ตอนที่ 172 ผู้ที่ผ่านทางมาในพายุหิมะ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 172 ผู้ที่ผ่านทางมาในพายุหิมะ

ทันทีที่เข้าไปในโรงเตี๊ยม ร่างกายก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่แตกต่างจากความหนาวเหน็บด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ภายในโรงเตี๊ยมมีการจัดวางกระถางไฟเอาไว้

เดิมทีหัวหน้าจุดพักม้าคร้านจะสนใจ แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนที่เดินเข้ามาต่างถืออาวุธเอาไว้ ท่าทีก็เปลี่ยนไปทันที รีบเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นในทันใด เอ่ยถามว่าต้องการแวะพักหรือว่าค้างคืน

หลังออกจากอำเภอจิ่วหลิ่งก็มิได้หยุดพัก ตรากตรำเดินทางข้ามวันข้ามคืน เวลานี้เจอพายุหิมะที่ตกหนัก อีกทั้งพวกเขาเองก็อยากจะพักผ่อนเสียหน่อย จึงขอเช่าห้องสองสามห้องเพื่อนอนพักค้างคืน

กลับเป็นพวกต้วนหู่ที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเต้าเหยี่ยและเฮยหมู่ตานถึงพักกันคนละห้อง ในเมื่อมีสัมพันธ์กันเช่นนั้นแล้ว พักด้วยกันเสียก็จบ

หลังจัดการห้องหับเรียบร้อยแล้ว ทั้งห้าคนก็มารวมตัวกันที่ห้องโถงอีกครั้ง สั่งสุราอาหารและน้ำแกง กินอะไรร้อนๆ กันเสียหน่อย เพราะทนหนาวมาตลอดทางแล้ว

มาตรว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรกันทั้งหมด แต่ยังคงมีร่างกายที่มีเลือดเนื้ออยู่ จึงยังไม่อาจตัดความอยากในอาหารไปได้

สุราอาหารทยอยขึ้นโต๊ะ ทั้งห้าคนล้อมวงรอบโต๊ะ ค่อยๆ กินกันไป พูดคุยหัวเราะกันไป

เมื่อมาถึงตอนนี้ พวกเฮยหมู่ตานเรียกได้ว่าก้าวพ้นออกมาจากเงามืดของการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักแล้ว มาตรว่าจะยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอยู่ แต่ก็มิได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอันใดแล้ว ทัศนคติเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

มีคำกล่าวไว้ว่าที่ใดทำให้ใจสงบ ที่นั่นย่อมคือบ้าน การติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าทำให้ทั้งสี่คนรู้สึกสบายใจได้อย่างแท้จริง

เหลยจงคังเองก็ร่วมวงพูดคุยกับทุกคนบ้างเป็นระยะ หัวเราะพูดคุยไปกับทุกคน แต่เขายังคงคอยมองดูสีหน้าของหนิวโหย่วเต้าอยู่เป็นครั้งคราว

แม้นจนถึงตอนนี้หนิวโหย่วเต้าจะยังมิได้เอ่ยปากรับตัวเขาไว้ แต่ก็มิได้ไล่เขาไปเช่นเดียวกัน พออยู่กันไปนานเข้า เขาเองก็ค่อยๆ รู้สึกคุ้นเคยกับหนิวโหย่วเต้าขึ้นมา

และเขาเองก็ได้ทราบเรื่องเรื่องหนึ่งมา นั่นคือสัญญาขายตัวของพวกเฮยหมู่ตานไม่ได้อยู่กับหนิวโหย่วเต้า หากแต่มอบให้พวกเฮยหมู่ตานเก็บเอาไว้เอง

ส่วนพวกเฮยหมู่ตานเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจนแล้วจนรอดเต้าเหยี่ยก็ยังไม่ยอมออกปากรับเหลยจงคัง เดินทางมาด้วยกันขนาดนี้แล้ว นี่มันก็เท่ากับเป็นการแสดงออกว่ายอมรับแล้วมิใช่หรือ?

ซึ่งในความเป็นจริงต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงเคยโน้มน้าวให้เฮยหมู่ตานไปขอร้องหนิวโหย่วเต้าแล้ว ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธอันใด สุดท้ายก็คือไม่ยอมเอ่ยปากยอมรับ!

