บทที่ 187 ปัญญาอ่อน

พลิกชะตาหมอยา

ฮองเฮาจะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่าฮองเต้คิดที่จะให้ท้ายจ้านเป่ยเซียวต่อไป แต่ว่านางสามารถพูดอะไรได้ ท่าทีที่เขามีต่อจ้านเป่ยเซียวนั้น มันสับสนมาโดยตลอด ราวกับว่ารักใครจนเกินเหตุ แต่ก็ไม่ยอมที่จะอบรมสั่งสอน

ทำอะไรจ้านเป่ยเซียวไม่ได้ยังพอว่า ไทเฮาจะยอมทนที่ตัวเองทำอะไรพระชายาเล็ก ๆ คนหนึ่งไม่ได้ได้อย่างไร

จึงต่อว่าขึ้นมาอย่างเย็นชา: “เจ้าเจ็ดนี่อย่างไรกันแน่? พระชายาที่ไม่อยู่ในทำนองคลองธรรมของสตรีคู่ควรให้เขารักใคร่ทะนุถนอมเช่นนี้หรือ เพื่อนางแล้ว ไม่อยากสนใจแม้กระทั่งเสด็จย่าอย่างข้า?”

“เสด็จแม่คิดมากไปแล้ว แม้ว่านิสัยของชายาเจ็ดจะไม่นับว่าเป็นกุลสตรี แต่คิดว่าก็คงไม่ทำเรื่องนอกลู่นอกทางอะไร ในนี้จะต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดแน่” ที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งมิได้ตรัสออกมาก็คือ ด้วยนิสัยที่ไม่ยอมทนต่อสิ่งที่ตัวเองรับไม่ได้ของพระโอรสของเขาคนนั้น จะยอมทนต่อสตรีที่หักหลังตนเอง? ยังแค่เพียงตีให้ขาหัก? ไม่ต้องพูดถึงว่าวันนี้เขาเห็นชายาเจ็ดร่างกายสมประกอบดีอยู่เลย สามารถมารถกระโดดโลดเต้นได้ แค่พูดถึงท่าทางทะนุถนอมของพระโอรสของเขา ไม่เหมือนกับว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นเลย เป็นไปได้มากว่าสิบสองพระโอรสผู้โง่เขลาของตนไปได้ยินอะไรมามั่ว ๆ

ฮองเฮาคอยหาช่องว่างอยู่ที่ด้านข้าง ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา: “ฝ่าบาท ขาของอ๋องเจ็ดหายดีแล้วจริง ๆ หรือเพคะ?”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งเหลือบตามองยางแวบหนึ่ง: “ข้าเห็นเองกับตา ยังจะมิใช่เรื่องจริงอีกหรือ?”

สีหน้าของฮองเฮาเหี่ยวแห้ง และยิ้มกล่าวอย่างเย้ยหยัน: “เช่นนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากจริง ๆ คงเป็นเพราะงานอภิเษกสมรสที่ฝ่าบาททรงพระราชทาน ได้ขับไล่ความโชคร้ายของอ๋องเจ็ดออกไป ถึงทำให้อาการป่วยของเขาหายดี”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งพยักหน้าช้า ๆ อย่างเย็นชา

ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงรายงานจากข้าหลวงที่อยู่ด้านนอก: “อ๋องสิบสองเสด็จ”

เมื่อได้ยินว่าองค์ชายสิบสองได้มาถึง ความแข็งทื่อบนใบหน้าของไทเฮาถึงได้ค่อย ๆ อ่อนโยนลงมามาก มีความปีติยินดีขึ้นมาเล็กน้อย: “เด็กดีของข้ามาแล้ว รีบเข้ามาเร็ว”

จ้านชิงอิงวิ่งเข้ามาโดยเร็ว หลังจากที่ทำความเคารพอย่างรีบร้อนก็ได้เริ่มมองไปยังรอบ ๆ จากนั้นก็เกาศีรษะกล่าว: “เสด็จย่า พี่เจ็ดเล่า พวกว่าจะเสวยอาหารร่วมกันมิใช่หรือ?”

ฮองเฮากล่าวต่อว่า: “พี่เจ็ดของเจ้า ตอนนี้มีพระชายาแล้วก็ลืมเสด็จพ่อเสด็จแม่ แล้วจะเห็นการเชื้อเชิญของเสด็จย่าของเจ้าอยู่ในสายตาได้อย่างไร”

จ้านชิงอิงได้ยินเช่นนั้น ก็งุนงง: “พี่เจ็ดตีจนนางพิการไปแล้วมิใช่หรือ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฮ่องเต้เซวียนถ่งกลับทำเสียงฮึดฮัดขึ้นมาอย่างเย็นชา: “เป็นถึงอ๋อง กลับไม่มีความสามารถในการแยกแยะความเท็จจริงเลยสักนิด ไม่รู้จริง ๆ ว่าหลายปีมานี้เจ้าไปร่ำเรียนอะไรมาจากบนเขา”

“หา? เป็นความเท็จ? เป็นไปไม่ได้กระมัง? ข้าได้ไปที่โรงสุราเพื่อฟังเรื่องนี้มาโดยเฉพาะเลยนะ บนหนังสือเขียนเอาไว้มิใช่หรือว่า หากต้องการรู้เรื่องราวที่ค่อนข้างจะเป็นความลับ จะไปถามเจ้าตัวเองอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ แต่เนื่องจากในโรงสุราโรงน้ำ จะมีคนที่รู้เรื่องมาเปิดเผยเรื่องราวบางส่วน? ข้าได้ยืนยันอยู่หลายรอบเชียวนะ นอกจากนี้แล้ว วันนั้นพี่เจ็ดมีท่าทางไม่พอใจมากจริง ๆ แถมยังไม่เห็นพระชายาเจ็ด นี่ยังมิใช่ความจริงอีกหรือ?”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองดูพระโอรสของตัวเองอย่างพูดไม่ออก ลูกชายที่โง่เขลาของเจ้าของที่ยังฉลาดกว่าเขาด้วยซ้ำ

ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้น ก็ได้ยินข้าหลวงรายงานอีกครั้ง: “ท่านอ๋องเจ็ด พระชายาเจ็ดเสด็จ”

จากนั้นจ้านชิงอิงก็ได้หันหน้าไปทางประตู และพบกับจ้านเป่ยเซียวที่กำลังเดินเข้ามาพอดี และถลึงตากลมโตขึ้นโดยสัญชาตญาณ

“พี่เจ็ด! ข้าของท่านหายดีแล้ว!” จ้านชิงอิงวิ่งไปที่ข้างกายของจ้านเป่ยเซียว และเดินอ้อมเขาอยู่รอบหนึ่ง: “พี่เจ็ด เร็วเข้า ท่านรีบกระโดดให้ข้าดูสักสองครั้งเร็ว”

จ้านเป่ยเซียวพยายามห้ามมิให้ตนเองเหลือบตามองบน กล่าวอย่างเย็นชา: “ปัญญาอ่อน!”

“พี่เจ็ด ท่านกำลังเล่นมายากลอยู่หรือ เมื่อก่อนยืนไม่ได้อยู่แท้ ๆ เหตุใดจู่ ๆ ถึงยืนได้แล้วล่ะ? ก่อนหน้าหนี้ท่านคงจะมิได้แกล้งทำหรอกนะ?” จ้านชิงอิงกล่าวด้วยความตื่นเต้น

แต่ถึงต่อให้เขาจะปากพูดไปเรื่อยแต่ใจไม่ได้คิดอะไรหรือไม่ แต่ก็ได้พูดความในใจของคนที่อยู่ตรงนั้นออกมา

ไทเฮาและฮองเฮาต่างก็คิดเช่นนี้ คิดว่าเมื่อก่อนจ้านเป่ยเซียวนั้นได้แกล้งทำเป็นพิการบาดเจ็บ ด้านหนึ่งทำให้คนอื่นชะล่าใจ อีกด้านหนึ่งคือเพื่อเรียกร้องความสงสารจากฮ่องเต้เซวียนถ่ง

สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมจู่ ๆ ก็หายดี นั่นก็เพราะว่าเขากำลังจะมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง ดังนั้นจึงต่างได้พากันมองเขาอย่างระมัดระวัง

“ท่านช่างพูดอะไรที่แปลกประหลาดจริง ๆ แกล้งเป็นอะไรไม่แกล้งกลับแกล้งทำเป็นร่างกายพิการ ท่านลองแกล้งเอาแต่นั่งอยู่บนรถเข็นเป็นเวลาหลายวันให้ข้าดูหน่อยสิ” เสียงสดใสไพเราะได้ดังขึ้นมาจากด้านข้างของจ้านเป่ยเซียว

เมื่อสักครู่จ้านชิงอิงยุ่งอยู่กับการมองพิจารณาดูขาของจ้านเป่ยเซียว สายตาไม่ได้มองขึ้นมาด้านบนเลยสักนิด เมื่อได้ยินคำพูดนี้ถึงได้เลื่อนสายตาไปมองสตรีที่อยู่ข้าง ๆ

เมื่อเห็นหญิงสาวได้สวมอยู่ในชุดชาววังที่สะดุดตา หน้าตานับได้ว่าสวยงามเท่านั้น แต่กลับมีดวงตาที่สุกใสเป็นพิเศษคู่หนึ่ง มองดูเช่นนี้ สามารถมองเข้าไปยังหัวใจของผู้คนได้

จ้านชิงอิงรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ดูคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด กลับคิดไม่ออกไปชั่วขณะว่าเคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ: “ไม่ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”

“โตขนาดนนี้แล้ว ก่อนที่จะพูดอะไรออกมาให้ครุ่นคิดก่อนจะได้ไหม คำพูดนี้ของท่านหมายความว่าท่านอ๋องของข้าจงใจหลอกลวงฝ่าบาทฮองเฮาไทเฮาเช่นนั้นหรือ? นั่นมันโทษหลวงลวงพระราชาเชียวนะ ท่านอ๋องของข้ามิอาจทนรับได้หรอก” เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองบน แอบกล่าวอยู่ภายในใจ

ที่บอกว่าเขาโง่เขลาเบาปัญญาแต่ไม่ใช่แกล้งทำเป็นไร้เดียงสานั่นเป็นเพราะว่าเขาเดินรอบจ้านเป่ยเซียวอยู่อย่างนั้นแต่กลับไม่ถูกซัดลอยออกไป น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจ้านเป่ยเซียว พูดเช่นนี้ มีความเป็นไปได้เกินกว่าครึ่งว่าไม่ได้ตั้งใจ

จ้านชิงอิงกล่าวอย่างน้อยใจ: “ข้า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริง ๆ ข้าเพียงแค่ดีใจมากไปเท่านั้น ข้าไม่อยากให้พี่เจ็ดป่วยไปตลอด เมื่อก่อนเขาเทพมากเลยล่ะ ข้า ข้า พี่เจ็ด พูดผิดไปแล้ว ท่านตีข้าเถอะ”

กล่าวไป ก็ลืมตากวางของเขามองจ้านเป่ยเซียวอย่างน่าสงสาร