บทที่ 180 ลงเรือลำเดียวกันยามมีพายุฝน

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 180 ลงเรือลำเดียวกันยามมีพายุฝน

ฉินปู้เข่อ “…”

หมี่โม่หรู่ “…ไปให้พ้น! อย่าให้ข้าต้องสกัดจุดท่าน!”

เมื่อหมี่ฉงได้ยินคำพูดนั้น เขาจึงดึงมือกลับและกอดตัวเองอย่างอ้างว้าง “แง ๆ… ข้าเป็นห่วงนางจัง… ทั้งหมดเป็นความผิดของพี่ชายสาม… ข้าน่าจะหยุดเจ้าไว้ในตอนนั้น แง…”

ฉินปู้เข่อค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างหมี่ฉงและกอดเขาอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณพี่ชายสามที่ปกป้องโม่หรู่มาเป็นเวลานาน คราวนี้พี่ชายสามไม่ต้องเป็นกังวล”

“แง…” หมี่ฉงร้องไห้หนักกว่าเดิม เขาต้องการจะกอดฉินปู้เข่อและร้องไห้ต่อไป แต่ก็ถูกคนข้าง ๆ ดึงตัวออกมา

แต่ไม่เป็นอะไร ไม่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นใคร เขาก็จะกอดแล้วคร่ำครวญต่อไป ใครบอกว่าจะให้ทำให้เขาอยากจะร้องไห้ข้างโม่หรู่และถูกซือต๋าผลักทิ้งไปเมื่อวันก่อน ตอนนี้พวกเขาจะต้องชดใช้

“กอดเบา ๆ หน่อย อย่ามากเกินไป” หมี่โม่หรู่กลอกตาด้วยความรังเกียจและมองไปยังคนที่กอดรัดเขาพลางคร่ำครวญ

หมี่ฉงน่าจะเป็นคนเช่นนั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟิยพูดกรอกหูของเขาว่า ‘เขาจะเป็นเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า’ เป็นพัน ๆ ครั้ง แต่เขาก็ยังไม่อาจข้ามปมในใจได้และยังต้องการใช้ชีวิตของเขาเพื่อปกป้องหมี่โม่หรู่ น้องชายเจ็ดคนนี้ที่ถูกวางยาพิษแทนเขา

รวมไปถึงฉินปู้เข่อด้วย เขามีจังหวะการเต้นของหัวใจที่อธิบายไม่ได้ แต่บ่อยครั้งที่เขาปฏิบัติต่อนางในฐานะน้องสะใภ้ด้วยใจจริง เพราะนางเป็นคนที่สามารถทำให้โม่หรู่มีความสุขได้

สำหรับเขานั้น สิ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้คือการทำให้ดีที่สุดเพื่อให้หมี่โม่หรู่มีความสุข มีสุขภาพดีและปราศจากความกังวลเป็นร้อยปี

หลังจากพักผ่อนมาสักพัก ฉินปู้เข่อก็รู้สึกว่าตนฟื้นตัวเหมือนเดิมแล้ว คืนนั้นนางถูกเตะเข้าที่หน้าอกอย่างรุนแรง แม้ซี่โครงของนางจะไม่หักแต่ก็มีความเจ็บปวดที่แปลบขึ้นในหัวใจของนางบางครั้ง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน

แต่นางพบว่าการแสดงออกของหมี่โม่หรู่นั้นมักใจลอยหลายครั้ง

ตัวอย่างเช่นในขณะนี้ นางแอบเข้าไปที่โต๊ะในห้องอ่านหนังสือแล้ว แต่เขาก็ยังคงก้มหน้าก้มตาและจับบางสิ่งในฝ่ามือราวกำลังมองเงินในมือ

“นี่! มองอะไรอยู่!” นางตบไหล่หมี่โม่หรู่และเหลือบมองจากมุมหนึ่ง ปรากฏว่าชายผู้นี้มีเงินอยู่ในมือจริง ๆ

