ตอนที่ 192 เจ้าสามจอมหลอกลวง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 192 เจ้าสามจอมหลอกลวง

ตอนที่ 192 เจ้าสามจอมหลอกลวง

เมื่อเห็นโจวอี้เข้ามา เจียงอวี่เฟยก็รีบเปลี่ยนท่านั่งให้มองแล้วดูสวยที่สุดในสายตาเขาทันที

“โจวอี้ ทางนี้” หลินเซี่ยโบกมือให้เขา

โจวอี้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ หน้าตายังคงหล่อเหลาแต่เย็นชาเช่นเคย เขาเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ต ก่อนจะเดินมาทางนี้

เจียงอวี่เฟยรีบดึงเก้าอี้ออกมาให้เขาแล้วพูดว่า “นั่งลงเร็วเข้า”

“ขอบคุณ” โจวอี้นั่งลงข้างเจียงอวี่เฟย

หลังจากนั่งลงแล้ว โจวอี้ก็มองไปที่หลินเซี่ยและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย “ยินดีด้วย”

ตอนนี้หลินเซี่ยรู้แล้วว่าโจวอี้เป็นคนเดียวกับเฉินเจียวั่ง เธอได้แต่มองหน้าเขานิ่ง ๆ รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก

เด็กหน้าซื่อใจคดคนนี้ จนถึงตอนนี้แล้วยังมีหน้ามาปลอมตัวเสแสร้งกับเธออีก

เมื่อเผชิญหน้ากับน้องสามีหน้าตาย เธอมองเขาด้วยรอยยิ้มสงบ “สหายเก่า นายแสดงความยินดีกับฉันเรื่องการจดทะเบียนสมรส หรือแสดงความยินดีที่เปิดร้านตัดผมอย่างเป็นทางการกันแน่?”

โจวอี้มีสีหน้าเย็นชา “ยินดีกับทุกเรื่องนั่นแหละ”

“มาเถอะ สั่งอาหารกันก่อน”

เจียงอวี่เฟยรีบส่งเมนูให้โจวอี้ด้วยท่าทางใส่ใจเป็นพิเศษ “โจวอี้ สั่งอะไรหน่อยสิ”

“พวกเธอสั่งกันก่อนเลย”

หลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยหยิบเมนูขึ้นมาดู ปรึกษากันว่าจะกินอะไรดี เถียงกันอยู่นานกว่าจะสั่งอาหารได้

โจวอี้มองไปที่หลินเซี่ย ถามอย่างสบาย ๆ ว่า “หลังจากแต่งงานแล้วยังว่างอยู่เหรอ? นึกว่าจะกลับบ้านไปทำกับข้าวซะอีก”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หลินเซี่ยอาจไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับคำถามของเขา แต่ตอนนี้เธอรู้ว่าทุกคำที่โจวอี้พูดเต็มไปด้วยการหยั่งเชิง

เธอยิ้มและตอบกลับว่า “ไม่จำเป็นเสมอไป สามีฉันไปรับลูกจากโรงเรียนได้ จากนั้นก็กลับบ้านไปทำอาหารให้เขา ตามด้วยสอนการบ้าน ไม่ต้องกังวลสวัสดิภาพของพวกเขาเลย แล้วเขาก็ให้พื้นที่ส่วนตัวแก่ฉันอย่างเพียงพอด้วย”

เจียงอวี่เฟยเห็นด้วย “จริงที่สุด อย่าปล่อยให้สองพ่อลูกพรากชีวิตส่วนตัวของเธอไปเด็ดขาด เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเธอ พ่อเขาควรเป็นคนรับผิดชอบหลัก ๆ”

เจียงอวี่เฟยถามต่อไปอย่างสงสัย “จริงสิ เธอเคยถามเฉินเจียเหอไหม? ว่าเขากับแม่ของหู่จือหย่าร้างกันเพราะอะไร? แล้วแม่ของหู่จือยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? ระวังผู้หญิงคนนั้นอยากรื้อฟื้นความหลังแล้วบุกไปขโมยลูกชายตัวเองคืนล่ะ”

“ที่จริงต่อให้หล่อนจะมาปล้นลูกชายคืนก็ไม่สำคัญหรอก ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือหล่อนอาจมาแย่งเฉินเจียเหอน่ะสิ เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เคยมีลูกชายด้วยกัน บางทีพวกเขาอาจจะยังหลงเหลือความรู้สึกดี ๆ ต่อกันก็ได้”

เจียงอวี่เฟยไม่รู้ประสบการณ์ชีวิตของหูจือ เธอรู้แค่ว่าเฉินเจียเหอเป็นพ่อม่ายลูกติดคนหนึ่งก็เท่านั้น

