ตอนที่ 193 พี่สะใภ้จอมหักหลัง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 193 พี่สะใภ้จอมหักหลัง

ตอนที่ 193 พี่สะใภ้จอมหักหลัง

“พูดเรื่องอะไรของเธอน่ะ?” เจียงอวี่เฟยคิดไปเองว่าโจวอี้มีปฏิกิริยาตอบโต้ทันควันแบบนั้นก็เพราะเขาไม่อยากให้หลินเซี่ยแนะนำหนุ่มคนอื่นให้หล่อน ทันใดนั้นหัวใจก็พลันอิ่มเอม ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้โจวอี้อย่างรวดเร็ว “เช็ดปากหน่อย”

หล่อนจ้องมองหลินเซี่ยอย่างขุ่นเคือง แค่นเสียงลอดไรฟันและเตือนเธอว่า “หยุดยุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันเลย ฉันไม่อยากให้เธอช่วยเป็นแม่สื่อหรอกนะ”

หลังจากพูดอย่างนั้น หล่อนก็แอบมองไปที่โจวอี้อย่างระมัดระวัง

หลินเซี่ยเลิกคิ้ว พูดติดตลกว่า “ไม่อยากให้ช่วยจริง ๆ เหรอ?”

“ไม่ เด็ด ขาด”

“โอเค งั้นอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

โจวอี้แสดงสีหน้าไม่แยแสอีกครั้ง จากนั้นก็นั่งกินข้าวต่อไปอย่างเงียบ ๆ ฟังเพื่อนสาวทั้งสองคนกำลังต่อล้อต่อเถียงกันไปมา

หลังจากได้ยินคำพูดสุดท้ายของหลินเซี่ย เขาก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวพลางเหลือบมองเธอ

ดูเหมือนประโยคนั้นจะมีอะไรแอบแฝงสักอย่าง

“กินเร็วเข้า กินเสร็จจะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน”

เจียงอวี่เฟยบอกว่าหล่อนต้องรักษาหุ่น จึงวางตะเกียบลงหลังจากกินไปเพียงไม่กี่คำ

หลังจากโจวอี้กินเสร็จ เขาก็คิดจะลุกไปจ่ายเงิน หลินเซี่ยเห็นก็รีบชิงจ่ายเงินก่อน “ฉันบอกแล้วไงว่าจะเลี้ยงนายเอง”

หลินเซี่ยเหลือบดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงห้าสิบนาที

เฉินเจียเหอเคยเป็นทหารประจำกองทัพ แน่นอนว่าเป็นคนตรงเวลาเป็นที่สุด จากที่รู้จักนิสัยใจคอของเฉินเจียเหอมา เขาต้องมาปรากฏตัวที่หน้าประตูร้านอาหารอย่างตรงเวลาแน่

เธอแนะนำ “เรานั่งคุยกันสักพักรอให้อาหารย่อยก่อนเถอะ ในที่สุดเราก็นัดโจวอี้ผู้งานยุ่งตลอดเวลาออกมานอกบ้านได้สำเร็จ ไม่รู้ว่าคราวหน้าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่”

เจียงอวี่เฟยยืดหลังนั่งตัวตรงทันที ไม่มีความตั้งใจที่จะออกไป

“โจวอี้ เรานั่งต่ออีกสักหน่อยเถอะ ตอนนี้ยังไม่ค่ำเลย”

เด็กสาวทั้งสองยังคงนั่งนิ่ง ดังนั้นโจวอี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งลงไปใหม่อีกครั้งบราวนี่ออนไลน์

เจียงอวี่เฟยถามโจวอี้ “คืนนี้นายจะกลับไปที่วิทยาลัยหรือกลับบ้าน?”

โจวอี้ตอบ “กลับวิทยาลัย”

“โอ้ นายคิดจะอยู่หอพักในวิทยาลัยไปตลอดเลยหรือไง?”