จี้คล้องคอเด็กทารกเพื่อให้มีอายุยืนที่ทำจากเงิน

หมี่โม่หรู่กลับมารู้สึกตัวและรีบนำของที่อยู่ในมือเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วมองนางด้วยท่าทางอึดอัดอย่างยิ่ง ก่อนจะขยับริมฝีปากของเขาแต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา

“ท่านมีจี้คล้องคอเด็กให้อายุยืนอยู่ในมือหรือ?” ฉินปู้เข่อดึงจี้ขนาดเล็กที่ประณีตออกจากแขนเสื้อของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านรักเด็กมาก รอจนกว่าหม่อมฉันจะหยุดกินยารักษาหัวใจก่อน แล้วค่อยถามซือต๋าว่าเวลาใดจึงจะเหมาะสม หม่อมฉันจะเตรียมการล่วงหน้าและจะพยายามไม่ทำให้ท่านผิดหวังเพคะ”

ใช่แล้ว เสี่ยวเข่อไม่รู้ตัวว่านางมีลูก และไม่รู้ว่านางสูญเสียลูกคนแรกในชีวิตไปขณะที่นางยังไม่ฟื้น

หมี่โม่หรู่หยิบจี้คล้องคออายุยืนกลับคืนมาพลางข่มความเจ็บปวดในใจของเขา แล้วดึงซองจดหมายออกจากลิ้นชัก

“ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเจ้าสบายดีขึ้นแล้ว และข้ามีบางอย่างที่อยากจะบอกเจ้า”

“อะไร เหตุใดถึงจริงจังนักเล่าเพคะ” ฉินปู้เข่อยกยิ้มและยื่นมือออกไปหมายจะหยิกแก้มเขา แต่เมื่อนางกำลังจะสัมผัสใบหน้าของเขา เขาก็ยกมือมาขวางไว้

“เสี่ยวเข่อ อะแฮ่ม พระชายา เจ้าลุกขึ้นก่อน”

ฉินปู้เข่อเอียงศีรษะและกะพริบตา ช่างจริงจังยิ่งนัก

“อย่างที่เจ้ารู้อยู่แล้วจากทาสใบ้และไทเฮา” หมี่โม่หรู่ยื่นซองจดหมายในมือให้นาง “นี่คือสำเนาหนังสือหย่าที่ลงนามและปิดผนึกแล้ว เช่นเดียวกับโฉนดที่ดิน ร้านค้าและหนังสือซื้อขาย”

หนังสือหย่า…

ฉินปู้เข่อเปิดซองจดหมายและชำเลืองมองดูคนตรงหน้านางที่อธิบายอย่างช้า ๆ

“ร้านค้าเหล่านี้สะอาดและมีเจ้าของร้านคอยดูแลประจำ เจ้าเพียงแค่ต้องตรวจสอบบัญชีทุกเดือนและเก็บเงิน โฉนดที่ดินของข้าได้เปลี่ยนเป็นชื่อของเจ้าแล้ว ซึ่งจะรับรองได้ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการหาเลี้ยงชีพ บางทีตำหนักอาจจะไม่หรูหราเท่าที่ตำหนักนี้และเจ้าอาจไม่ค่อยพอใจนัก”

“นอกจากนี้ยังมีสัญญาซื้อขายตัวของอู๋หัว อู๋อวิ๋น และซวงหวนด้วย พวกเขาเคารพเจ้ามากจึงสามารถติดตามเจ้าไปเพื่อปกป้องเจ้าได้ ส่วนเหรียญทองนั้นเป็นเครื่องหมายอัญเชิญองครักษ์ในวัง หากเจ้ามีปัญหาใดก็สามารถไปหาได้…”

ฉินปู้เข่อพลิกดูสองสามหน้าแล้วขัดจังหวะเขาอย่างใจเย็น นางมองเขาแล้วพูดว่า “ท่านกำลังจะตายหรือ? หรือว่าช่วงนี้ท่านกำลังป่วยเป็นโรคระยะสุดท้าย? หรือท่านได้ทำผิดมหันต์จนฮ่องเต้ต้องการทำลายล้างเก้าวงศ์สกุลของท่าน?!”

