บทที่ 182 ข่าวลือแพร่สะพัด
“เป็นอย่างไร บอกข้ามาเร็วเข้า!” ลู่ชูอี้อดไม่ได้ที่จะกระตุ้น
“ข้าจำไม่ได้” หญิงสาวผู้นั้นเกาหัวราวกับว่านางยังคงใช้สมองคิดทบทวน
ลู่ชูอี้จ้องนางแล้วหันไปมองสตรีสูงศักดิ์อีกคน “เจ้าบอกมาซิ! ดูละครเรื่องนี้มาสามวันแล้ว เจ้าจะลืมเนื้อเพลงได้อย่างไร!”
“เรื่องนั้นคือนั่นแหละ ก็มีอยู่แค่นี้ ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นอย่างไรสุดท้ายก็เป็นแบบนี้” สตรีผู้นี้ฉลาดกว่าเล็กน้อยและไม่ได้พูดตามตรงว่านางลืม แต่พูดว่า ‘นั้น’ กับ ‘นี้’ อยู่นานโดยไม่ได้เข้าประเด็น
ฉินปู้เข่อพึมพำอย่างผิดหวัง “ช่างมันเถอะ ข้าจะไม่ฟังพวกเจ้าแล้ว ข้าจะดูด้วยตาตัวเองนี่แหละ”
ลู่ชูอี้ตะโกนก้อง “มารอดูต่อไปกันดีกว่า” แม้ว่านางจะลืมไปแล้วว่าเนื้อเรื่องของละครเรื่องนี้เป็นอย่างไร แต่นางก็รู้ว่าตัวละครในละครเรื่องนี้มีตัวตนอยู่จริง และมันเป็นเนื้อเรื่องที่สามารถทำให้ตำหนักอ๋องหลี่ชินถูกคนอื่นเย้ยหยันได้
ในที่สุดการแสดงทั้งวันก็จบลง ฉินปู้เข่อดึงแขนของลู่ชูอี้และวางแผนที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอย่างกระตือรือร้น “แม่นางลู่ การแสดงที่เจ้าพาเรามาชมในวันนี้ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก ดูเด็กในตอนสุดท้ายสิ เอ๊ จริง ๆ เลย จุ๊ ๆ…”
ลู่ชูอี้ตกตะลึงพลางมองนางด้วยท่าทางมึนงงและพยักหน้า “ใช่ ใช่แล้ว นั่นแหละ ฮ่า ๆ พระชายาพูดถูก”
“เจ้าก็คิดอย่างนั้นด้วยหรือ” ฉินปู้เข่อกวาดสายตามองใบหน้าของหญิงสาวคนอื่น ๆ และใบหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความสับสน สงสัยและงุนงงในระดับที่แตกต่างกัน
จากนั้นทั้งกลุ่มก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว นั่นแหละ อืม ใช่”
เมื่อทั้งกลุ่มขึ้นไปบนรถม้าแล้ว จานหานชิวก็ดึงแขนเสื้อของฉินปู้เข่ออย่างสับสน “เสี่ยวเข่อ วันนี้เราไปดูอะไรกัน เหตุใดเราถึงลืมมันทันทีที่เราออกมาจากโรงละคร?!”
“ถ้าลืมก็แสดงว่าไม่สำคัญ รีบกลับเถิด” ฉินปู้เข่อยกยิ้มกว้างจนมุมปากเกือบถึงหู แล้วนางก็พาจานหานชิวขึ้นไปบนรถม้า “อย่าลืมเรียกพี่หญิงจานและเพื่อนคนอื่น ๆ มาดูละครพรุ่งนี้นะ!”
