ตอนที่ 173 ให้ข้ามองเจ้าเป็นบุรุษดีหรือไม่

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 173 ให้ข้ามองเจ้าเป็นบุรุษดีหรือไม่?

“พออะไรกัน?” ชายหนุ่มตุ้งติ้งสะบัดแขน ยื่นมือออกมาอีกครั้ง “เอาตั๋วแลกทองมา!””

หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้ว ล้อเล่นอะไรอยู่ ต่อให้มีเงินเยอะแค่ไหนก็เอามาผลาญเล่นแบบนี้ไม่ได้ สุดท้ายสีหน้านางคร่ำเคร่งลง เอ่ยวาจาแฝงเจตนาตักเตือน “คุณชาย อย่าก่อเรื่องเจ้าค่ะ!”

“เจ้า…” ชายหนุ่มตุ้งติ้งโมโหแต่ยากจะแสดงออกมาได้ พลันหันหลังกลับ ยื่นมือไปทางชายวัยกลางคนทั้งสอง “เอาตั๋วแลกทองมาให้ข้า!”

คนหนึ่งนิ่งเงียบ อีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณชาย พวกเราไม่มีเงินติดตัวมากขนาดนั้นขอรับ”

“พวกเจ้า…” ชายหนุ่มตุ้งติ้งแยกเขี้ยว หันกลับมาสบตาเข้ากับแววตาที่คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มของหนิวโหย่วเต้า สำหรับนางแล้ว นั่นเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับกำลังบอกว่าไม่มีเงินแล้วยังวางท่าใหญ่โตเช่นนั้นทำไม?

และเมื่อหันกลับมองดูการกระทำของอีกฝ่ายอีกครั้ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็โยนตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมาเพียงเพื่อจะซื้อความสงบ เพียงเท่านี้ก็ตัดสินแพ้ชนะแล้ว

เมื่อลองนึกถึงคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้ขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มตุ้งติ้งพลันใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกว่าทำตัวเองขายหน้าเสียแล้ว ทั้งอับอายทั้งโกรธเกรี้ยว แต่ก็ทำอันใดผู้ติดตามทั้งสามคนไม่ได้

ชายหนุ่มตุ้งติ้งพลันตะโกนใส่หนิวโหย่วเต้า “บนตัวข้าไม่ได้พกเงินมากมายขนาดนั้น ติดไว้ก่อนได้ไหมล่ะ? วันหน้าจะใช้คืนให้เจ้าแน่!” คำพูดนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจเลย อีกฝ่ายกับเจ้าไม่ได้รู้จักกัน กระทั่งเจ้าเป็นใครก็ยังไม่รู้เลย จู่ๆ มาบอกว่าขอติดเงินมากขนาดนี้ มันมิน่าขันไปหน่อยหรือ?

ช่วยไม่ได้ พูดจาใหญ่โตไปแล้ว นึกอยากจะกลับลำก็ทำได้ค่อนข้างลำบาก ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ ตัวเองจะได้มีทางให้ลงได้

แต่ใครจะไปคิดว่าหนิวโหย่วเต้ากลับพยักหน้ารับ “นำเครื่องเขียนมาให้เขา เขียนสัญญาค้างชำระ!”

เหลยจงคังไปขออุปกรณ์เครื่องเขียนจากหัวหน้าจุดพักม้าทันที

หญิงวัยกลางคนนางนั้นจ้องมองหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าวเสียงขรึม “สหาย คุณชายของพวกเราอายุยังน้อยไม่รู้ความ…” คำพูดพลันหยุดชะงักไป อายุของอีกฝ่ายดูคล้ายจะไล่เลี่ยกับคุณชายของตน หากจะเอาคำว่า ‘อายุน้อย’ มาเป็นข้ออ้างก็คล้ายจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าใดนัก แต่ยังคงกล่าวต่อไปว่า “หากมีอันใดล่วงเกินไปก็ขออย่าได้ถือสา อะไรที่อภัยได้ก็โปรดให้อภัย อย่าได้ทำเกินไปเลย!”