“ไม่ ไม่ใช่” หมี่โม่หรู่หลบสายตาเพราะกลัวว่านางจะวิตกกังวลและเปลี่ยนการตัดสินใจในที่สุด

ฉินปู้เข่อแบ่งสิ่งของที่อยู่ในมือ นางถือโฉนดที่ดินและร้านค้าไว้ในมือแล้วโยนหนังสือหย่าและเหรียญทองกลับลงบนโต๊ะ “หม่อมฉันต้องการเพียงของเหล่านี้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีอย่างอื่น”

“พระชายาตัวน้อยอย่าเอาแต่ใจ!” หมี่โม่หรู่เหลือบมองหนังสือหย่าและหยิบมันขึ้นมา

ฉินปู้เข่อหยุดนิ่งและจ้องมองเขา “หม่อมฉันเอาแต่ใจหรือท่านเอาแต่ใจกันแน่? หากท่านกล้ามอบมันให้หม่อมฉันอีกครั้ง หม่อมฉันจะรับมันและจากไปทันที! หากหม่อมฉันรับหนังสือหย่า หม่อมฉันจะไม่ไปที่ตำหนักที่ท่านจัดไว้ให้หม่อมฉัน แต่ท่านจะไม่มีวันหาหม่อมฉันเจออีกในชีวิตนี้!”

หมี่โม่หรู่กำหมัดแน่นในแขนเสื้อ ดวงตาของเขาสั่นเครืออย่างหนัก

“เหตุใด เหตุใดท่านถึงต้องการหย่า แต่ยังจัดหม่อมฉันไว้ใต้จมูกของท่าน ท่านกำลังคิดที่จะทำให้หม่อมฉันปีนข้ามกำแพงได้ง่ายขึ้นทุกเวลาในตอนกลางคืน หรือเพื่อป้องกันไม่ให้หม่อมฉันพบรักใหม่?!”

หน้าอกของฉินปู้เข่อยุบและพองอย่างรวดเร็ว นางเก็บลมหายใจไว้ในหัวใจและไม่สามารถปล่อยมันออกมาได้ เพราะหัวใจของนางเต้นแรงและเจ็บปวด นางรีบเอื้อมมือไปกุมหัวใจไว้แล้วล้มลงบนเก้าอี้

“เจ็บหัวใจอีกแล้วหรือ?!” หมี่โม่หรู่รีบลุกขึ้นไปนั่งยองอยู่ตรงหน้านางแล้วกอดนางไว้

ฉินปู้เข่อปัดมือของคนที่อยู่ตรงหน้านางแล้วหอบหายใจ “ท่านต้องการจะหย่าไม่ใช่หรือเพคะท่านอ๋อง อย่างน้อยก็รอให้หม่อมฉันแสดงท่าทีแข็งกร้าวก่อน ท่านไม่ควรมาบอกตอนที่หม่อมฉันล้มลงด้วยความเจ็บปวดต่อหน้าท่าน!”

หมี่โม่หรู่อดไม่ได้ที่จะอุ้มนางขึ้นและวางนางลงบนเตียง จากนั้นก็ใช้มือของเขาแตะที่หลังหัวใจของนางอย่างชำนาญ แล้วค่อย ๆ นวดคลึงโดยไม่ได้เอ่ยคำใด

ความเจ็บปวดที่หน้าอกของนางบรรเทาลงอย่างมาก แต่ความโกรธของนางค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ฉินปู้เข่อผลักคนที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างเตียงออกไปสุดแรงแล้วเตะเขาด้วยเท้าหลายรอบแต่ก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อเห็นมือของเขาเหยียดออก นางก็คว้าข้อมือของหมี่โม่หรู่มากัด

จนกระทั่งเลือดเลอะปากของนาง นางจึงสงบลงเล็กน้อยแล้วมองไปที่หมี่โม่หรู่ที่ถูกนางเตะและทุบตีจนสะบักสะบอม

“ฮึ่ม ตอนนี้หม่อมฉันสติแตกแล้ว หม่อมฉันคิดว่าหม่อมฉันช่างน่าสมเพช ก่อนหน้านี้หม่อมฉันขอให้ท่านทิ้งหนังสือไว้ แต่ตอนนี้หม่อมฉันกลับไม่หยิบมันขึ้นมาตอนท่านส่งให้ ตกลง หม่อมฉันจะรับมัน ไปเอาหนังสือหย่าบนโต๊ะมาให้หม่อมฉัน!”