ความรู้สึกนี้มักจะทำให้คนอื่นๆ รู้สึกกังวลใจแทนเหลยจงคัง แต่ทั้งสามก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน ตอนนี้จึงได้แต่ให้เหลยจงคังอยู่ไปแบบนี้

ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าม้าดังแว่วมา ไม่นานนัก ม่านประตูแหวกเปิดออก คนที่เดินเข้ามาเป็นชายสามหญิงหนึ่ง ทั้งสี่คนดูกระฉับกระเฉงมีพลัง แค่มองดูก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา ทุกคนล้วนมีอาวุธติดตัวมาด้วย ทำให้พวกหนิวโหย่วเต้าพากันเหลือบมองดู

บุรุษวัยกลางคนสองคนยืนอยู่ด้านหลัง สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งยืนเป็นเพื่อนเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งอยู่ด้านหน้า ช่วยถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ให้แก่เด็กหนุ่ม เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นผู้นำของกลุ่ม

ความเย่อหยิ่งในสีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มมิอาจปกปิดซ่อนเร้นเอาไว้ได้ ยืดอกเชิดหน้า ทรวงอกค่อนข้างใหญ่ สายตาของพวกหนิวโหย่วเต้ามองไปยังใบหน้าของเขาทันที ดวงตากลมโต สุกใสดุจดวงดารา ริมฝีปากแดงเรื่ออวบอิ่มดูมีเอกลักษณ์ ผิวพรรณขาวผ่องดั่งกระเบื้องเคลือบ บนติ่งหูมีรอยเจาะ

พวกหนิวโหย่วเต้ามองหน้ากัน มาตรว่าอีกฝ่ายจะแต่งกายเป็นบุรุษ แต่กระทั่งคนตาบอดก็ยังมองออกว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเหมือนว่าจะเป็นสาวงามเสียด้วย เห็นแล้วรู้สึกหมดคำพูด แต่งตัวได้ไม่แนบเนียนขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาวางท่าหยิงยโสอีกหรือ?

“น่าสนใจ…” หนิวโหย่วเต้าพึมพำ

ผู้มาเยือนทำการจองห้องพักของจุดพักม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นครู่หนึ่งก็กลับมาปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงเช่นเดียวกัน ทำแบบเดียวกับพวกหนิวโหย่วเต้า สั่งอาหารร้อนๆ มาดื่มกิน

หนิวโหย่วเต้าถือตะเกียบเคาะชามเบาๆ เอ่ยว่า “ไร้รสชาติ ข้าอยากกินหมูตุ๋นน้ำแดง!”

พวกเฮยหมู่ตานสบตากันแวบหนึ่ง เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนั้นแล้ว ยังจะกล้าทำหมูตุ๋นน้ำแดงอีกหรือ?

แต่ละคนหันกลับไปมองดูคนสี่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทางด้านนั้น รู้สึกได้รางๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าน่าจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง

เหลยจงคังที่ตอนนี้แย่งทำงานทุกๆ อย่างลุกขึ้นมา อู๋ซานเหลี่ยงลุกขึ้นตาม ทั้งสองไปหาหัวหน้าจุดพักม้าด้วยกัน ขอเพียงมีเงิน อะไรๆ ก็จัดการได้ง่าย ขอยืมครัวใช้งานเสียหน่อยจะนับเป็นอันใดได้

แต่ที่นี่ล้วนเป็นอาคารชั้นเดียว ห้องครัวค่อนข้างไกลจากที่นี่ แต่แน่นอนว่ามิได้ไกลเท่าใดนัก

หลังรออยู่พักหนึ่ง ทั้งสองก็กลับมา เหลยจงคังยกหมูตุ๋นน้ำแดงจานหนึ่งเข้ามา วางลงบนโต๊ะแล้วนั่งลง

ทางนี้เริ่มขยับตะเกียบ พวกเขาเองก็ไม่ได้ลิ้มรสชาตินี้มานานหลายวันแล้ว พอได้กินเข้าไป เนื้อต้มจิ้มน้ำจิ้มที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่ากลายเป็นขยะไปทันที

ผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นหอมบางอย่างลอยอบอวลไปทั่วห้องโถง

ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งพากันหันมามอง เด็กหนุ่มที่เป็นเด็กหญิงปลอมตัวเป็นชายผู้นั้นกะพริบดวงตาที่กลมโต จ้องมองมาทางด้านนี้ ราวกับกำลังมองดูว่าสิ่งที่พวกหนิวโหย่วเต้ากำลังคีบกินคำแล้วคำเล่าคืออะไร