นางทราบแก่ใจดี คุณชายของตนผู้นี้ทนการยั่วยุเช่นนี้ไม่ได้ คิดจะเขียนสัญญาค้างชำระจริงๆ จ้างหนึ่งล้านเหรียญทองเพื่ออาหารเพียงมื้อเดียวมันไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ ประเดี๋ยวกลับไปแล้ว ผู้ติดตามอย่างพวกนางที่ไม่ได้ทำหน้าที่คอยดูแลให้ดีคงยากจะแก้ตัวได้ ดูท่าทีของอีกฝ่ายแล้วไม่คล้ายเป็นคนที่กลัวว่าเจ้าจะหนีหนี้เลย

ชายหนุ่มตุ้งติ้งกลับตวาดใส่นาง “เจ้าว่าผู้ใดไม่รู้ความ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าบอกไปแล้ว พวกข้ามิใช่คนงาน เป็นคุณชายของพวกท่านผู้นี้ที่มาบีบบังคับคนอื่นตั้งแต่เริ่ม ใครผิดใครถูก ทุกคนล้วนทราบแก่ใจดี แต่ฟังจากวาจาท่านแล้ว ไยกลายเป็นข้าที่กำลังจงใจหาเรื่องไปได้เล่า? เอาเถอะ แล้วแต่พวกท่าน สรุปแล้วจะเอาอย่างไร พวกท่านไปตกลงกันมา ข้ารับได้ทั้งสิ้น!”

หญิงวัยกลางคนยื่นมือไปกดไหล่ชายหนุ่มตุ้งติ้งเอาไว้ ใช้พลังควบคุมนางไม่ให้นางขยับเขยื้อน นางจึงทำได้เพียงถลึงตาใส่ เพื่อที่นางจะได้ไม่ทำอะไรเหลวไหล จากนั้นเอ่ยถามหนิวโหย่วเต้า “ทุกคนต่างไร้ความบาดหมางต่อกัน ยุติลงตรงนี้เป็นอย่างไร?”

เหลยจงคังนำอุปกรณ์เครื่องเขียนมาแล้ว ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับโบกมือ สื่อว่าให้เก็บไป ไม่ต้องใช้แล้ว

เหลยจงคังพูดไม่ออก ทำได้เพียงเอาเครื่องเขียนกลับไปคืน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พี่สาวท่านนี้นับว่ายังพูดจามีเหตุผล ตัวข้าเองก็มิใช่คนไร้เหตุผลเช่นกัน ตกลง ให้เรื่องนี้จบลงเท่านี้! ข้ายังคงยืนยันคำเดิม สองเท้าเดินไปบนเส้นทาง ผู้พบพานคือสหาย ข้าเลี้ยงเอง!”

เขาพยักเพยิดหน้าไปทางตั๋วแลกทองที่อยู่บนโต๊ะปึกนั้น “อย่าได้เอาของเหล่านี้มาหยามน้ำใจคนอื่นเขา ไปเก็บกลับมา”

จากนั้นหันไปเอ่ยอีกว่า “ในเมื่อคุณชายท่านนี้รังเกียจว่าพวกเราสกปรก อย่างนั้นก็ไปทำมาให้คุณชายใหม่อีกจาน”

“เจ้าค่ะ!”