“จากนี้ฉันคงไม่ได้กลับบ้านบ่อย ๆ”

หลินเซี่ยเอาแต่จดจ่ออยู่กับเวลา พูดคุยกับพวกเขาแค่สองสามคำเท่านั้น ผู้ริเริ่มบทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเจียงอวี่เฟยที่ชักชวนโจวอี้ให้ตามหลินเซี่ยไปเชียร์หล่อนในระหว่างประกวดให้ได้

ในที่สุดโจวอี้ก็ยอมตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ

หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “โจวอี้ นายนี่น่ารักจริง ๆ ตอนนี้เราสามคนกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว นายต้องหัดเข้าสังคมกับกลุ่มพวกเราให้มาก อย่าเอาแต่ทำตัวห่างเหินกับพวกเราเสมอไปสิ”

“เธอจะปฏิบัติต่อฉันเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของเธอตลอดไปหรือเปล่า?” โจวอี้มองไปที่หลินเซี่ย ถามด้วยน้ำเสียงที่มีความหมาย

หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนอยู่แล้ว ตราบใดที่นายเต็มใจที่จะเป็นเพื่อนกับเรา”

เจียงอวี่เฟยเห็นด้วย “ใช่แล้ว ตราบใดที่นายเต็มใจจะผูกมิตรกับพวกเรา พวกเราไปไหนไปกัน และจะนับนายเป็นเพื่อนที่ดีของเราตลอดไป”

หล่อนอยากพูดเหลือเกินว่าถ้าให้เปลี่ยนสถานะเป็นยิ่งกว่า ‘เพื่อน’ ก็ไม่รังเกียจ

“เอาล่ะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะ” หลินเซี่ยพยักหน้า ลุกยืนขึ้น หันไปชักชวนพวกเขาแล้วเดินออกจากร้านไปพร้อมกัน

ทันทีที่ทุกคนเดินออกไป ก็เห็นร่างสองร่าง ร่างใหญ่และร่างเล็กยืนอยู่ที่หน้าประตูร้านอาหาร

“แม่ฮะ พวกเรามาที่นี่เพื่อรอรับแม่… อาสาม?”

หู่จือตะโกนอย่างมีความสุขเมื่อเขาเห็นร่างที่คุ้นเคยซึ่งกำลังเดินตามหลินเซี่ยออกมา

หลินเซี่ยกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ แสร้งทำเป็นตกใจ “หู่จือ ลูกเรียกหาใครนะ?”

โจวอี้ถึงกับตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกอันคมชัดว่า ‘อาสาม’

เมื่อมองเห็นร่างสูงและทรงพลังของพี่ชายคนโตรวมถึงหู่จือที่วิ่งถลาตรงมาหาพวกเขา ดวงตาของเขาก็สั่นไหวอย่างดุเดือด เขาต้องการจะหาทางหนี แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

เขาหันกลับไปโดยไม่รู้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมอง

“หู่จือ ลูกเรียกใครว่าอาสามเหรอ?” หลินเซี่ยจับมือหู่จือที่วิ่งเข้ามาหาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม

“อาสามของผมก็ยืนอยู่ข้างแม่ไม่ใช่เหรอ?”

หู่จือวิ่งไปหาโจวอี้ซึ่งเอาแต่หันหลังให้ เงยหน้ามองเขาแล้วถามว่า “อาสาม ทำไมถึงมาอยู่กับแม่และน้าอวี่เฟยได้ล่ะ?”

โจวอี้ในเวลานี้ไม่อาจทำเป็นเสแสร้งกระบิดกระบวนได้อีกต่อไป

เขาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของหู่จืออย่างไรดี นัยน์ตาของเขายังคงสั่นไหว แต่เขาเลือกที่จะแสร้งทำเป็นเป็นหูหนวกและเป็นใบ้

เฉินเจียเหอเดินไปหา แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นชายหนุ่มที่กำลังยืนหันหลังให้พวกเขา “เจียวั่ง ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

“เจียวั่ง?” หลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยมองไปที่โจวอี้ด้วยความตกใจในเวลาเดียวกัน

