บทที่ 196 คนดีได้ดี

บทที่ 196 คนดีได้ดี

อู๋ฝานมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตกใจ ขณะที่เจิ้งเสี่ยวลิ่วราวกับคุ้นชินแล้ว ไม่ได้พบว่าเป็นเรื่องราวแปลกใหม่อะไร

“หัวหน้า พวกเราต้องการคนรับใช้ในจวนจำนวนเท่าใดขอรับ?” ขณะที่อู๋ฝานยังตกใจอยู่ เจิ้งเสี่ยวลิ่วก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา

ตอนนั้นเองที่อู๋ฝานดึงสติกลับคืนมาได้ เพียงแต่ในใจนั้นยังคงตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า

“เราสองคนซื้อกันคนละยี่สิบคนก่อนก็แล้วกัน” อู๋ฝานครุ่นคิดแล้วจึงตอบกลับ

คนรับใช้รวมสี่สิบคน น่าจะมากพอสำหรับใช้ดูแลจวนที่อู๋ฝานได้รับมา

เมื่อพวกเขาได้ทราบว่าอู๋ฝานและเจิ้งเสี่ยวลิ่วมาเพื่อซื้อหาคน ก็รีบเข้ามาปิดล้อมคนทั้งสองโดยทันที

“นายท่าน บุตรคนเล็กของข้าประพฤติตัวดีและมีความรู้ ราคาเพียงแค่สองเหรียญทองเท่านั้น!”

“นายท่าน ได้โปรดซื้อลูกสาวคนเล็กของข้าด้วย นางอายุเพียงแค่สิบสอง แต่ก็ทำงานได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานซักล้างหรืองานครัว!”

“นายท่าน บุตรสาวข้าก็ไม่เลว ทานเพียงแค่วันละมื้อก็ได้!”

“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดซื้อตัวข้า ข้าแข็งแกร่ง สามารถทำงานได้ทุกอย่าง!”

กลุ่มคนกระตือรือร้นที่จะขายชีวิตตนเอง บุตรชาย และบุตรสาว เรื่องราวเหล่านี้ทำให้อู๋ฝานยากจะปรับตัวรับได้ ขณะมองคนเหล่านี้พูดจา มันก็ดูราวกับว่าพวกเขาไม่ได้มาขายตัว แต่มาขายสินค้าธรรมดาตามท้องตลาดเท่านั้น

บางทีในใจของพวกเขา บุตรชายหรือว่าบุตรสาว หรือกระทั่งตนเอง ก็อาจไม่ดีเท่าสินค้าทั่วไปเสียด้วยซ้ำ

“ถอยกลับไปกันหน่อย อย่าเข้าใกล้นายท่านของข้าจนเกินไป นายท่านของข้าจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะซื้ออย่างไร!” เจิ้งเสี่ยวลิ่วรีบแยกกลุ่มคนออกจากตัวอู๋ฝาน

กลุ่มคนเหล่านี้ยอมเชื่อฟัง เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะกลัวจะทำอู๋ฝานไม่พอใจ จนสุดท้ายไม่ซื้อหาขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงพร้อมใจกันก้าวเท้าถอยหลัง พร้อมกับมองยังชายหนุ่มด้วยสายตาและสีหน้าที่คาดหวัง

อู๋ฝานมองสายตาหิวกระหายเหล่านั้น ชั่วขณะหนึ่งนั้นพลันไม่รู้ว่าควรจะเลือกซื้อใคร ดังนั้นจึงเอ่ยกับเสี่ยวลิ่ว “เสี่ยวลิ่ว เจ้าเลือกก็แล้วกัน”

“ขอรับ” เจิ้งเสี่ยวลิ่วได้เห็นแล้วว่าอู๋ฝานรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องราวเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดปฏิเสธ

ถัดจากนั้น กลุ่มคนรอบด้านจึงเริ่มมองเสี่ยวลิ่วด้วยความคาดหวังแทน โดยหวังให้มองและเลือกพวกเขา สายตาจ้องมองประหนึ่งว่าเสี่ยวลิ่วเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่

อู๋ฝานไม่อาจมองภาพเหล่านี้ ดังนั้นจึงกล่าวกับเสี่ยวลิ่ว ก่อนจะถอยออกห่างมาลำพัง

“เหมือนว่าโลกใบนี้จะไม่ได้สงบเหมือนที่พวกหนิวเอ้อเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเอง ขณะมองภาพที่เด็กตัวเล็ก ๆ ถูกนำมาขายไปทั่วตลาดขนาดใหญ่แห่งนี้