เฮยหมู่ตานเดินเข้ามาเก็บตั๋วแลกทองกองนั้นขึ้นมา เหลยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยงหันหลังเดินเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง

พอเห็นว่าเรื่องราวผ่านพ้นได้แล้ว หญิงวัยกลางคนจึงจ้องมองชายหนุ่มตุ้งติ้งที่ยังพยายามดิ้นรนพร้อมถลึงตาใส่ คล้ายกำลังกล่าวเตือนอย่างจริงจัง จากนั้นถึงได้ปล่อยชายหนุ่มตุ้งติ้งให้เป็นอิสระ ประสานมือแล้วเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณล่วงหน้า”

แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าชายหนุ่มตุ้งติ้งกลับกระทืบเท้าพร้อมโพล่งออกมาประโยคหนึ่งว่า “ถ้าพวกเจ้าอยากกินก็กินกันไปแล้วกัน ข้าไม่กินของห่วยๆ แบบนี้หรอก!” ว่าจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป โมโหฟึดฟัด คล้ายได้รับความคับข้องใจเป็นอย่างมาก

หญิงวัยกลางคนเหนื่อยใจ คนที่อยากกินคือเจ้า พอทางนี้ตอบตกลง เจ้ากลับไม่กินแล้วเสียอย่างนั้น? นี่เจ้าเล่นอะไรของเจ้า!

นางยิ้มเจื่อนขอโทษไปทางหนิวโหย่วเต้า แต่พอคนก่อเรื่องไม่อยู่แล้ว อะไรๆ ก็พูดกันง่ายขึ้นมาก “ไม่จำเป็นต้องลำบากทำมาอีกจานหรอก จานนี้ของพวกท่านก็เหมือนจะเพิ่งยกขึ้นโต๊ะมา หากไม่ถือสา เช่นนั้นขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่?”

“ได้!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ หันไปเอ่ยสั่ง “จัดโต๊ะหน่อย”

เฮยหมู่ตานและต้วนหู่รีบยกตะเกียบถ้วยชามของพวกเขาออกไป ทำความสะอาดเล็กน้อย แยกกันยืนซ้ายขวาอยู่ทางด้านหลังของหนิวโหย่วเต้า ยกที่นั่งให้อีกฝ่าย

หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญนั่ง “หมูตุ๋นน้ำแดง ลองชิมดู!”

หญิงวัยกลางคนเองก็ส่งสัญญาณให้ชายวัยกลางคนทั้งสองไปนำถ้วยและตะเกียบของตนมา ทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้ แต่กลับมิได้มีท่าทีหวาดระแวงเมื่ออย่างตอนแรกอีก เพราะเมื่อครู่ได้ทำการทดสอบไปแล้วว่าเนื้อนี้ไม่มีปัญหา ทั้งสามพากันยื่นตะเกียบออกไปคีบเนื้อมาลิ้มรส

“เป็นรสชาติที่หาได้ยากจริงๆ ด้วย” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยชม อีกคนหนึ่งก็พยักหน้าชื่นชมเช่นกัน

หนิวโหย่วเต้าก็กินเป็นเพื่อนด้วย

หลังจากชิมไปได้สองสามคำ หญิงวัยกลางคนก็เอ่ยถามขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่าอะไร เป็นคนที่ไหนหรือ?”

ที่เสนอตัวขอร่วมโต๊ะ ก็เพียงเพราะอยากสืบตื้นลึกหนาบางของทางนี้ดู

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หลี่ซื่อ ไร้หลักปักฐาน เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่ท่องเที่ยวไปทั่วเท่านั้น”

“ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างนั้นหรือ?” หญิงวัยกลางคนมองดูลูกน้องที่อยู่ด้านหลังเขา ก่อนจะนึกถึงตั๋วแลกทองที่เขาโยนออกมาก่อนหน้านี้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหลี่ดูไม่คล้ายผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักทั่วๆ ไปเลย!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยหยอกว่า “คุณชายของท่านผู้นั้นก็มิคล้ายบุรุษเช่นกัน”

หญิงวัยกลางคนถอนใจแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูถูกที่บ้านประคบประหงมจนเสียนิสัย ไม่เข้าใจโลกภายนอก ที่บ้านจึงให้นางออกมาเรียนรู้โลกกว้าง พวกเราเดินทางเป็นเพื่อน คุณหนูชอบก่อเรื่อง ไม่รู้ความ ขอคุณชายอย่าได้ถือสา”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็เพราะมองออกว่านางคือสตรี มิเช่นนั้นเกรงว่าวันนี้คงไม่จบลงง่ายๆ” ความหมายในวาจาคือข้าไม่ถือสาสตรี

หญิงวัยกลางคนยิ้มออกมา เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีสภาวะระดับใดแล้ว?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย ระดับสร้างฐานเท่านั้น ทั้งสามท่านเล่า?”