หลินเซี่ยกลั้นยิ้มอีกครั้ง แล้วแสร้งทำเป็นแปลกใจ “คุณทักคนผิดหรือเปล่า? นั่นอดีตเพื่อนร่วมชั้นของฉันนะ”

เจียงอวี่เฟยก็พยายามอธิบายให้เฉินเจียเหอฟังอีกแรง “ใช่ คุณจำคนผิดแล้วแน่ ๆ นี่เพื่อนร่วมชั้นของพวกเราที่ชื่อโจวอี้”

เฉินเจียเหอไม่ได้พูดอะไร เขาดึงเฉินเจียวั่งที่เอาแต่ยืนหันหลังให้หันกลับมาหาเขา แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “นายเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับพี่สะใภ้ของตัวเองด้วยเหรอ?”

เฉินเจียวั่งมีใบหน้าหมองคล้ำ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหันหลังกลับมา

ในไม่ช้า เขาก็กลับมามีสีหน้าไม่แยแสอีกครั้ง เหลือบมองหลินเซี่ย และพูดด้วยความประหลาดใจแบบปลอม ๆ “จริงเหรอ? นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะกลายมาเป็นพี่สะใภ้ของฉันซะได้”

น้ำเสียงและสีหน้าของเขาเรียกได้ว่าไร้ที่ติ ราวกับเพิ่งรู้ข่าวอันน่าตกใจดังกล่าว

หลินเซี่ยเองก็แสดงรอยยิ้มปลอม ๆ เช่นกันเมื่อเธอเห็นท่าทางอวดดีของเขา “โจวอี้ ที่แท้นายก็คือเฉินเจียวั่งน้องสามีของฉันนี่เอง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ”

เธอมองไปที่สีหน้าไร้วิญญาณของเฉินเจียวั่งแล้วถามว่า “นายไม่รู้มาก่อนเลยเหรอว่าฉันเป็นพี่สะใภ้ของนาย?”

เฉินเจียวั่งส่ายหัว “ไม่รู้”

“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นโชคชะตาก็ช่างจัดสรรจริง ๆ เลยนะ”

เจียงอวี่เฟยตกตะลึงทันที จากนั้นก็ทำท่าทางไม่เชื่อ

จิตใจของหล่อนปั่นป่วน ย้อนคิดถึงคำถามต่าง ๆ นานาก่อนหน้านี้ แล้วถามเขาตามตรง “โจวอี้ นายเนี่ยนะจะไม่รู้มาก่อนว่าหลินเซี่ยเป็นพี่สะใภ้ของตัวเอง? โกหกแล้วล่ะ เมื่อกี้นี้ตอนอยู่ในร้านอาหาร นายก็น่าจะได้ยินเราสองคนบ่นกันถึงเรื่องของเฉินเจียซิ่งกับเสิ่นเสี่ยวเหมยนี่นา”

พอเฉินเจียวั่งถูกเจียงอวี่เฟยเปิดโปง เขาก็ยกมือปิดปากแล้วไอเบา ๆ “ตอนที่พวกเธอกำลังคุยกัน ฉันยังไม่ค่อยแน่ใจ”

“โอ้”

เจียงอวี่เฟยครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อกี้นี้หลินเซี่ยบอกว่าเธอต้องการแนะนำน้องเขยของตัวเองให้เธอรู้จัก แต่หล่อนรีบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด พอฉุกคิดขึ้นได้ก็รู้สึกเสียใจ คงจะดีมากถ้าหล่อนตอบตกลง

ในฐานะพี่ใหญ่ เฉินเจียเหอมีความสุขมากที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ ในที่สุดเจ้าสามก็ยินดีที่จะออกไปกินข้าวนอกบ้านกับเพื่อนร่วมชั้นหญิงแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่เอาแต่เก็บตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป นี่ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีทีเดียว

“เอาล่ะ พวกเรากลับบ้านพร้อมกันเถอะ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ครอบครัวคงตั้งตารอพวกเราอยู่”

เฉินเจียวั่งเหลือบมองหลินเซี่ยอย่างขุ่นเคือง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์

พี่สะใภ้จอมหักหลังคนนี้ เมื่อกี้เธอบอกว่าคืนนี้จะไม่กลับไปที่บ้านตระกูลเฉินไม่ใช่หรือไง?