โจวอี้ซึ่งนิ่งเงียบมาจนถึงตอนนี้ พอได้ยินคำพูดที่ชวนให้หวาดระแวงของเจียงอวี่เฟย ก็โพล่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่า “ไม่มีทาง”

“รู้ได้ยังไงว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น? ใจคนเราซับซ้อนจะตาย”

หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “โจวอี้พูดถูก ไม่มีทางเกิดเรื่องนั้นขึ้นแน่นอน ฉันเชื่อมั่นในตัวเฉินเจียเหอ”

โจวอี้ดื่มน้ำ มองดูหลินเซี่ย จากนั้นก็ถามอย่างสบาย ๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “เธอบอกว่าจะแนะนำฉันให้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่นัดเขามาที่นี่พร้อมกันเลยล่ะ?”

หลินเซี่ย “!!!”

เจ้าสามจอมหลอกลวงนี่ ยังกล้าหยิบยกเรื่องนี้มาเยาะเย้ยฉันอีกเหรอ?

เฉินเจียวั่งก็คือตัวเขาเอง แล้วจะให้เธอนัดหมายมาอย่างไรดีล่ะ?

พวกเขาไม่มีทางแยกร่างมาเจอกันได้อยู่แล้ว

แต่การที่เขาริเริ่มหยิบยกเรื่องนี้มาพูด บางทีเขาอาจจะกำลังทดสอบเธออยู่

ดูว่าเธอรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วหรือยัง

“อ้อ นายกำลังพูดถึงน้องสามีของฉันใช่ไหม?” หลินเซี่ยถอนหายใจ ทำสีหน้าไม่พอใจ “เด็กคนนั้นไม่มีมารยาทเอาซะเลย แถมยังทำตัวหยิ่งมาก ฉันเป็นพี่สะใภ้ของเขามาตั้งนาน แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาเลยสักครั้ง ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปพบเจอเมื่อวานนี้ ว่าจะลองคุยกับเขาให้ยอมออกมาเจอเพื่อนใหม่ จะได้แลกเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่าง ใครจะรู้ ฉันได้ยินว่าจนดึกดื่นเด็กคนนั้นก็ไม่ยอมกลับบ้าน ได้ยินว่าเขามีนัดกินข้าวมื้อเย็นกับเพื่อนร่วมชั้นหญิงหรือยังไงนี่แหละ ฉันเลยไม่มีโอกาสเล่าเรื่องนายให้เขาฟัง”

หลินเซี่ยโบกมือด้วยความรังเกียจ “ช่างเถอะ ถ้าเขาริเริ่มคบหาเพื่อนร่วมชั้น งั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บางทีฉันอาจจะกังวลเกินไปหน่อย ไว้มีโอกาสฉันจะแนะนำให้พวกนายรู้จักกันอีกครั้ง”

“อะไร? จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่ได้เจอหน้าน้องสามีตัวเองอีกเหรอ?” เจียงอวี่เฟยถามด้วยความประหลาดใจ

หลินเซี่ยยิ้มและพยักหน้า “ใช่ ฉันยังไม่เคยเห็นหลานชายคนที่สามของตระกูลเฉินเลย”

“โอ้” เจียงอวี่เฟยเข้าข้างหลินเซี่ยทันที “น้องชายเฉินเจียเหอคนนี้ชักจะหยาบคายเกินไปแล้ว เธออยู่กินกับพี่ชายเขามาตั้งนาน กลับเอาแต่หลีกเลี่ยงไม่ยอมเจอหน้าพี่สะใภ้ซะที ทำไมถึงได้ทำตัวหยิ่งขนาดนี้กันนะ? ดูเหมือนเขากับเฉินเจียซิ่งนิสัยแย่ไม่ต่างกันเลย สมควรถูกสั่งสอนสักหน่อย”

โจวอี้ทำหน้าเศร้าหมองทันที กระดกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อซ่อนความลำบากใจ

“ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีกว่าเฉินเจียซิ่ง” หลินเซี่ยเข้ามาช่วยเฉินเจียวั่งแก้ตัวได้ทันเวลา “เขาฝากแม่สามีมอบเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งเป็นของขวัญให้ฉัน พอจะมีความรอบคอบอยู่บ้าง”

“โอ้ ถือเป็นของขวัญที่ดีเลย ฉันรู้ว่าเธออยากรวยจะแย่”

หลังจากอาหารทั้งหมดถูกยกมาเสิร์ฟแล้ว สองสาวก็หยุดพูดคุยกัน

“มา กินข้าวกันเถอะ”

เจียงอวี่เฟยยื่นตะเกียบให้โจวอี้อย่างระมัดระวัง

หลังจากกินไปสองคำ หล่อนก็วางตะเกียบลงแล้วเริ่มพูดอีกครั้ง

“ฉันต้องไปที่สถานีโทรทัศน์เพื่อร่วมออดิชั่นรอบแรกในวันมะรืนนี้ โจวอี้ นายกับหลินเซี่ยช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม?”