อิทธิพลของทัพกบฏต่อราชสำนัก มันรุนแรงเกินกว่าที่ใครคาดคิดเอาไว้ ก่อนหน้านี้หนิวเอ้อและพรรคพวกเคยกล่าวว่า การปกครองของราชสำนักยังมั่นคงอยู่ ส่วนกองกำลังกบฏ แม้จะมีจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้รุนแรงขนาดพลิกเปลี่ยนกระแสน้ำได้ ในไม่ช้าย่อมต้องถูกควบคุมตัว

แต่เมื่อได้เห็นกลุ่มคนตรงหน้าที่พร้อมใจกันหาทางเอาตัวรอด โดยการขายบุตรหลานภายในบ้าน อู๋ฝานจึงเข้าใจว่าเหตุใดถึงมีคนมากมายลุกฮือขึ้นต่อต้าน เหตุใดกองทัพกบฏจึงยังมีปรากฏไม่ขาดช่วง

ก็เพราะหนทางเดียวที่จะเอาชีวิตรอดได้ ก็มีเพียงต้องกบฏไม่ใช่หรือ?

และกองทัพกบฏส่วนใหญ่ พวกเขาไม่ได้เป็นมิตรกับคนธรรมดาด้วยเช่นกัน เพราะต้องเอาชีวิตรอด เพื่อไม่ให้ถูกกวาดล้างกำจัด พวกเขาต้องคลุ้มคลั่งก่อการ เที่ยวปล้นชิงผู้อื่นที่แม้จะยากไร้ ผลที่ได้ก็คือไม่ว่าใครก็ยากที่จะเอาชีวิตรอด ทำให้หนทางสู่การก่อกบฏยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเกิดกลุ่มคนที่ดุร้ายขึ้นมาไม่ขาด ทำให้สภาพแวดล้อมในอาณาจักรเหยียนเฟิงยิ่งโหดร้ายยากที่จะหาทางเอาตัวรอด

และในปัจจุบันก็ยังมีชาวโลกอสูรรุกรานเข้ามา มันจึงยิ่งขับเน้นให้สภาพแวดล้อมที่โหดร้ายอยู่แล้ว ยิ่งโหดร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อผู้คนมากมายอาจไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ สุดท้ายจึงเลือกก่อกบฏ จนสถานการณ์ภายในอาณาจักรเหยียนเฟิงกลายเป็นเช่นทุกวันนี้ ที่ภายหน้ามีแต่จะเน่าเฟะมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ความโกลาหลกำลังมาเยือน!

เมื่ออู๋ฝานคิดเช่นนั้นแล้วก็ตระหนักได้ว่า

เดิมนั้นตัวเขาแค่ต้องการเพาะปลูกทำฟาร์มที่นี่เพื่อหาเงิน ทว่าเหมือนว่าแนวคิดดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้

‘ก็หวังว่าชนชั้นปกครองในราชสำนักจะเห็นสถานการณ์ตอนนี้ชัดเจน และหาทางคลี่คลายวิกฤตได้ล่ะนะ เราจะได้ทำฟาร์มอย่างสงบสุข’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ

ขณะคิดถึงเรื่องราวดังกล่าว อู๋ฝานก็เดินวนเวียนไปมา สุดท้ายก็เดินมายังมุมหนึ่งของตลาด ขณะที่กำลังจะหันกลับออกไป หางตากลับได้เห็นว่าที่ตรงมุมของตลาดแห่งนี้ก็มีคน และไม่ใช่เพียงแค่คนหรือว่าสองคนด้วย

มีคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้นเย็นเยียบ และอีกสองคนนั่งหลบมุมอยู่

คนที่นอนบนพื้นนั้นดวงตาหลับแน่น ไม่ไหวติง และมีกลิ่นที่คล้ายศพเหม็นเน่าคลุ้งออกมา ทำให้ยากที่จะสูดดมเข้าไป

และที่นั่งอยู่ตรงมุมคือเด็กสองคน อย่างน้อยในสายตาของอู๋ฝาน พวกเขาก็ยังเป็นเด็ก หนึ่งหญิงหนึ่งชาย เด็กหญิงดูโตกว่าเล็กน้อย ขณะนี้กำลังกอดเด็กชายตัวน้อยเอาไว้ สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือผิวกายสีเหลืองและผอมแห้ง เห็นได้ชัดว่าอดอยาก