หลังจากส่งทุกคนออกไปแล้ว รถม้าของตำหนักอ๋องหลี่ชินก็แล่นออกมาจากตรอกใกล้ ๆ และมาหยุดตรงหน้าฉินปู้เข่อ
“เสี่ยวเข่อ” มือเรียวสวยยกม่านรถม้าเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของหมี่โม่หรู่
ฉินปู้เข่อจับมือเขาและกำลังจะก้าวขึ้นไปบนรถม้า เมื่อเข้ามาได้ครึ่งตัวก็มีคนคว้าเอวนางเพื่อพยุงนางขึ้น แต่มือใหญ่นั้นยังคงไม่ปล่อยหลังจากที่นางถูกพยุงขึ้นรถมาแล้ว และกดนางให้นั่งบนตักของเขา
“ตามคำสั่งของเจ้า เมล็ดแตงโมส่วนใหญ่ในโรงละคร และร้านอาหารเล่าเรื่องในเมืองหลวงถูกแทนที่ด้วยเมล็ดแตงโมที่เจ้าให้ แต่ความต้องการสำหรับครึ่งเดือนนั้นมีมากเกินไป ดังนั้นสินค้าที่มีอยู่จึงได้ถูกจัดส่งแล้ว แต่ยังไม่ได้จัดส่งให้โรงละครบางแห่ง”
ฉินปู้เข่อคลี่ยิ้มร่าเริง “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้าไปเอาเพิ่มที่ตำหนักของหม่อมฉัน เก็บไว้ให้เพียงพออยู่แล้วเพคะ”
ค่านิยมเลิศรสที่เกิดจาก ‘เมล็ดแตงโมหลงลืม’ ในวันนี้ไม่มากพอที่จะซื้อให้เพียงพอสำหรับหนึ่งเดือน จากนี้ดูเหมือนว่าคนที่ปล่อยข่าวลือจะทำได้ดีในช่วงแรกของการเชิญชวน แต่วันนี้มีคนที่มาชมละครเพียงไม่กี่คน
ด้วยวิธีนี้ เป็นการดีกว่าที่จะไม่ทำให้ผู้คนเสียความตั้งใจที่ดี
“ได้เลย” หมี่โม่หรู่ลูบหลังนางและพูดเบา ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหล
“สามี ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะปิด ‘โรงหลานอิน’ โรงละครที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวงและเชิญประชาชนทั่วไปมาดูละครโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ขณะดูละครก็จะนำจานใส่เมล็ดแตงโมมาวางตรงหน้าพวกเขาทุกคน ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการร้องเพลงที่ยิ่งใหญ่เพื่อประชาชนทั่วไปเราก็ต้องร่วมมืออย่างดี”
“ได้เลย”
“จุ๊” ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วและเหลือบมองหมี่โม่หรู่ “เหตุใดท่านถึงไม่มีความคิดเห็นเลย? นี่เป็นละครเพลงที่จะทำให้ท่านไม่มีความสุข และหม่อมฉันชวนให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงมาฟังนะเพคะ”
“ไม่ว่าเพลงจะร้องว่าอย่างไรมันก็ไม่สำคัญตราบใดที่เสี่ยวเข่อรักข้า” เสียงของหมี่โม่หรู่นั้นนุ่มนวลและหนักแน่น “อีกอย่างคือเสี่ยวเข่อของข้ารักสามีของนางมาก และจะไม่ยอมให้คนภายนอกมองมาที่ข้าในแบบที่ต่างออกไปจากที่เจ้าอยากให้เป็นไม่ใช่หรือ”
“พอเถอะเพคะ หลงตัวเอง” หญิงสาวชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยแก้มแดงขณะพูด
หมี่โม่หรู่กอดนางแน่น มีความกังวลแวบผ่านดวงตาของเขาและพูดเบา ๆ ว่า “ครั้งนี้จะเกิดผลร้ายต่อร่างกายของเจ้า เช่น ความเหนื่อยล้าหรืออาการไม่สบายอื่น ๆ อีกหรือไม่”
“ไม่เพคะ มีเฉพาะสิ่งที่ส่งผลต่อร่างกายของหม่อมฉันเท่านั้นที่จะทำให้หม่อมฉันไม่สบายเล็กน้อย สิ่งนี้ถูกคนอื่นกินจึงไม่ส่งผลต่อหม่อมฉัน” ฉินปู้เข่อตอบตามความจริง และความเจ้าเล่ห์ก็ฉายชัดในแววตาของนางอีกครั้ง “วันนี้ท่านดูละครแล้ว ท่านได้กินเมล็ดแตงโมของหม่อมฉันหรือไม่”
“ได้ยินเสียงแกะกรอบแกรบ เมล็ดแตงโม… ไม่ได้กิน”
ฉินปู้เข่อหยิบเมล็ดแตงออกจากแขนเสื้อแล้วกางออกในมือ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความยั่วเย้า “อ๋องหลี่ชินกล้าไปที่เกิดเหตุเพื่อดูละครและกินเมล็ดแตงโมของหม่อมฉันหรือไม่?”