คนที่อยู่ตรงหน้านางก้มศีรษะลงและยังคงไม่ขยับ เมื่อครุ่นคิดถึงผลที่ตามมาดังที่นางพูด เขาก็เชื่อว่าเสี่ยวเข่อจะทำให้เขาไม่มีวันหานางเจอได้อีกในตลอดชีวิตที่เหลือของเขา

“ไป! เมื่อสักครู่นี้หม่อมฉันยังไม่แข็งกร้าวพอหรือ ท่านไม่ไปหม่อมฉันจะไปเอง!” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไปข้างนอก

หมี่โม่หรู่รู้สึกปวดร้าวที่หัวใจของเขา ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปกอดนางจากด้านหลังอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาและน่าเวทนา “อย่า อย่าไป”

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขากลัว ความซับซ้อนที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของเขามานานหลายปีโผล่ออกมา มันเป็นความคิดที่เขาเก็บกดไว้ในใจลึกที่สุด เขาเป็นผลผลิตของความเสน่หาระหว่างพระสนมกับอ๋อง การกำเนิดของเขานั้นสกปรกโสมม มันเป็นความอัปยศของราชวงศ์ต้าเซี่ยทุกคน เขาไม่ควรเกิดมาในโลกใบนี้

ความจริงนี้จะไม่หายไปแม้ว่าเขาจะหลบเลี่ยงและปิดบังตัวเองไปอีกกี่ปีก็ตาม มันเป็นตราบาปที่ฝังอยู่ในหัวใจของเขา และเขาไม่อาจลืมมันได้

เขาไม่ต้องการให้นางรู้ เขาไม่ต้องการให้เสี่ยวเข่อที่รักของเขารู้ว่าเขารู้สึกอับอายและละอายใจมากที่เขาไม่อาจแสดงด้านนี้ให้โลกรับรู้ได้

ฉินปู้เข่อจับมือที่สั่นเทาที่เอวของนาง แล้วหันกลับมากอดเขาแน่นและบ่นว่า “หากท่านเกลียดหม่อมฉันจริง ๆ หรือมีคนอื่นอยู่ในใจ หม่อมฉันจะไม่รั้งไว้และจะไม่พูดอะไรเลย แต่หากท่านจะละทิ้งวันดี ๆ ที่ท่านมองเห็นและสัมผัสได้เพียงเพราะความลี้ลับที่ไร้เหตุผลจากประสบการณ์ชีวิตของท่าน ท่านคิดว่ามันคุ้มค่าหรือไม่?”

ศีรษะของชายหนุ่มส่ายไปมาที่คอของนาง น้ำเสียงของเขาเศร้าสลด “เจ้าจะถูกรังเกียจ เจ้าจะถูกใส่ร้าย และเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เสมอ เพราะองค์ชายที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้อำนาจมาอย่างข้า”

ฉินปู้เข่อลูบศีรษะของเขาและกระซิบแผ่วเบา

“ไม่ต้องไปพูดถึงความลับของราชวงศ์แบบนี้ว่าจะมีสักกี่คนที่รู้ มันจะแพร่กระจายออกไปและถูกนำไปติฉินนินทา ท่านเพียงแค่มองตาของหม่อมฉันในทุกวันนี้ก็รู้ว่ามีความดูหมิ่นอยู่หรือไม่? ผ่านความทุกข์ไปด้วยกัน… และในอนาคตหม่อมฉันจะกินให้น้อยลง เพื่อที่ว่าต่อให้แย่เพียงใดก็จะไม่รู้สึกขมขื่นมากนัก”

หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างจริงจังด้วยตาที่แดงเล็กน้อย “กินน้อยลงไม่ได้นะ เจ้าต้องกินเยอะขึ้นเท่าที่เจ้าต้องการ เพื่อจะได้บำรุงร่างกายของเจ้า”

