บทที่ 185 จ้านเป่ยเซียวมีอคติกับข้า

พลิกชะตาหมอยา

“ท่านพ่อ เมื่อสักครู่ท่านได้ตกลงส่งน้องสาวสามเข้าหวังหลวงแล้วแท้ ๆ เหตุใดตอนนี้น้องสาวสามยังมิได้เข้าวังมาเลยท่านก็ได้กลับคำเสียแล้วล่ะ? แม้ว่าตัวข้าจะมิใช่หมอหลวง และมิใช่หมอ แต่สิ่งที่ท่านพูดออกมาก็ไม่ควรที่จะเก็บกลับไปเพราะสถานะของข้าหรอกกระมัง?” เฟิ่งชิงหัวยิ้มมองหนานกงจี๋

สายตาของหนานกงจี๋จ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยแววตาลึกล้ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่หวั่นเกรงเลย ทั้งสองฝ่ายจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นอยู่นานหลายปี หนานกงจี๋ได้เป็นผู้ยอมแพ้ก่อน

หนานกงจี๋กล่าวขึ้นมา: “พระชายาคิดมากไปแล้ว คำพูดที่กระหม่อมเคยพูดออกไปไม่มีทางที่จะคืนคำอย่างแน่นอน”

“ไม่ก็ดี ข้าเองก็คิดว่าใต้เท้าเฉิงเซี่ยงมิใช่คนเช่นนั้น”

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนไม่คัดค้าน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เอาไว้แค่นี้ก่อน เหยียนหรูชิง เจ้าพาคนไปค้นให้ทั่วเมืองหลวง ผู้ใดก็ตามที่มีรอยแดงเช่นนี้ขึ้นมาล้วนให้กักตัวเอาไว้ก่อน เมื่อพบผู้ใดน่าสงสัยให้จับตัวมาสอบปากคำอย่างเข้มงวดทันที” ฮ่องเต้เซวียนถ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ได้กล่าวเสียงเข้ม

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”

“นอกจากนี้ เรื่องนี้มอบให้พระชายาเจ็ดเป็นผู้ดำเนินการเหมือนเดิม นี่คือป้ายบัญชาการที่สามารถเรียกใช้ระดมกองกำลังทหารองครักษ์ในเมืองหลวงได้ ทหารของกองทหารม้าให้เจ้าเรียกให้ได้ตามความต้องการ จะต้องจับผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาดำเนินคดีให้ได้!”

เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว นี่นาง หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วเช่นนั้นหรือ?

เฟิ่งชิงหัวเตรียมที่จะปฏิเสธ ยื่นมือออกไปกุมหัวเข่าของตัวเองและกำลังจะกล่าว ก็ได้ยินฮ่องเต้เซวียนถ่งกล่าวขึ้นมา: “อ๋องเฉินเพิ่งจะหายป่วย ให้ช่วยทำคดีร่วมกับเจ้าเป็นการชั่วคราวไปก่อน”

“ร่วมช่วยทำคดี?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวซ้ำอีกครั้ง และมองไปยังจ้านเป่ยเซียวโดยสัญชาตญาณ

บุรุษหนุ่มมองดูนางแวบหนึ่ง แววตานั่น แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเคืองใจ

เฟิ่งชิ่งหัวอารมณ์ดีขึ้นมา เดิมทีคิดที่จะปฏิเสธนางก็พลันพยักหน้าทันที และรับเอาป้ายบัญชาการมา ยิ้มกล่าว: “เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย ลูกสะใภ้จะต้องพาท่านอ๋องสืบคดีอย่างตั้งใจอย่างแน่นอนเพคะ”

“อืม” ฮ่องเต้เซวียนถ่งโบกมืออย่างอ่อนแรง: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รีบเอาของพวกนั้นออกไปเถอะ ขุนนางคนอื่น ๆ เองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”

กล่าวไป ก็ได้ถูกข้าหลวงรีบพยุงออกไปจากห้องห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็ว

เฟิ่งชิงหัวก้มลงมองที่เท้า และเตรียมที่จะก้มลงไปเก็บ ก็ได้ถูกจ้านเป่ยเซียวดึงแขนเอาไว้

สายตาอันเยือกเย็นของชายหนุ่มจ้องมองไป๋จื่อหยาง

ไป๋จื่อหยางรู้งานเป็นอย่างยิ่ง ย่อตัวนั่งลงเละรีบเก็บของที่อยู่บนพื้นโยนเข้าไป เกิดเป็นเสียงเบียดทับขึ้นมาเบา ๆ

บรรดาข้าหลวงได้รีบคุกเข่าลงใช้ผ้าเช็ดพื้นออกโดยเร็ว ส่วนเฟิ่งชิงหัวนั้นได้ถูกจ้านเป่ยเซียวลากเข้าไปยังตำหนักรอง

“ล้างมือ” จ้านเป่ยเซียวชี้ไปยังอ่างทองแดงและกล่าวออกคำสั่ง

เฟิ่งชิงหัวมองดูมือที่ถอดถุงมือออกแล้วเรียบร้อย นิ้วมือเนียนขาว ไม่ได้เปื้อนสิ่งใดเลยสักนิด

จ้านเป่ยเซียวมองดูการเคลื่อนไหวของนาง ตำหนิเสียงเย็นชา: “ไม่สกปรกก็จะไม่ล้างหรือ? จับของสกปรกพวกนั้นมาเจ้าทานข้าวลงหรืออย่างไร?”

เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว พยักหน้า: “ทานลงสิ มีอะไรทานไม่ลงหรือ?”

ตอนที่นางทำงานอยู่ในหน่วยชันสูตรในตอนนั้น ต้องแข่งกับเวลา มีเวลาพักผ่อนเพียงแค่ไม่กี่นาที จะมีเวลาไปค่อย ๆ ล้างมือให้ตัวเองได้อย่างไร มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเมื่อก่อนหน้านี้เจ้ากำลังผ่าชันสูตรอวัยวะภายในอยู่ วินาทีต่อมากลับต้องถอดถุงมือทานข้าว

ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกขยะแขยง แต่เพราะได้เคยชินไปนานแล้ว

จ้านเป่ยเซียวมองดูนางด้วยใบหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ดึงมือของนางกดลงไปในอ่างน้ำ การเคลื่อนไหวรุนแรง ทว่าหลังจากนั้นกลับได้ล้างมือให้กับนางอย่างตั้งอกตั้งใจ ทีละนิ้วทีละนิ้ว แม้แต่ที่ง่ามนิ้วก็ยังไม่ปล่อยผ่าน ราวกับว่าเมื่อสักครู่มือของเฟิ่งชิงหัวพึ่งได้จับอุจจาระมาอย่างไรอย่างนั้น

แม้ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลเพียงใด แต่ทั้งล้างทั้งเช็ด แถมยังได้ล้างไปหลายสิบรอบ ทุกครั้งที่ล้างเสร็จก็จะยกขึ้นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็ทาสบู่ไปหนึ่งรอบและล้างต่อไป

มือเพียงข้างเดียว ล้างอยู่หนึ่งชั่วยาวเต็ม ๆ

“พอแล้ว ๆ หยุดล้างได้แล้ว หากล้างต่อไปมือของข้าคงต้องหนังลอกเป็นแน่ ท่านดูสิแดงหมดแล้ว” เฟิ่งชิงหัวกล่าวไปพลางสลัดหลุด ซ่อนมือเอาไว้ที่ด้านหลังและถลึงตาใส่จ้านเป่ยเซียวอย่างกับไม่ได้รับความเป็นธรรม

“ข้าดูหน่อย” จ้านเป่ยเซียวกล่าว

เฟิ่งชิงหัวถอยหลังไปสองก้าว ถึงตอนนี้ถึงได้ยื่นมือออกมาอย่างช้า ๆ บนฝ่ามือที่ขาวสะอาดปรากฏให้เห็นลายมืออย่างชัดเจน ปะปนไปด้วยสีแดงเปล่งปลั่ง

โฉมสะคราญยืนอย่างตรงนั้น ยกมือขึ้น และมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง ดูแล้วทั้งทื่อทึ่มทั้งน่ารัก ความไม่พอใจของจ้านเป่ยเซียวได้หายไปหลายส่วน น้ำเสียงกลับยังคงแข็งกระด้างเย็นชาดั่งเดิม: “ล้างอีกรอบ”

เฟิ่งชิงหัวเบ้ปาก: “ท่านล้างมาสิบรอบแล้วนะ”

“รอบสุดท้าย เจ้าจะมาล้างเองหรือให้ข้าไปจับเจ้า?” บุรุษหนุ่มเลิกคิ้วมองดูนาง

เฟิ่งชิงหัวมองดูการขู่เข็ญของบุรุษหนุ่มออก ถ้าหากนางเข้าไปเอง เช่นนั้นเพียงรอบเดี๋ยวก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ถ้าหากนางถูกบังคับไป ก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อบนเขียง

“ข้าล้างเอง” เฟิ่งชิงหัวมีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก

ข้าหลวงได้ยินเช่นนั้นก็ได้ไปเอาน้ำอ่างใหม่มารอไว้อย่างรู้งาน น้ำอ่างนี้แตกต่างไปเล็กน้อย คลับคล้ายคลับคลาว่ามีกลิ่นดอกเหมยอ่อน ๆ ลอยออกมาจากด้านใน

เฟิ่งชิงหัวดวงตาเป็นประกายขึ้นมา: “นี่คือน้ำหิมะจากภูเขาหิมะ? และยังได้เลือกที่อยู่บนดอกเหมย?”