โจวอี้เหลือบมองหล่อนแล้วถามกลับเบา ๆ “ฉันเหรอ? ฉันจะช่วยอะไรได้?”

“ช่วยให้กำลังใจก็พอแล้ว”

เจียงอวี่เฟยมองเขา จากนั้นก็พูดอย่างระมัดระวัง “อย่างที่นายพูดเมื่อวานนี้ไงล่ะ อย่างน้อยนายก็ไม่มีความคิดในเชิงลบเกี่ยวกับการประกวดประเภทนี้ ฉะนั้นนายถือเป็นผู้สนับสนุนที่ดีคนหนึ่ง นายช่วยมากับพวกเราได้ไหม?”

“ฉัน…”

หลินเซี่ยมองเขาแล้วร่วมเชิญชวน “โจวอี้ นายไปกับพวกเราเถอะ ที่นั่นมีสาวๆ สวย ๆ เยอะแยะมากมายเลยนะ คิดซะว่าไปกินอาหารตานับไม่ถ้วน”

โจวอี้มองไปยังหญิงสาวพูดอย่างไม่กระดากปาก ก่อนจะหรี่ตามองหน้าเธอ มุมปากกระตุกเล็กน้อย

“เอาน่า จะเอาแต่เล่าเรียนอยู่แต่ในวิทยาลัยไปตลอดได้ยังไง? ออกไปดูโลกกว้างซะบ้าง”

เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาที่เปี่ยมความคาดหวังทั้งสองคู่ เขาทำได้เพียงประนีประนอม “ฉันจะจัดสรรเวลาว่างให้”

“ขอบคุณนะ”

“วันนี้เธอจะกลับไปที่บ้านตระกูลเฉินไหม?” เจียงอวี่เฟยถามขณะคุยกับเธอ

โจวอี้หยุดฟังเล็กน้อยระหว่างกินข้าว จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองหลินเซี่ย

หลินเซี่ยสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของโจวอี้ จึงส่ายหัวอย่างจริงจัง “ไม่กลับ มันไกลเกินไป หลังกินข้าวเสร็จก็จะกลับบ้านในเขตโรงงานเลย”

“โอ้”

เจียงอวี่เฟยถามต่ออย่างอดไม่ได้ “เสิ่นเสี่ยวเหมยยังอยู่ในบ้านตระกูลเสิ่นเหรอ? เมื่อวานนี้ฉันกลับบ้าน เจอป้า ๆ ทั้งหลายนินทากันกลางลานกว้าง ได้ยินพวกหล่อนพูดว่าบางทีเสิ่นเสี่ยวเหมยอาจจะหย่ากับสามีของหล่อนในไม่ช้านี้ เรื่องนี้เป็นความจริงไหม?”

“ทำไมป้า ๆ ในโรงงานเธอถึงได้รู้ไปซะทุกอย่างเลยล่ะ?” หลินเซี่ยรู้สึกทึ่งจริง ๆ เมื่อรู้ว่าบรรดามนุษย์ป้าในโรงงานเครื่องจักรมีข้อมูลส่วนตัวของทุกคน และแพร่ข่าวเป็นวิทยุกระจายเสียง

เจียงอวี่เฟยตอบว่า “พวกเธออาจจะไปได้ยินเรื่องนี้มาจากใครบางคน หรือมีหลายช่องทางในการรับข้อมูลก็ได้”

“แล้วช่วงนี้พวกหล่อนนินทาเรื่องของเสิ่นอวี้อิ๋งบ้างไหม?” หลินเซี่ยถาม

เจียงอวี่เฟยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัว “เหมือนช่วงนี้จะไม่ได้ยินแล้วนะ ครั้งที่แล้วหลังจากพ่อฉันเผลอหลุดปากบอกที่ตั้งโรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่งกับพ่อหนุ่มชนบทคนนั้นไป จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องแล้ว เหมือนเสิ่นอวี้อิ๋งจะพักอยู่ในโรงเรียนประจำมั้ง”

“โอ้”

สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสิ่นอวี้อิ๋ง หลินเซี่ยไม่ได้คิดจะเป็นฝ่ายริเริ่มยั่วยุ หรือดำเนินการแก้แค้นอะไรลับหลังหล่อนเลย