หญิงวัยกลางคนนางนั้นมองดูท่าทีของเด็กหนุ่ม จึงลุกขึ้นมา เดินมาหยุดข้างโต๊ะของพวกหนิวโหย่วเต้า มองดูสิ่งที่อยู่ในจานเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปร้องสั่งพวกหัวหน้าจุดพักม้าที่กำลังมองมาทางนี้เพราะได้กลิ่นหอมเช่นเดียวกัน “หัวหน้าจุดพักม้า เอาแบบที่พวกเขากินมาให้พวกเราด้วยที่หนึ่ง”

พวกเฮยหมู่ตานมองหนิวโหย่วเต้า เห็นหนิวโหย่วเต้ายิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

หัวหน้าจุดพักม้ารีบเดินเข้ามา หลังได้เห็นสิ่งที่หญิงวัยกลางคนผู้นั้นชี้ก็รู้สึกจนปัญญาขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ท่านลูกค้า ต้องขออภัยจริงๆ ขอรับ จุดพักม้าของข้าทำไม่ได้ขอรับ”

สีหน้าของหญิงวัยกลางคนคร่ำเคร่งลงทันที กล่าวว่า “หมายความว่าอย่างไร? กลัวพวกเราไม่มีเงินจ่ายหรือไร?” กล่าวจบก็หยิบเหรียญทองเหรียญหนึ่งออกมา “ไปทำมาเดี๋ยวนี้”

หัวหน้าจุดพักม้าดูคล้ายหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอ่ยว่า “ท่านลูกค้า ทำไม่ได้จริงๆ ขอรับ ทางจุดพักม้าของเราทำอาหารนี้ไม่เป็น นี่เป็นอาหารที่พวกเขาปรุงขึ้นมาเองขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สาวท่านนี้ ท่านก็อย่าสร้างความลำบากใจให้เขาเลย อาหารที่พวกเรากินเป็นอาหารสูตรลับเฉพาะ ใต้หล้านี้มีคนที่เคยลิ้มรสแทบนับนิ้วได้ พวกเขาทำไม่ได้จริงๆ”

“…..” หญิงวัยกลางคนพูดไม่ออก หันกลับไปมองทางโต๊ะของตน

เมื่อได้ยินว่าเป็นอาหารที่ใต้หล้านี้มีเพียงไม่กี่คนที่เคยลิ้มรส เด็กหนุ่มคนนั้นก็อดใจไม่อยู่ ลุกขึ้นเดินเข้ามา คล้ายอยากเห็นว่าเป็นสิ่งใดกันแน่

ชายวัยกลางคนสองคนนั้นก็เดินตามหลังมา ด้วยอยากเห็นเช่นกันว่าคืออะไร

เด็กหนุ่มยืนอยู่ริมโต๊ะ มองดูด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ พบว่าสิ่งที่อยู่ในจานดูเหมือนจะเป็นเนื้อ แต่รูปลักษณ์เป็นแบบที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ จากนั้นดมกลิ่นที่หอมยั่วน้ำลายนั้น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ใสกระจ่างดั่งนกขมิ้นว่า “เจ้าสิ่งนี้อร่อยมากอย่างนั้นหรือ?”

มิใช่แค่ปลอมเป็นชายได้ห่วยแตกเท่านั้น แม้แต่เสียงก็มิได้มีการดัดเพื่อปกปิดอำพรางเลยแม้แต่นิดเดียว นี่มันเป็นเสียงของสตรีชัดๆ

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พูดยาก รสปากแต่ละคนต่างกันไป แต่ท่านลองชิมดูได้”

เด็กหนุ่มแสดงท่าทีรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง ร้อง “อี๋” ออกมายาวๆ จากนั้นเอ่ยว่า “เปื้อนน้ำลายพวกเจ้าแล้ว สกปรกจะตาย ข้าไม่ชิมหรอก!” แต่นางกลับพยักเพยิดหน้าส่งสัญญาณให้หญิงวัยกลางคนเล็กน้อย

หญิงวัยกลางคนจึงได้แต่ต้องกล่าวกับหนิวโหย่วเต้าอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “เช่นนั้น ให้ข้าชิมเป็นอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือให้คนข้างตัว พวกเฮยหมู่ตานลุกขึ้นหลบออกไปสองข้าง เปิดทางให้หญิงวัยกลางคน