“อืม” บุรุษหนุ่มตอบ

เฟิ่งชิงหัวกลืนน้ำลายเฮือก น้ำธรรมดาเพียงหนึ่งกาก็ได้สิ้นเปลืองกำลังเงินและกำลังคนไปมากมายเพื่อขนลงมาจากภูเขาหิมะแล้ว เพียงใช้ชงชายังถือว่าฟุ่มเฟือย ตอนนี้กลับจะใช้อ่างใหญ่เช่นนี้มาให้นางล้างมือ

จ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ที่ด้านข้าง เฟิ่งชิงหัวล้างมือถูไถอยู่ในน้ำ ทุกครั้งที่ลองจะเอามือออกมา บุรุษหนึ่งก็จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น: “แช่ไว้อีกสักพัก”

เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างน่าสงสาร: “จ้านเป่ยเซียว ท่านมีอคติกับข้า”

“ไม่มี”

“มีสิ! ท่านคิดว่าข้ามีกลิ่นคาวเลือดมากใช่หรือไม่?”

“ไม่เลย”

“ใช่แน่! ท่านรังเกียจข้าใช่หรือไม่?”

“ไม่มี!” จ้านเป่ยเซียวกัดฟัน

เฟิ่งชิงหัวเอียงคอมองเขา เบ้ปากกล่าว: “ตอนนั้นร่างกายของท่านเต็มไปด้วยเลือดข้าแบกท่านตลอดทางจนกระทั่งถึงถ้ำข้ายังไม่รังเกียจท่านเลย”

จ้านเป่ยเซียวขยับริมฝีปาก อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก

เฟิ่งชิงหัวไม่มองเขา จ้องมองมือของตนเองและกล่าวต่ออย่างน่าสงสาร: “ตอนนั้นท่าให้ข้าทำอาหารให้ท่าน ข้าเสี่ยงต่อการที่นิ้วของข้าจะหยาบกระด้าง ร่างกายเปื้อนไปด้วยน้ำมันและควันเพื่อทำอาหารให้ท่าน เฮ้อ ช่างเถอะ คนเราจะดีมากเกินไปไม่ได้จริง ๆ ด้วย”

กล่าวไป เฟิ่งชิงหัวก็หมุนตัวหนหลัง คิดที่จะถือโอกาสออกไปโดยที่จ้านเป่ยเซียวยังมิทันรู้ตัว

ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะแอบดีใจ นางช่างฉลาดจริง ๆ หากรู้แต่แรกก็คงใช้วิธีนี้ไปตั้งนานแล้ว

ใครจะไปรู้ว่า ก็ได้ยินเสียงเสื้อผ้าของจ้านเป่ยเซียวขยับเสียดสีกันเล็กน้อย ไหล่ถูกคนกดเอาไว้ จากนั้นก็ถูกจับให้หมุนตัวร้อยแปดสิบองศาหันมาเผชิญหน้ากับจ้านเป่ยเซียว ยังไม่รอให้นางได้สติกลับคืนมา มุมปากก็ถูกจูบเอาไว้แน่น

เฟิ่งชิงหัวถลึงตากลมโตขึ้นมาในฉับพลันทันที คำถามสามคำตามที่แทบจะเอาชีวิตปรากฏขึ้นมาในสมอง: ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ไหน ข้าถูกจูบได้อย่างไร?

ยังไม่ทันรอให้นางคิดจนได้คำตอบ จ้านเป่ยเซียวก็ได้ปล่อยมือจากนางเสียแล้ว แววตาของบุรุษหนุ่มเร่าร้อน กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม: “ตอนนี้เชื่อแล้วหรือยัง? ข้ามิได้รังเกียจเจ้า”

“หา?” เฟิ่งชิงหัวอ้าปากกว้างโดยสัญชาตญาณ

“ยังไม่เชื่ออีก?” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากบางเบา ๆ เหมือนว่าไม่เข้าใจนัก พบว่ากำลังจะก้มลงมาอีกครั้ง เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกมาปิดปากของตัวเองไว้โดยสัญชาตญาณ จูบของบุรุษหนุ่มจึงตกลงบนหลังมือของนาง

ผิวสัมผัสเย็น ๆ เหมือนดั่งเกล็ดหิมะเล็ก ๆ ค่อย ๆ ละลายลง บนหลังมือที่อบอุ่นของนาง

จ้านเป่ยเซียวยื่นมือออกไปจับมือของเฟิ่งชิงหัว จับยื่นเข้ามาที่ริมฝีปากของตนเอง และสัมผัสนิ้วมือทั้งห้าไปทีละนิ้ว

เฟิ่งชิงหัวถลึงตาโต มองการเคลื่อนไหวของเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก

ทั้งที่เขารังเกียจจนต้องให้นางล้างอยู่สิบกว่าครั้ง เหตุใดตอนนี้ถึงต้องสัมผัสนิ้วมือของนาง แถมยังใช้ริมฝีปาก เขาเกลียดความสกปรกมิใช่หรือ?

ดังนั้นที่เขาให้นางล้างไปหลายรอบเช่นนั้น ก็เพื่อทรมานนางสินะ ใช่ เป็นเช่นนี้แน่

เฟิ่งชิงหัวหดมือกลับไปไว้ที่ด้านหลังอีกครั้ง รู้สึกเพียงว่านิ้วมือปวดตุบ ๆ อยู่ไม่หยุดราวกับถูกประตูหนีบอย่างไรอย่างนั้น