ฉินปู้เข่อหน้ามุ่ย “ใครจะรู้เล่า หม่อมฉันกินเยอะเกินไปจนอาจทำให้ใครบางคนไม่ชอบหม่อมฉัน”

“ไม่ ไม่ใช่แน่นอน!” หมี่โม่หรู่กอดนางแน่น “ตราบใดที่เสี่ยวเข่อไม่ดูหมิ่นข้า มันก็ไม่สายเกินไปที่ข้าจะรักเสี่ยวเข่อ ข้าชอบดูเสี่ยวเข่อกินเป็นพิเศษ มันทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับโลกนี้”

ฉินปู้เข่อตวัดสายตามองเขาอย่างหงุดหงิด “เหตุใดท่านถึงคารมดีเช่นนี้ แต่เมื่อถึงตอนนี้แล้ว ต่อจากนี้ไปเราต้องตั้งกฎว่าจะไม่ปิดบังอะไรซึ่งกันและกัน อย่าคิดว่าเมื่อรู้เรื่องแล้วอีกฝ่ายจะไม่มีความสุข หรืออีกฝ่ายจะตกอยู่ในอันตรายเมื่อรู้ ซึ่งยิ่งอันตรายก็ยิ่งต้องคุยกัน เพราะท่านกับหม่อมฉันเป็นสามีภรรยากันจึงถือว่าลงเรือลำเดียวกันยามมีพายุฝน เราจึงต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันอย่างแน่นแฟ้น”

“เราลงเรือลำเดียวกันยามมีพายุฝน เราต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน” หมี่โม่หรู่ทวนคำเหล่านี้ในใจ เขาแต่งงานกับคนเช่นไรกัน!

“เสี่ยวเข่อ ซือต๋าบอกว่าสองสามวันนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม” เขาพูดด้วยเสียงแหบที่เต็มไปด้วยความสุขที่ควบคุมไม่ได้ ฟันของเขากัดติ่งหูของฉินปู้เข่อ และลิ้นที่เปียกชื้นก็แตะเบา ๆ ที่โคนหูของนาง

ฉินปู้เข่อหอบหายใจเบา ๆ และเมื่อนางได้สติ ใบหน้าของนางก็แดงก่ำ อารมณ์ของชายผู้นี้เปลี่ยนเร็วเกินไปหรือไม่ “ช่วงเวลาที่เหมาะสมอะไรนะ?”

“ข้าอยากมีลูก!” หมี่โม่หรู่กดนางลงบนเตียงอีกครั้ง “เวลาใกล้จะหมดแล้ว เราต้องแข่งกับเวลา!”

————

เมื่อพวกเขาคิดว่าเรื่องของหมี่อี้เหิงถูกฝังไว้ใต้ดินพร้อมกับการสิ้นพระชนม์ของไทเฮาเจิ้ง ข่าวลือก็ค่อย ๆ แพร่กระจายไปในหมู่ประชาชน แม้แต่กวีที่เขียนหนังสือและบทละครก็แต่งเรื่องที่ซาบซึ้งและโศกเศร้าจากเรื่องนี้

มีข่าวลือว่าอ๋องอี้ผู้ล่วงลับไปแล้วตกหลุมรักนางกำนัลเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ และเมื่อทั้งสองพร้อมจะปลดพันธนาการของโลกและแต่งงานกัน เวลานั้นองค์รัชทายาทก็ตกหลุมนางกำนัลคนนี้ และใช้อำนาจพานางกำนัลเข้าไปอยู่ในตำหนักบูรพาเพื่อเป็นพระชายาของตน

ส่วนอ๋องอี้ก็เจ็บปวดด้วยความรักและไม่พูดถึงเรื่องการแต่งงานอีกต่อไป จนในที่สุดท่านก็ตรอมใจจนสิ้นพระชนม์ในตอนที่ยังทรงพระเยาว์

ในวังยังมีผู้ทำเรื่องเลวร้ายอีกมากและไม่อาจพูดออกมาตามตรงได้ ทว่า…

…………………………………………………………………………..