“นายท่าน ต้องการซื้อพวกเราหรือขอรับ?” เห็นอู๋ฝานยืนนิ่งไม่จากไป เด็กชายตัวน้อยจึงถามขึ้นมา

ขณะที่ทางด้านเด็กหญิงมีใบหน้าเย็นเยียบ ทว่าแววตาเผยให้เห็นอาการระแวดระวังและความหวัง

“พ่อแม่พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน?” อู๋ฝานนั่งยองลงเพื่อเอ่ยถาม

“พ่อถูกหมาป่ากินไปตั้งแต่พวกเรายังเด็ก” ตอนที่เด็กชายเห็นสายตาและท่าทีอ่อนโยนของอู๋ฝาน ก็ราวกับเขาได้ความกล้าขึ้นมา “ตอนนี้แม่ก็ตายไปแล้วเหมือนกัน”

อู๋ฝานมองร่างที่นอนแน่นิ่งบนพื้นและเริ่มที่จะขึ้นอืด

อีกฝ่ายคงเป็นแม่ของเด็กน้อยทั้งสองคนนี้

กล่าวได้ว่าเด็กน้อยทั้งสองคนกลายเป็นกำพร้าตั้งแต่ยังอายุน้อยเท่านี้

“นายท่าน ขอได้โปรดเมตตาซื้อตัวพวกเราด้วย พวกเราต้องการเงินฝังศพแม่” เด็กชายตัวน้อยอ้อนวอน “พวกเราไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว ขอเพียงได้กิน พวกเราจะมีแรง พวกเราพร้อมจะทำทุกอย่างที่ทำได้”

อู๋ฝานมองเด็กน้อยทั้งสองที่น่าเวทนา ในใจพลันรู้สึกถูกบีบเค้น สุดท้ายจึงตอบ “ได้ พวกเจ้ามากับข้า”

“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายท่าน” เด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยความตื่นเต้นยินดี

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เด็กสาวที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแค่มองอู๋ฝาน ขณะนี้เอ่ยขึ้นมาด้วยเช่นกัน

น้ำเสียงนั้นกระจ่างใสและไพเราะ เพียงแต่เย็นชาเล็กน้อย อาจจะเย็นชายิ่งกว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เสียด้วยซ้ำ

ขณะนี้เองที่เจิ้งเสี่ยวลิ่วซื้อคนรับใช้ในจวนตามที่ต้องการได้ครบถ้วนพอดี

“เสี่ยวลิ่ว ไปช่วยเด็กสองคนนี้ดูแลจัดการร่างของแม่พวกเขาด้วย หลังจากนั้นก็นำไปที่จวนของเรา” อู๋ฝานบอกกับเจิ้งเสี่ยวลิ่ว

“ขอรับหัวหน้า” เจิ้งเสี่ยวลิ่วตอบรับ

หลังจากนั้นเจิ้งเสี่ยวลิ่วจึงเข้าไปช่วยเด็กน้อยทั้งสองจัดการกับศพของมารดา ขณะที่อู๋ฝานนำกลุ่มคนรับใช้เดินทางกลับไปยังจวนของตนเอง

คนรับใช้เหล่านี้ขณะเผชิญหน้ากับอู๋ฝาน พวกเขามีท่าทีค่อนข้างระมัดระวัง แน่นอนว่ารวมถึงแสดงอาการขอบคุณ ราวกับการที่ชายหนุ่มซื้อตัวพวกเขา ก็นับเป็นการช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่แล้ว

เรื่องนี้ยิ่งทำให้อู๋ฝานนึกรำพึงรำพัน แต่หลังจากทราบเรื่องราวของโลกแห่งนี้มากขึ้น เขาก็เริ่มที่จะเข้าใจสถานการณ์เช่นนี้มากขึ้นแล้ว

ผู้คนเหล่านี้ขายตัวเองเป็นคนรับใช้ผู้อื่น ไม่เพียงแต่ช่วยครอบครัวจากความแร้นแค้น แต่ยังหาเงินเพื่อจุนเจือครอบครัว แม้ว่านับจากนี้จะเป็นคนที่อยู่ใต้ผู้อื่น แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องและความหิวโหย

ดังนั้น การซื้อพวกเขาก็เปรียบเสมือนการทำดีกับทั้งพวกเขาและครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง การที่พวกเขาจะแสดงอาการขอบคุณอย่างล้นเหลือจึงถือว่าสามารถเข้าใจได้