หญิงวัยกลางคนมิได้ใช้ตะเกียบของทางนี้ หากแต่เดินกลับไปหยิบตะเกียบของตนที่อยู่บนโต๊ะทางด้านนั้นมา หลังกลับมาก็ลองคีบเนื้อที่ยังร้อนกรุ่นขึ้นมา ด้านข้างมีคนหยิบขวดกระเบื้องใบเล็กใบหนึ่งออกมา ใช้ปลายนิ้วแตะผงสีขาวโรยลงไปบนเนื้อเล็กน้อย หลังมั่นใจแล้วว่าไม่มีปัญหา หญิงวัยกลางคนถึงได้เอาเนื้อใส่ปากช้าๆ

หลังค่อยๆ เคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของหญิงวัยกลางคนพลันเปล่งประกาย

เด็กหนุ่มรีบถาม “อร่อยไหม?”

หลังจากกลืนลงไปแล้ว หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเอ่ยตอบว่า “คุณชาย เป็นรสชาติที่ยากพานพบได้โดยแท้เจ้าค่ะ”

คำเรียก ‘คุณชาย’ ทำให้พวกหนิวโหย่วเต้ารู้สึกหมดคำพูดเลยทีเดียว ขนแขนแทบจะลุกซู่ขึ้นมา ท่าทางอ้อนแอ้นเป็นสตรีเช่นนี้ ยังกล้าเรียกว่าคุณชายได้ คิดว่าคนอื่นเขาตาบอดกันจริงๆ หรือ?

เด็กหนุ่มที่ดูตุ้งติ้งคล้ายผู้หญิงพลันมีท่าทีสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง หันไปเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “ช่วยทำมาให้พวกเราอีกสักที่ได้หรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าผายมือเชื้อเชิญ “สองเท้าเดินไปบนเส้นทาง ผู้พบพานคือสหาย ในเมื่อได้พบกันก็แปลว่ามีวาสนา หากทุกท่านไม่รังเกียจล่ะก็ เชิญมาร่วมวงด้วยกันได้”

ชายหนุ่มตุ้งติ้งแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอีกครั้ง ร้อง “อี๋” ออกมายาวๆ พร้อมส่ายหน้า เอ่ยว่า “ไม่เอา เปื้อนน้ำลายพวกเจ้าแล้ว ช่วยทำมาให้พวกเราอีกที่เถอะ”

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมีสีหน้าจนปัญญา อีกคนหนึ่งลูบจมูกอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย ไหว้วานผู้อื่นด้วยวาจาเช่นนี้นั้นไม่ค่อยเหมาะเลยจริงๆ เผลอๆ อาจจะไปล่วงเกินผู้อื่นจนเกิดความขัดแย้งขึ้นมาได้ ทว่าทั้งสองก็คล้ายจะทำอันใดเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้เช่นกัน

หญิงวัยกลางคนแสดงสีหน้ารู้สึกผิดต่อคนทางนี้ คล้ายอยากจะบอกทางนี้ว่าอย่าได้ถือสาเลย

หนิวโหย่วเต้าสังเกตดูปฏิกิริยาของคนทั้งสี่ เดิมทีก็มีเจตนาจะลองหยั่งเชิงอยู่แล้ว จึงส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “คุณชายท่านนี้ ต้องขออภัยด้วย แต่พวกเรามิใช่คนงาน”

ชายหนุ่มตุ้งติ้งกล่าวว่า “ไม่ให้พวกเจ้าทำงานเปล่าๆ แน่ เดี๋ยวข้าจะให้เงินพวกเจ้า”

หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ “จะให้เงินหรือ เช่นนั้นก็พอคุยกันได้ แต่ราคามันค่อนข้างสูง เกรงว่าท่านคงจ่ายไม่ไหว”

พวกเฮยหมู่ตานเหลือบมองหนิวโหย่วเต้า ต่างร้องโอดครวญในใจ เอาอีกแล้ว!

หลังติดตามหนิวโหย่วเต้ามาระยะหนึ่ง ต่างก็พอจะทราบนิสัยของเขาบ้างแล้ว

ชายหนุ่มตุ้งติ้งเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง เอ่ยว่า “ว่ามา เท่าไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างเรียบเฉย “ไม่มาก แค่ล้านเหรียญทองเท่านั้น!”

