บทที่ 186 กำหนดเป้า

พลิกชะตาหมอยา

“ท่าน ท่าน” เฟิ่งชิงหัวพูดท่านอยู่ครึ่งค่อนวันแต่ก็ยังเอ่ยถามออกมาได้ว่าเขาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร และเปลี่ยนไปพูดว่า: “นี่ก็สายมากแล้ว กลับกันเถอะ”

ยามวิกาลได้ย่างมาถึง หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวเดินออกมาจากประตูพระตำหนักก็พบว่าโคมไฟที่สองข้างทางได้สว่างขึ้นแล้ว และเรียงตามลำดับออกไปไกล ๆ

ข้าหลวงเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู และกล่าวเสียงเบา: “ท่านอ๋อง พระชายา ไทเฮาเหนียงเหนียงได้เชิญทั้งสองพระองค์ไปเสวยอาหาร ฝ่าบาทและฮองเฮาเหนียงเหนียงได้ทรงเสด็จไปแล้วเพคะ”

เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วมองไปยังจ้านเป่ยเซียว และกล่าวด้วยภาษาปาก: “งานเลี้ยงซ่อนแผนหรือ?”

จ้านเป่ยเซียวเดินออกมาจากประตู: “ไม่อยากทานก็กลับไปกัน”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น ก็เลิกคิ้ว ร้ายกาจขนาดนี้เชียว?

นึกถึงก่อนหน้านี้เมื่อวานไทเฮาได้ “เชิญ” นางเข้าวัง ในเมื่อวันนี้ได้มาแล้ว เช่นนั้นก็ลองไปดูหน่อยจะดีกว่า

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ กำลังหิวพอดีเลย ไม่ทราบเหมือนกันว่าเครื่องเสวยที่ตำหนักของไทเฮาเป็นเช่นไร ถ้าหากรสชาติไม่เลวก็ไปมาหาสู่บ่อย ๆ หากใช้ไม่ได้ เช่นนั้นหลังจากนี้ก็อย่างได้เรียกข้ามาทานร่วมกันเลย” เฟิ่งชิงหัวกล่าวไปและกล่าวต่อ: “ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังไม่เคยไปที่ตำหนักของไทเฮามาก่อนเลย พระองค์โปรดนำทาง?”

จ้านเป่ยเซียวยื่นมือออกไปจับมือของเฟิ่งชิงหัว: “อย่างได้กังวลใจไป มีข้าอยู่ ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้า”

เฟิ่งชิงหัวยิ้มออกมา: “ท่านอ๋อง บนใบหน้าของข้าไม่ได้เขียนเอาไว้ว่าอ่อนแอเสียหน่อย จะมีคนมารังแกข้าได้อย่างไรเล่า?”

จ้านเป่ยเซียวไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองคนเดินอ้อมไปในทันที เฟิ่งชิงหัวกล่าว: “ท่านอ๋อง ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากสวนบุปผาหลวงนักกระมัง?”

“อืม”

“เช่นนั้นพวกเราเดินอ้อมไปดูหน่อยเถอะ หม่อมฉันยังไม่เคยไปสวนบุปผาหลวงเลยสักครั้ง? ได้ยินว่าในสวนบุปผาหลวงมีดอกไม้หายากอยู่มากมาย นาน ๆ ทีมาครั้ง พวกเราไปดูกันเถอะ? เรื่องของซุนผินในเมื่อคราวก่อน หม่อมฉันไม่มีเวลาเลย”

จ้านเป่ยเซียวมิได้พูดอะไร แต่กลับได้พาเฟิ่งชิงหัวเดินตรงไปทางสวนบุปผาหลวงทันที

เพลานี้แสงสุริยาจากทางตะวันตกได้เหลือเพียงแสงสุดท้ายอันน้อยนิดแล้ว ทั่วทั้งสวนบุปผาหลวงได้อาศัยแสงจากไฟที่อยู่ทั้งสองข้างทางของทางเดินหินกระเบื้องเพื่อให้แสงสว่าง ให้บรรยากาศพิเศษไปอีกแบบ

ไม่นานนักข่าวที่ว่าทั้งสองคนได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่เที่ยวชมสวนบุปผาหลวงในยามพลบค่ำก็ได้ถูกข้าหลวงไปกราบทูลที่ตำหนักบรรทมของไทเฮา

ในสายตาที่แหลมคมของไทเฮาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ กระทืบไม้เท้าในมือ: “ชายาเจ็ดผู้นี้ ช่างกำเริบเสิบสานเสียจริง! ทำให้เจ้าเจ็ดหลงใหลเช่นนี้ ฮ่องเต้ จะให้นางเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”

ในเวลานี้ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้นั่งอยู่ที่ข้าง ๆ ไทเฮา เมื่อได้ยินที่ไทเฮาทรงตรัสก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังข้าหลวงที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง: “พวกเจ้าพูดชัดเจนแล้วหรือยังไทเฮากำลังรอทานข้าวกับพวกเขาอยู่? พวกเขากลับยังไปเดินชมสวนบุปผาหลวงอย่างสบายใจ?”

“กราบทูลฝ่าบาท จริงแท้แน่นอนเพคะ หม่อมฉันได้ยินพระชายาพูดเองว่ายังไม่เคยเดินชมสวนบุปผาหลวง จากนั้นท่านอ๋องก็พาพระชายาไปที่สวนบุปผาหลวง จากนั้นพระชายายังได้ข้ามรั้วเข้าไปเก็บดอกไม้สดอยู่ใน ส่วนท่านอ๋องได้รออยู่ที่ด้านข้าง มิได้เร่งเร้าใด ๆ เลย หม่อมฉันเกรงว่าไทเฮาฝ่าบาทและฮองเฮาจะทรงรอนาน ถึงได้รีบกลับมากราบทูลเพคะ” ข้าหลวงได้คุกเข่าอยู่บนเพื่อและกล่าวอธิบายเรื่องราวอย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาทฟังสิ ฟังดูสิ ทั้งสองคนนี้เห็นข้าอยู่ในสายตาเสียที่ไหนกัน ข้าว่า พวกเขาคงอยากจะให้ข้าหิวจนร่างกายไม่สบาย! เหมือนมารดาของเขาไม่มีผิด ไม่รักดีเอาเสียเลย!”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ยินฮองเฮากล่าวถึงภรรยาแสนรักที่ได้ลาโลกไป สีหน้าก็มิค่อยสู้ดีนัก แต่ความไม่พอใจนี้มิใช่ว่ากำหนดเป้าไปที่จ้านเป่ยเซียว แต่เป็นชายาเจ็ดหนานกงเยว่ลั่วผู้นั้น

“เสด็จแม่พูดถูก ทั้งสองคนนี้ทำเกินไปแล้วจริง ๆ แต่ว่าอาการป่วยของเจ้าเจ็ดเพิ่งจะหายดี เท้าทั้งสองพึ่งสามารถเดินได้ นิสัยดื้อรั้นไปหน่อยก็พอจะให้อภัยได้ ส่วนชายาเจ็ดผู้นั้น ลูกจะต้องให้เจ้าเจ็ดสั่งสอนนางให้ดีอย่างแน่นอน จะไม่เคารพผู้อาวุโสไม่แยกแยะสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้”