บทที่ 181 จับกลุ่มดูละคร
คนชุดสีแดงสดและสีเขียวสดบนเวทีกำลังขับขานเพลงงิ้วเสียงแหลม กลุ่มผู้ชมประกอบด้วยฉินปู้เข่อ ลู่ชูอี้ จานหานชิว และสตรีผู้สูงศักดิ์อีกหลายคนที่กำลังตั้งใจฟัง
เนื่องจากเป็นห้องส่วนตัวสุดพิเศษบนชั้นสอง พวกนางแต่ละคนจึงมีถาดขนมสีเงินขนาดเล็กวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า โดยมีเมล็ดแตงโมและขนมตามสมัยนิยมอยู่ในนั้น
ในตอนท้ายของเพลง ฉินปู้เข่อก็ยังไม่อาจหยุดความคิดของนางได้ นางแค่คิดว่าการแต่งหน้าเข้มฉูดฉาดบนเวทีเป็นเรื่องน่าขัน แต่นางไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับบทเพลงที่เร็วและรัวมานานแล้ว
“นี่เป็นเพลงงิ้วที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเมืองหลวงเมื่อเร็ว ๆ นี้ พระชายาคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่ชูอี้ยกยิ้มและมองฉินปู้เข่ออย่างครุ่นคิด
ฉินปู้เข่อกำลังแกะเมล็ดแตงโมในมือ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสนใจ “ข้าไม่ค่อยฟังเพลงงิ้วเรื่องนี้มากเท่าไร และข้าไม่ชินกับน้ำเสียงที่พวกเขาใช้ร้อง ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมด แต่ดูจากการที่เจ้าตั้งใจรับชมมากก็แสดงว่าละครเรื่องนี้ดีจริง ๆ”
มุมปากของลู่ชูอี้เหยียดออก เผยร่องรอยของการเย้ยหยันและความไม่อดทนในดวงตาของนาง หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกสาวของราชองครักษ์จะอธิบายให้พระชายาฟัง ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสาวใช้ในครอบครัวที่ร่ำรวยที่รักกับลูกชายคนโตของคฤหาสน์มาตั้งแต่เด็ก ลูกชายคนโตรับสาวใช้คนนี้เป็นคู่ครองเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่หลังจากช่วงข้าวใหม่ปลามัน หญิงสาวคนนี้ก็ถูกลูกชายคนโตละเลยและลืมไป”
“ขณะที่ลูกชายคนที่สองของเรือนที่เป็นบุตรบุญธรรมพบสาวใช้อยู่คนเดียวในห้องว่าง นางจึงใช้เล่ห์มารยายั่วยวนชายหนุ่มและทรยศสามีของตน แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือบุตรบุญธรรมฆ่าตัวตายด้วยความอับอาย และสาวใช้ก็รู้สึกหดหู่ไปชั่วชีวิต”
“โอ้…” ฉินปู้เข่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนหลังบ้านของพวกเศรษฐี”
เฮ้อ จินตนาการคนกลุ่มนี้ค่อนข้างมีบรรเจิด บทสรุปคืออ๋องอี้และพระสนมเสียนผินรักกัน แต่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยช่วงชิงนางไปด้วยอำนาจ แต่ในเวอร์ชันนี้อ๋องอี้กับพระสนมเสียนผินกลับมีความเสน่หากันเพียงเพราะตัณหาและเป็นการทรยศ
“แล้วคนทรยศและไร้ยางอายทั้งสองก็มีลูกชาย” ลู่ชูอี้ต้องการพูดมากกว่านี้
ฉินปู้เข่อรู้สึกสนใจ “อยู่ไหนล่ะ ข้าไม่เห็นเด็ก ๆ บนเวทีเลย ละครเรื่องนี้ยังไม่จบหรือ? มีครึ่งหลังต่ออีกใช่หรือไม่?!”