เธอแทบไม่ต้องทำอะไร แค่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามยถากรรมเหมือนกับชาติที่แล้ว

จากการคำนวณเวลา เสิ่นอวี้อิ๋งในชาติก่อนน่าจะพลาดท้องตอนที่กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมปลาย จากนั้นก็หายตัวไปจากไห่เฉิงโดยอ้างว่าไปพักฟื้นร่างกาย

ก่อนจะกลับมาในอีกหนึ่งปีให้หลัง

ตอนนี้เธอได้แต่หวังว่าชาตินี้เหตุการณ์จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และเสิ่นอวี้อิ๋งยังคงให้กำเนิดเด็กปีศาจคนนั้นได้ตามเดิม

ปล่อยให้เด็กนั่นเกิดมาดีกว่า

ชาติที่แล้ว นังเด็กปีศาจนั่นเป็นคนดึงเครื่องช่วยหายใจของเธอออก

ชาตินี้ เธอกลับตั้งตาคอยวันที่จะได้เห็นเด็กปีศาจคนนั้นอีกครั้ง ไม่ใช่อยากรับเลี้ยง แต่ตั้งใจจะใช้เด็กปีศาจเป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายชื่อเสียงของเสิ่นอวี้อิ๋ง

เจียงอวี่เฟยคำนึงถึงหลินเซี่ยอย่างจริงใจ “คงจะดีมากถ้าเสิ่นเสี่ยวเหมยหย่ากับเฉินเจียซิ่งจริง ๆ จากนี้เธอจะได้อยู่ในบ้านตระกูลเฉินอย่างสงบสุขซะที”

“พวกเขาจะหย่าหรือไม่หย่ากันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ไม่หย่าก็ดีเหมือนกัน อีกหน่อยเจอหน้ากันพวกเขาจะได้ฝืนจีบปากจีบคอเรียกฉันว่าพี่สะใภ้”

เจียงอวี่เฟยกลอกตาใส่ “ฝันไปเถอะ เสิ่นเสี่ยวเหมยเคยเป็นน้าเธอมาก่อนนะ ลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนหน้านี้หล่อนกลั่นแกล้งเธอสารพัดสารพันยังไงบ้าง? จะยอมปริปากเรียกเธอว่าพี่สะใภ้เชียวเหรอ?”

หลินเซี่ยยิ้มเยาะอย่างภาคภูมิใจ “วาดฝันไว้ก็ไม่เสียหาย อะไร ๆ ก็เป็นไปได้ ขนาดเฉินเจียซิ่งยังยอมเรียกฉันว่าพี่สะใภ้แล้ว แถมเมื่อวานนี้เขายังขอให้ฉันช่วยตัดผมให้อีกด้วย”

โจวอี้ที่กำลังก้มหน้ากินข้าวอยู่ ดูประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย

เรียกเธอว่าพี่สะใภ้งั้นเหรอ?

เจียงอวี่เฟยถามอย่างสงสัย “เธอไปทำอิท่าไหนเขาถึงยอมล่ะ?”

หล่อนเคยเจอเฉินเจียซิ่ง เขาเปรียบเสมือนสุนัขรับใช้ชั้นดีของเสิ่นเสี่ยวเหมย ไม่ว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยจะว่าอะไรเขาก็ว่าตาม

โจวอี้ก็มองหน้าเธออย่างรอคำตอบเช่นกัน

“ต้องขอบคุณอำนาจบารมีของคุณปู่”

โจวอี้ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้ากินข้าวต่อไป

หลินเซี่ยเหลือบมองชายที่กำลังกินข้าวอย่างจดจ่อและทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จากนั้นก็ยิ้มให้เจียงอวี่เฟยแล้วพูดว่า “ฉันได้ยินหู่จือเล่าให้ฟังว่าอาสามของเขาก็หล่อมากเหมือนกัน รอให้ฉันได้เจอเขาเมื่อไหร่ ฉันจะแนะนำให้เขารู้จักกับเธอนะ”

“แค่ก แค่ก…”

โจวอี้เกือบสำลักตายทันทีที่เขาจิบซุป

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

โจวอี้จะปิดบังไปได้อีกนานแค่ไหนนะ หลินเซี่ยเริ่มปิดประตูล้อมแล้ว

อยากรู้เรื่องอะไรถามป้าข้างบ้านได้เลยค่ะ ข่าววงในสุดแล้ว รู้ทุกเรื่องทุกประเด็นจนงงว่าไปรู้มาจากไหน

ไหหม่า(海馬)