ทั้งสามคนสบตากัน ดูแล้วยังอ่อนเยาว์เป็นอย่างมาก แต่กลับบรรลุสภาวะระดับสร้างฐานแล้วอย่างนั้นหรือ? นี่ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดา

หญิงวัยกลางคนกล่าวว่า “ตอนที่พวกเราอายุเท่าคุณชาย ยังกระเสือกกระสนอยู่ในระดับหลอมปราณอยู่เลย ตอนนี้น่าจะถือว่าบรรลุระดับโอสถทองแล้ว”

ล้วนเป็นระดับโอสถทองอย่างนั้นหรือ? พวกเฮยหมู่ตานแอบรู้สึกตกใจ ไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นบุรุษคนนั้นเป็นใครมาจากไหน คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองคอยเที่ยวเป็นเพื่อนถึงสามคน

พวกเฮยหมู่ตานพบว่าเมื่อครู่นี้เต้าเหยี่ยเรียกได้ว่ากำลังเล่นกับไฟอยู่เสียแล้ว หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าอีกฝ่ายแค่คนเดียวก็คงจะจัดการพวกเขาทั้งหมดได้แล้ว

หนิวโหย่วเต้ากลับยังคงสงบนิ่ง ยิ้มเล็กน้อยพร้อมเอ่ยไปว่า “ล้วนเป็นยอดฝีมือ กลับเป็นผู้น้อยที่ทำตัวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำต่อหน้าทุกท่านไปเสียแล้ว”

หญิงวัยกลางคนกล่าวว่า “เพียงใช้ชีวิตมานานกว่าคุณชายเท่านั้น หากให้เวลาอีกสักหน่อย สภาวะของคุณชายต้องเหนือกว่าพวกเราอย่างแน่นอน”

“หวังว่าจะเป็นเช่นกัน!”

ผ่านไปสักพัก เหลยจงคังก็ยกเนื้ออีกจานกลับมา ทั้งสามที่เพิ่งเคยกินอาหารชนิดนี้เป็นครั้งแรกย่อมยังกินไม่เบื่อ

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันไป หญิงวัยกลางคนบอกว่าตนเองมีนามว่าเผยเหนียงจื่อ ส่วนชายวัยกลางคนทั้งสองคน คนหนึ่งมีนามว่าหลิวเฟิงไห่ อีกคนมีนามว่าไฉเฟย ส่วนชายหนุ่มตุ้งติ้งผู้นั้น อีกฝ่ายบอกเพียงว่าแซ่เฮ่า แล้วก็หยุดเพียงเท่านั้น ไม่ยินดีพูดอะไรมากไปกว่านี้

เพิ่งพบกันครั้งแรก หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่คิดจะถามซักไซ้อะไรขนาดนั้น อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากเช่นกัน

แรกพบหน้าเกิดเรื่องไม่พอใจขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั่งกินดื่มร่วมกันหนึ่งมื้อ ยามแยกย้ายทุกคนกลับมีความสุข

หลังจากกล่าวลากันเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไป

เมื่อเห็นพวกเผยเหนียงจื่อจากไปแล้ว พวกเฮยหมู่ตานก็มองไปทางหนิวโหย่วเต้าที่เดินออกไปอย่างสงบเยือกเย็น ครุ่นคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายปาเงินก่อนหน้านี้ รับรู้ได้ถึงความนัยที่ลึกซึ้งบางอย่างที่อยู่ในเรื่องนี้ เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างคนเราขึ้นมาอย่างถ่องแท้แล้ว

…..

