามันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลดเกียรติของตนเองลง ทว่าความภาคภูมิในยุคนี้ ไม่อาจเทียบเท่าภัยคุกคามจากความตายได้

ในไม่ช้าคนทั้งสองจึงมาถึงกระโจมที่คนบาดเจ็บทั้งสามใช้พักรักษาตัว สีหน้าของพวกเขาซีดเผือดจนแทบเป็นสีเทา อู๋ฝานทราบดีว่าไม่ใช่เพราะผลกระทบจากบาดแผลทางกาย แต่เป็นเพราะพวกเขากำลังวิตกกังวลถึงอนาคตภายหน้า

“พวกเจ้าทั้งสามคนหยุดคิดอะไรไร้สาระ เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก” อู๋ฝานเอ่ยปลอบขึ้นมา

“หัวหน้า ขาของข้าใช้งานไม่ได้แล้ว! ข้าเป็นคนพิการ ด้วยสภาพแบบนี้ กลับไปทำไร่ทำนายังทำไม่ได้ หากเป็นแบบนี้ข้าขอตายในสนามรบเสียยังดีกว่า! จะได้ไม่เป็นตัวถ่วง ทำให้ที่บ้านต้องตกต่ำลง ทางราชสำนักจะได้จ่ายเงินแม้สักนิดให้ทางบ้านของข้า” หนึ่งในสามคนเอ่ยคำตอบด้วยสีหน้าหมองหม่น

อีกสองคนต่างก็สิ้นหวังเช่นกัน แม้พวกเขาจะรอดกลับมาได้ ทว่าสภาพตอนนี้ตายอาจยังดีเสียกว่า เช่นนั้นอย่างน้อยก็ไม่เป็นตัวถ่วงทางบ้าน เพราะทางบ้านของพวกเขาไม่ได้ร่ำรวย หากมีคนพิการเช่นพวกเขาไปเป็นภาระ คิดมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันก็ยากลำบากแล้ว

“อย่ากล่าวเช่นนั้น” อู๋ฝานเอ่ยขึ้น “ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตก็ยังมีความหวัง ข้าบังเอิญได้รับจวนที่นี่มาพอดี หากต้องการก็มาที่จวนของข้า ข้าจะเป็นคนสนับสนุนพวกเจ้าเอง”

อย่างไรคนทั้งสามก็เป็นคนในหน่วยของอู๋ฝาน ได้ใช้เวลาร่วมกันมาระยะเวลาหนึ่ง สายสัมพันธ์ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่อยู่แล้ว ทั้งตัวชายหนุ่มก็ไม่คิดมองคนทั้งสามหาทางดับชีวิตตัวเองลง

“พวกเจ้ายังมัวรออะไรอยู่กัน ยังไม่รีบขอบคุณหัวหน้าอีก?!” เจิ้งเสี่ยวลิ่วเร่งย้ำเตือนคนทั้งสามที่มึนงง “ราชสำนักแต่งตั้งหัวหน้าเป็นหนานเจี๋ย หนึ่งในรางวัลที่ได้รับคือจวน พวกเราที่เหลือได้เป็นทหารส่วนตัวของหัวหน้าแล้ว พวกเจ้าสามคนก็ได้เป็นครอบครัวของหัวหน้า นับจากนี้พวกเราจะติดตามหัวหน้าต่อไปด้วยกัน”

“ขอบคุณหัวหน้า! ขอบคุณหัวหน้า!” หลังเจิ้งเสี่ยวลิ่วเตือน คนทั้งสามจึงเร่งบอกอู๋ฝานด้วยสีหน้าที่ทั้งซาบซึ้งตื้นตันและขอบคุณ กระทั่งว่าคิดลุกจากเตียงคุกเข่าโขกศีรษะให้อีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ

พวกเขาที่มีสภาพเช่นนี้ ย่อมไม่อาจไปทำไร่ทำนา ไม่ว่าตระกูลใดต่างก็ไม่ยินดีรับตัวพวกเขาไปทำงาน แต่ตอนนี้อู๋ฝานอ้าแขนต้อนรับ มันเทียบได้กับการให้หนทางใช้ชีวิตแก่พวกเขา เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นภาระของครอบครัว และจะได้มีเงินเก็บหอมรอมริบไว้บ้าง ทั้งยังอาจสามารถจุนเจือครอบครัวได้ มันเท่ากับการช่วยทั้งพวกเขาและทางบ้าน มีหรือจะไม่ให้ตื่นเต้นยินดีได้ไหว!

เพียงแต่พวกเขาทั้งสาม รวมทั้งเจิ้งเสี่ยวลิ่วนั้นเข้าใจเจตนาของอู๋ฝานผิดไป เดิมทีชายหนุ่มก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาเป็นคนรับใช้ แต่ต้องการให้โอกาสใช้ชีวิต อย่างไรการเป็นคนรับใช้ก็มีความหมายที่ด้อยกว่า

แต่เมื่อเห็นคนทั้งสามตื่นเต้นยินดีถึงขนาดนั้น ก็ชัดเจนว่าแล้วว่าแม้เป็นคนรับใช้ก็ไม่สนใจ ถึงขนาดแสดงอาการตื่นเต้นดีใจอย่างออกนอกหน้า เพราะมันเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ได้ไร้ค่า และยังสามารถใช้งานได้!

ดังนั้นแล้วอู๋ฝานจึงไม่คิดอธิบายอะไรอีก ปล่อยให้พวกเขาทำงานของตนเพื่อหาทางจุนเจือและสนับสนุนทั้งพวกเขาและครอบครัวไป มันอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับพวกเขา ที่ต้องมีสถานะต่ำกว่า การเป็นคนรับใช้ดีหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาตัดสินใจกันเอง

หลังจัดแจงเรื่องราวของคนทั้งสามเสร็จ อู๋ฝานก็มุ่งหน้าไปตลาดพร้อมกับเจิ้งเสี่ยวลิ่ว

สถานที่ตั้งของตลาดนั้น พ่อบ้านได้แจ้งให้อู๋ฝานทราบแล้ว ตลาดแห่งนี้ค่อนข้างพิเศษ มันไม่ได้ขายอาหาร เสื้อผ้า หรือสิ่งของ แต่มีสินค้าขายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

คน!

ที่นี่มีคนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะขายบุตรหลาน กระทั่งมีคนที่พร้อมมานั่งขายด้วยตนเอง การสวมใส่หมวกฟางไว้บนศีรษะ มีความหมายว่าพวกเขาต้องการขายชีวิตตัวเอง

แม้อู๋ฝานเตรียมใจก่อนมาที่นี่แล้ว แต่พอได้เห็นเรื่องราวในสถานที่จริง เขาก็ยังต้องตื่นตกใจอยู่ดี

การเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมอันสงบสุข จะมีโอกาสที่ไหนได้เห็นคนที่อาสาขายชีวิตตัวเองอย่างเปิดเผยเช่นนี้กัน? แม้กระทั่งในโลกแห่งนี้ก็ตาม ตอนที่เขามาปรากฏตัวเป็นครั้งแรก ก็ยังได้พบกับภาพอันสงบสุขอย่างหมู่บ้านเร้นลับ

ทว่าที่แห่งนี้นั้นไม่ใช่ มันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง เป็นสถานที่ซึ่งผู้คนถูกบีบบังคับให้ต้องเอาชีวิตรอดหรือตายลง พวกเขาเลือกที่จะขายบุตรหลานตนเองหากพบว่าจำเป็นต้องทำ เพื่อรักษาครอบครัวให้ดำรงอยู่ต่อไป