คางที่เชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งของชายหนุ่มตุ้งติ้งลดต่ำลงทันที ดวงตาเบิกกว้าง เอ่ยถามด้วยความตกใจว่า “เท่าไรนะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หนึ่งล้านเหรียญทอง!”

พวกเฮยหมู่ตานลอบเหงื่อตก ราคานี้…คนกลุ่มนี้เพียงแค่มองดูก็รู้แล้วว่ามิใช่คนธรรมดา เต้าเหยี่ย ท่านแสดงท่าทีขูดรีดอีกฝ่ายอย่างซึ่งหน้าเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องเกิดปัญหาแน่

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ พวกเฮยหมู่ตานสังเกตเห็นว่าชายวัยกลางคนสองคนนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาของหญิงวัยกลางคนก็ค่อยๆ คร่ำเคร่งเย็นชาขึ้นด้วยเช่นกัน

ชายหนุ่มตุ้งติ้งอุทานออกมา “หนึ่งล้านเหรียญทอง เจ้าจะปล้นกันหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยกับเฮยหมู่ตาน “ตั๋วแลกทอง!”

เฮยหมู่ตานไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร มองเขาด้วยสายตาสอบถาม กำลังถามว่าจะเอาเท่าไร

หนิวโหย่วเต้างอนิ้วขึ้นมาบอกจำนวน เฮยหมู่ตานล้วงเอาตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมาจากบนร่างแล้วยื่นให้เขา เป็นจำนวนแปดแสนถ้วน ในใจหวาดวิตกขึ้นมาเล็กน้อย เปิดเผยทรัพย์สินเช่นนี้จะดีหรือ?

หนิวโหย่วเต้ารับตั๋วแลกทองมา โยนลงตรงหน้าสตรีวัยกลางคนที่ยืนอยู่ริมโต๊ะ เอ่ยไปว่า “ตัวข้าไม่ชอบมีปัญหาวุ่นวาย มากเรื่องมิสู้น้อยเรื่อง ขอซื้อความสงบสักครั้งได้หรือไม่? รับไว้ แล้วไปซะ อย่าได้มารบกวนการกินอาหารของพวกเรา”

ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามจ้องมองตั๋วแลกทองที่กระจายตัวอยู่บนโต๊ะปึกนั้น ในระยะเวลาเพียงชั่วขณะไม่อาจนับได้ว่ามีอยู่ทั้งหมดกี่ใบ แต่ทุกคนต่างเห็นว่าทุกใบล้วนเป็นตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญทองซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุด เมื่อมองดูคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยจะต้องมีมากกว่าหกสิบเจ็ดสิบใบ

บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมา จู่ๆ ชายหนุ่มตุ้งติ้งก็ก้าวออกมา หยิบตั๋วแลกทองขึ้นมาตรวจสอบ คล้ายไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่ใจป้ำถึงเพียงนี้อยู่ นึกสงสัยว่าจะเป็นของปลอม

ทว่าหลังจากตรวจสอบแล้ว ใบหน้านางพลันแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะคว้าเอาตั๋วแลกทองใบอื่นมาตรวจสอบอีก สุดท้ายก็ตบตั๋วแลกทองกลับไปบนโต๊ะ คล้ายค่อนข้างอับอายจนพาลโกรธ ราวกับถูกทำให้เสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง หันกลับไปตะโกนใส่คนของตนว่า “หนึ่งล้านก็หนึ่งล้าน เอาเงินให้เขาซะ วันนี้ข้าจะให้เขาทำให้ได้!”

หัวคิ้วของหนิวโหย่วเต้ากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างเฉยชา ค่อยๆ คีบเนื้อใส่ปากเคี้ยวกิน

เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของชายหนุ่มตุ้งติ้งผู้นั้น ชายวัยกลางคนทั้งสองและหญิงวัยกลางคนนางนั้นก็ทราบแล้วว่าตั๋วแลกทองพวกนี้เป็นของจริง!

ทั้งสามรีบเก็บสีหน้าที่เผยเจตนาร้ายที่เพิ่งแสดงไปเมื่อครู่นี้ มองหนิวโหย่วเต้าอย่างระแวดระวังเล็กน้อย คนที่ควักเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อความสงบโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมา นี่ทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อย กลัวว่าจะไปล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้า

หญิงวัยกลางคนดึงข้อมือของสาวน้อยไว้ กระซิบเกลี้ยกล่อม “คุณชาย พอแล้วเจ้าค่ะ”

………………………………………………………..