“ยังไม่จบหรอก ตอนที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับ…” ลู่ชูอี้เลิกคิ้วขึ้นและเตรียมจะอธิบายต่อไปด้วยเจตนาไม่ดี
“แม่นางลู่!” จานหานชิวที่อยู่ข้าง ๆ ขัดจังหวะนางอย่างกะทันหัน “พระชายานาง นาง…”
จานหานชิวค่อนข้างไม่กล้าหาญ นางต้องการรีบช่วยฉินปู้เข่อ แต่นางไม่อาจหาเหตุผลที่เหมาะสมได้อยู่นาน นางจึงทำได้เพียงหน้าแดงและคิดคำพูดต่อไปไม่ออก
“ข้าต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า หานชิวอยากจะไปกับข้าหรือไม่” ฉินปู้เข่อขยิบตาแล้วจับมือจานหานชิวก่อนจะยกยิ้มให้ลู่ชูอี้ “แม่นางลู่โปรดรอสักครู่ ข้าสนใจ ‘ครึ่งหลังของละคร’ เรื่องนี้นัก เดี๋ยวข้าจะกลับมาคุยต่อ”
รอยยิ้มที่มุมปากของลู่ชูอี้กว้างขึ้น นางมองจานหานชิวและพูดอย่างรวดเร็วว่า “พระชายารีบกลับมาเร็ว ๆ เถิด ครึ่งหลังนี้น่าตื่นเต้นกว่าครึ่งหน้าเยอะเลย”
หลังออกจากห้องส่วนตัวแล้ว จานหานชิวก็ลูบแขนเสื้อของฉินปู้เข่อ “เสี่ยวเข่อ ไม่ต้องฟังละครที่ลู่ชูอี้เล่าและอย่าได้ใส่ใจเลย โธ่ เหตุใดเราไม่รีบกลับกันเลยเล่า”
ฉินปู้เข่อสับสนเล็กน้อย “ในที่สุดลู่ชูอี้ก็เชิญพวกเรามาดูละคร หากกลับไปหลังจากดูไปแค่หนึ่งตอนก็น่าเสียดายยิ่งนัก ข้ายังดูไม่จบเลย”
“เพลงต่อไปก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก!”
“หือ? ต้องใช้เวลาหนึ่งวันในการขับร้องเพลงเกี่ยวกับสวนหลังบ้านของครอบครัวที่ร่ำรวยเลยหรือ?” ฉินปู้เข่อไม่เข้าใจ
จานหานชิวก่ายหน้าผากของตน “มากกว่าหนึ่งวันอีก วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว และเพลงเดียวกันนี้จะแสดงต่อไปจนถึงครึ่งเดือนหน้า”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? หลายคนชอบเพลงนี้นัก แต่จากที่ข้าเพิ่งได้ยินลู่ชูอี้อธิบายถึงเพลงนี้ก็คิดว่ามันไม่ได้พิเศษอะไร”
จานหานชิวมองไปที่ดวงตาใสของนาง และกัดริมฝีปากราวกับว่านางได้ตัดสินใจแล้ว “เสี่ยวเข่อ เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวลือว่าเพลงนี้สะท้อนให้เห็นอ๋องอี้ผู้ล่วงลับไปแล้วและพระสนมคนปัจจุบัน และลู่ชูอี้กำลังจะกล่าวว่าลูกของทั้งสองก็คืออ๋องหลี่ชิน”
“อะไรนะ?” ดวงตาของฉินปู้เข่อเบิกกว้าง “เจ้าหมายถึงโม่หรู่คือ…”
จานหานชิวรีบลูบมือของนางสองครั้ง เพื่อพยายามปลอบโยนนางอย่างสุดความสามารถ “ที่ลู่ชูอี้เรียกเรามาที่นี่ในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าทำไปเพื่อล้อเลียนเจ้า ดังนั้นเมื่อเราออกมาแล้วก็อย่ากลับเข้าไปอีกเลย เดี๋ยวจะส่งสาวใช้ไปบอกลาให้ทีหลังก็ได้”
“อืม… หานชิว เมื่อสักครู่นี้เจ้าได้กินเมล็ดแตงโมในถาดผลไม้แล้วหรือยัง รสชาติเป็นอย่างไร?”
จานหานชิว “น้องสาวที่แสนดีของข้า ทันทีที่ข้าฟังเพลงบนเวทีได้ไม่กี่ประโยคก็รู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ แล้วข้าจะยังมีกะจิตกะใจกินผลไม้ได้อย่างไร!”