ห้องพักของจุดพักม้าแห่งนี้แตกต่างไปจากห้องพักที่เคยเห็นๆ มา จุดที่แตกต่างกันมากที่สุดคือเตียงนอนล้วนเป็นเตียงเตา[1]ทั้งสิ้น ด้านล่างสุมไฟไว้ เวลานอนอยู่ด้านบนย่อมอบอุ่น

ภายในห้องพักที่มีราคาแพงขึ้นมาหน่อยยังมีอ่างน้ำสำหรับแช่น้ำด้วย ด้านล่างสามารถสุมไฟไว้ได้เช่นกัน สามารถรักษาอุณหภูมิน้ำให้อบอุ่นเอาไว้

ด้านนอกหนาวเหน็บเต็มไปด้วยหิมะ การได้แช่น้ำอุ่นอยู่ภายในห้องพักก็เป็นความสำราญอย่างหนึ่งเช่นกัน ด้านข้างยังคงวางสุราหนึ่งกาและกระบี่หนึ่งเล่มไว้เช่นเคย

เฮยหมู่ตานเคาะประตูเดินเข้ามา หนิวโหย่วเต้าที่แช่อยู่ในบ่อไม่ได้ว่าอะไรแล้ว แล้วก็คร้านจะซ่อนเร้นบดบังด้วย เดินทางมาด้วยกันจนเคยชินกับสตรีนางนี้ไปแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ชินคือมีเสียงแผ่วเบาบางอย่างดังมาจากด้านข้าง หนิวโหย่วเต้าหันไปมองดู เห็นเฮยหมู่ตานกำลังปลดสายรัดเอวเปลื้องผ้าอยู่ด้านข้าง เสื้อผ้าเลื่อนหลุดลงบนพื้นทีละชิ้นๆ แม้แต่ชุดชั้นในอย่างผ้าเอี๊ยมก็ถูกปลดออก เปลือยกายล่อนจ้อนต่อหน้าเขา

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความหวาดระแวง “เจ้าจะทำอะไร?”

เฮยหมู่ตานดึงปิ่นบนมวยผมออก เรือนผมยาวดั่งม่านน้ำตกสยายปรกบ่า เดินเยื้องย่าง เย้ายวน ยกเท้าก้าวลงมาในบ่อที่เขาแช่น้ำอยู่ นั่งลงตรงข้ามเขา ร่างที่มีผิวพรรณเหมือนดั่งข้าวสาลีแช่ลงไปในน้ำอุ่น หลับตาพรูลมหายใจออกมาด้วยความผ่อนคลาย จากนั้นก็ลืมตาขึ้น เอ่ยออกมาอย่างไม่เห็นด้วยว่า “น้ำตั้งบ่อนึงแช่คนเดียวมันสิ้นเปลืองเกินไป ถือโอกาสมอบอาหารตาให้ท่านด้วย ท่านได้กำไรนะ ท่านก็อย่าคิดมากล่ะเจ้าค่ะ”

สองขาที่คู้อยู่ค่อยๆ เหยียดออกในแนวราบ วางสอดไปกับขาของหนิวโหย่วเต้า

“ข้าคิดมากอย่างนั้นหรือ? เจ้ากำลังยั่วยวนข้าอยู่ชัดๆ!” หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ ยกจอกสุราจ่อปาก จ้องมองทรวงอกที่โผล่พ้นน้ำของนาง เอ่ยหยอกว่า “ให้ข้ามองเจ้าเป็นบุรุษดีหรือไม่?”

เฮยหมู่ตานกลอกตาใส่ทีหนึ่ง “ก็รู้อยู่แล้วว่าท่านน่ะผิดปกติ!”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ดื่มสุรารวดเดียวหมดจอก ถือจอกสุราเล่นในมือ สายตาที่จับจ้องร่างอรชรของเฮยหมู่ตานค่อยๆ เหม่อลอยไป

“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”

“นึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อนานแสนนานมาแล้ว…”

“ท่านกับถังอี๋เคยมีความสัมพันธ์ชายหญิงกันหรือไม่?”