“ทำไมจะไม่กล้า! เมื่อเจ้าออกปากพูดแล้ว ต่อให้ต้องลุยภูเขาดาบทะเลเพลิงข้าก็จะไป” หมี่โม่หรู่แหวกม่านรถม้าและจูงมือนางเข้าไปในโรงละคร
หนึ่งชั่วยามต่อมา การแสดงจบลง
ฉินปู้เข่อกำมือเป็นกำปั้นแล้วยกขึ้นตรงปากของหมี่โม่หรู่เพื่อสัมภาษณ์เขา “หม่อมฉันขอถามเรื่องคำพูดประทับใจจากละคร ท่านอ๋องรู้สึกอย่างไรในฐานะตัวเอกในเรื่อง”
หมี่โม่หรู่เกาหัว “ก็…” เขาจำไม่ได้เลยว่าละครนั้นพูดอะไร
“งั้น…” เขาเบิกตากว้างจ้องมองจานเมล็ดแตงโมที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
ฉินปู้เข่อบิดเอวของนางอย่างเชื่องช้า “อืม~ ผลที่ได้ก็เป็นไปตามที่ท่านอ๋องคาดไว้ แต่ท่านอ๋องจะดูขุ่นเคืองและหงุดหงิดมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อท่านออกจากโรงละคร เนื่องจากคนอื่นร้องเพลงให้เราฟัง เราจึงต้องแสดงความคิดเห็น”
หมี่โม่หรู่เกาจมูกของนาง “ไม่มีปัญหาในเมื่อมีเมล็ดแตงโมวิเศษของเจ้า ข้าคิดว่ามันน่าจะใช้เวลาสองสามสัปดาห์ แต่อย่างไรเสียความคิดเห็นของประชาชนก็เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้มากที่สุด”
“และน่าเจ็บปวดที่สุดเหมือนกัน” ฉินปู้เข่อโอบเอวของเขาและรู้สึกหดหู่เล็กน้อย “ข้าเกลียดเวลาที่มีคนโจมตีท่านด้วยสิ่งที่ท่านไม่อยากเผชิญ และมันไม่ใช่ความผิดของท่านเลย”
“มีเจ้าอยู่ด้วย ไม่มีใครทำร้ายข้าได้หรอก” หมี่โม่หรู่ลูบผมนุ่มของนางแล้วซบศีรษะไว้กับผมของนาง
ในคืนนั้น ณ ตำหนักบูรพา
“ฝ่าบาท หลังจากดูละครจบแล้วเมื่อบ่ายวันนี้ พระชายาหลี่ชินก็พาอ๋องหลี่ชินเข้าไปดูอีกครั้ง เมื่อพวกเขาออกมา อ๋องหลี่ชินก็ดูหงุดหงิดและเสด็จขึ้นรถม้าเพียงลำพัง โดยทิ้งพระชายาหลี่ชินไว้ข้างถนนพ่ะย่ะค่ะ”
หมี่เซวียนตบมือและหัวเราะเสียงดัง “เยี่ยม! ขยี้หัวใจของเขาก่อน เคล็ดลับของอัครมหาเสนาบดีต๋งดีเกินไป! ให้เวทีด้านนอกร้องเพลงที่ข้าให้ร้องต่อไปอีกครึ่งเดือน ข้าต้องการให้คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าอ๋องหลี่ชินมาจากไหนและเป็นอย่างไร!”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ถอยหลังกลับไป
หมี่เซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยแสงเยือกเย็นวาบในดวงตาของเขา หลังจากข่าวลือแพร่สะพัดก็ถึงเวลาที่ผู้ตรวจสอบราชวงศ์จะต้องก้าวออกมาทบทวนเรื่องการพิจารณาถอดถอน แล้วองค์ชายที่เกิดมาพร้อมกับความด่างพร้อยจะทำกิจการในราชสำนักต่อไปได้อย่างไร และเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นชินอ๋องจินจู่ได้อย่างไร!
ตอนที่เขาได้ข่าวเมื่อไม่กี่วันก็ทำให้เขาโกรธแทบบ้า เขาต้องรอจนกว่าจะมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาอย่างเป็นทางการเพื่อให้ฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัย!
ทันทีที่หมี่เซวียนเข้าไปในราชสำนักในวันรุ่งขึ้น เขาก็ถูกฮองเฮาเรียกไปทันที
“เซวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับพระสนมเสียนผินกับอ๋องหลี่ชินนอกวังหรือ?!”
……………………………………………………………………………