“เดี๋ยวค่อยกลับเถอะ ผู้คนจ่ายเงินไปเยอะเพื่อจ้างคนมาร้องเพลงให้ฟัง ข้าไม่อาจละเลยความปรารถนาของพวกเขาได้ เราจะฟังต่อขณะที่กินไปด้วย ไม่ต้องห่วง ข้าสามารถฟังนางพล่ามได้”
เมื่อเห็นว่าจานหานชิวยังคงลังเลอยู่ ฉินปู้เข่อจึงยกยิ้มและผลักนางเข้าไปในห้องส่วนตัว นางคลี่ยิ้มแล้วคว้าเมล็ดแตงโมในชามผลไม้แล้วยื่นให้กับนาง “เมล็ดแตงโมเหล่านี้รสชาติดีมาก เจ้าต้องลองชิมดู”
เมื่อเห็นสีหน้าไร้กังวลของนาง จานหานชิวจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนางนึกถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่นางช่วยชีวิตตนไว้จากอันตราย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสี่ยวเข่อจะมีมาตรการตอบโต้ในครั้งนี้ด้วย?!
ฉินปู้เข่อพยักหน้าให้นางอย่างเฉยเมย แล้วหันกลับไปคุยกับลู่ชูอี้ต่อ “แม่นางลู่เล่าถึงไหนแล้วนะ?”
“พูดถึงเรื่องนั้น นั่นคือ… เอ่อ… ข้าพูดถึงไหนแล้วนะ!” ทันทีที่ลู่ชูอี้กำลังจะพูด สมองของนางก็ว่างเปล่าขึ้นมาทันที และนางก็จำไม่ได้ว่าละครที่นางมาดูในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
ฉินปู้เข่อเหลือบมองเปลือกเมล็ดแตงโมที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้านางและยกยิ้มในใจ ดูเหมือนว่าดีแล้วที่นางและจานหานชิวออกไปชั่วขณะหนึ่ง
ตอนแรกลู่ชูอี้กำลังคิดหาวิธีเยาะเย้ยนาง แต่เมล็ดแตงโมในถาดผลไม้ไม่ขยับเลย นางจึงฟังเรื่องครึ่งแรกเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลู่ชูอี้ ซึ่งทำให้ลู่ชูอี้ผ่อนคลายเล็กน้อยและรู้ว่าสามารถกินเมล็ดแตงโมได้
แล้วเมล็ดแตงโมวิเศษที่นำออกจากระบบก็ถูกกินเข้าไป และนางก็จะไม่อาจเล่าตอนสุดท้ายของละครได้อีก
“พูดถึงการพบปะส่วนตัวระหว่างสาวใช้กับลูกชายคนที่สอง” ฉินปู้เข่อเตือนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ลู่ชูอี้ตบหน้าผากของตน “ใช่แล้ว พูดถึงสาวใช้กับลูกชายคนที่สองที่แอบพบปะกันส่วนตัว แล้วพวกเขา… พวกเขาก็แค่… เกิดอะไรขึ้นนะ?” สมองของนางว่างเปล่าอีกครั้งราวกับว่านางไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป…
ฉินปู้เข่อชี้ไปที่หน้าผากของนางแล้วพูดว่า “เหตุใดแม่นางลู่ไม่ถามน้องสาวคนอื่น ๆ ว่าเรื่องพูดถึงอะไร ข้ายังฟังเนื้อเรื่องละครจากเจ้าได้ไม่ถึงครึ่งเรื่องและติดใจยิ่งนัก”
เมื่อลู่ชูอี้ได้ยินคำพูดนั้นก็หันไปถามสตรีสูงศักดิ์สองสามคนข้างนางว่า “ตอนที่สองของละครเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไรนะ? เจ้าได้ดูไปแล้วเมื่อวานนี้ นึกดูซิว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรต่อ”
“แม่นางลู่ดูติดต่อกันสามวันแล้วแต่กลับลืมหรือ” สตรีสูงศักดิ์หยอกเย้าและคลี่ยิ้มก่อนจะเตรียมเล่าเรื่องละครตอนต่อไป “ตอนที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เอ่อ เกี่ยวกับ คือว่า…”
……………………………………………………………………………..