“สตรีอย่างเจ้าจะเอาแต่สนใจเรื่องเช่นนี้ไปทำไม? ไม่มี”

“ไม่มี? ท่านไม่ได้ร่วมหอกันหรือเจ้าคะ?”

“แค่จัดฉากให้คนอื่นเห็นเท่านั้น”

“เช่นนั้นท่านเคยมีความสัมพันธ์ชายหญิงกับสตรีอื่นบ้างไหม?”

“ไม่สะดวกพูด”

“อะไรคือไม่สะดวกพูด มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี”

“เช่นนั้นก็นับว่ามีกระมัง เคยมีอะไรกับสตรีมากมาย มีทั้งคนที่ดำกว่าเจ้า แล้วก็มีคนที่ผมทองนัยน์ตาเขียว แตกต่างกันไป มากจนตัวข้าเองก็นับได้ไม่หมด”

“ชิ มากจนนับไม่หมดอย่างนั้นหรือ? ท่านคุยโวอยู่กระมัง คนหนุ่มอายุน้อยอย่างท่านจะไปมีอะไรกับผู้หญิงมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร? ไม่มีก็บอกว่าไม่มีสิ ไม่มีใครหัวเราะเยาะท่านเสียหน่อย กระทั่งผมทองนัยน์ตาเขียวก็ยังพูดออกมาได้ ไปมีอะไรกับปีศาจในความฝันมาหรือเจ้าคะ? ”

“บอกไปแล้วเจ้าก็ไม่เชื่อ ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ การที่เจ้าทำเช่นนี้ วันหน้าต่อให้มีปากข้าก็ช่วยแก้ตัวอะไรไม่ได้นะ”

“ไยต้องแก้ด้วยล่ะเจ้าคะ เต้าเหยี่ย ท่านดูไม่คล้ายคนที่จะสนใจเรื่องแบบนี้นี่เจ้าคะ”

“ตัวข้าจะอย่างไรก็ได้ แต่มันไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นระหว่างข้ากับเจ้าอยู่แล้ว เจ้าทำลายชื่อเสียงตัวเองแบบนี้ อนาคตไม่คิดจะแต่งงานอีกหรือไง?

“ไม่แต่งแล้วเจ้าค่ะ! เคยเจ็บช้ำแสนสาหัสมาครั้งหนึ่งแล้ว หากได้รับความเจ็บช้ำกล้ำกลืนอีกข้าคงยากจะทนรับไหว พอแต่งงานได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยา เวลาเจอความเจ็บช้ำไม่เป็นธรรมก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน หลายปีมานี้เจอเรื่องทุกข์ยากมามากมายนัก ไม่อยากเจ็บช้ำกล้ำกลืนเพราะเรื่องประเภทนี้อีกแล้ว เรื่องอื่นข้าอาจจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ แต่เรื่องที่จะแต่งหรือไม่แต่ง…จากความทุกข์ยากที่ประสบพบเจอมา ทำให้ข้าคิดได้ว่าในเมื่อนี่เป็นเรื่องเดียวที่ข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจได้เช่นนั้นเหตุใดไม่ใช้ชีวิตให้มีศักดิ์ศรีหน่อยล่ะ? พบเจอคนที่ชอบก็แสดงออกไปเลยว่าชอบ หากไม่ชอบก็เบือนหน้าหนีไม่แยแส ดีจะตายไป!”

“เหมือนจะเหตุผล”

ทั้งสองแช่อยู่ในน้ำ พูดคุยเรื่อยเปื่อยกันไป

………………………………………………….

[1]เป็นเตียงที่ก่อขึ้นด้วยอิฐและดินเหนียว ด้านหลังติดตั้งเตาไฟไว้ ความร้อนจากเตาไฟจะส่งผ่านมาที่เตียง ทำให้เตียงอบอุ่นอยู่ตลอด