ทันใดนั้น เขาก็เพิ่งตระหนักว่าวันนี้ทั้งวันเขาถูกเธอหลอกให้ตายใจ

เธอพยายามทำให้เขาผ่อนคลายความระมัดระวัง จากนั้นพี่ใหญ่และหู่จือก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าอย่างกะทันหัน ทำให้เขาไม่มีเวลาได้ตั้งตัว

เจ้าเล่ห์จริง ๆ

“อวี่เฟย เธอนั่งรถกลับบ้านคนเดียวได้ไหม? หรือให้น้องสามีของฉันไปส่งดี?”

“ไม่เป็นไร ฉันนั่งรถประจำทางกลับเองได้”

เมื่อตัวตนของเฉินเจียวั่งถูกเปิดเผยแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจำยอมกลับบ้านไปพร้อมพวกเขา

หลังจากขึ้นรถประจำทางแล้ว เฉินเจียวั่งจงใจหาที่นั่งซึ่งอยู่ห่างจากครอบครัวทั้งสาม ยกแขนขึ้นกอดอก จากนั้นก็หลับตาลงทำเหมือนงีบพักสายตา

หู่จือนั่งอยู่ข้าง ๆ หลินเซี่ย ถามอย่างสงสัย “แม่ฮะ แม่กับอาสามเคยเรียนชั้นเดียวกันจริง ๆ เหรอ?”

หลินเซี่ยยิ้มและพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเราเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน”

บนรถประจำทางมีผู้โดยสารอยู่แค่ไม่กี่คน ทางเท้าก็ว่างเปล่า เมื่อรถจอดเทียบที่ป้ายเป็นระยะ หู่จือก็วิ่งโผไปหาเฉินเจียวั่ง แล้วคว้าแขนของเขาและถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“อาสาม อารู้ไหมว่าร้านตัดผมของแม่อยู่แถวไหน? พรุ่งนี้ผมจะพาอาไปตัดผม”

หลินเซี่ยจงใจตะโกนเสียงดัง “หู่จือ อาสามของลูกรู้ตำแหน่งร้านอยู่แล้วล่ะ วันนั้นเขาก็มาตัดผมกับแม่”

เฉินเจียวั่ง “!!!”

“เอ๊ะ? งั้นอาสามก็รู้แต่แรกแล้วน่ะสิว่าเธอเป็นแม่ของผม? อาแอบไปที่นั่นคนเดียวเหรอ?” แม้แต่หู่จือซึ่งเป็นเด็กอายุห้าขวบกว่ายังคิดเรื่องนี้ออก

หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “ลองถามอาสามของลูกดูสิ”

เฉินเจียวั่งหลับตาปี๋ แกล้งทำเป็นหลับต่อไป

ตราบใดที่เขาไม่ลืมตา ก็จะมองไม่เห็นอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า

เฉินเจียเหออดไม่ได้ที่จะมองดูน้องชายคนที่สามซึ่งกำลังแกล้งหลับอยู่ หลินเซี่ยน่ะหรือตัดผมให้เขา?

หลังจากลงจากรถโดยสารประจำทาง เฉินเจียวั่งก็เดินนำทุกคนตรงไปข้างหน้า โดยรักษาระยะห่างจากครอบครัวสามคนที่พูดคุยกันเสียงดัง

หู่จือต้องการไล่ตามเฉินเจียวั่ง แต่ขาของเขาสั้นเกินไป ทำให้วิ่งตามไม่ทัน ทำได้เพียงตะโกนจากด้านหลังว่า “อาสาม รอผมด้วยสิ”

“น้องสามี หยุดรอหู่จือก่อน”

หลินเซี่ยเรียกเขาว่าน้องสามีไม่หยุดปาก ในขณะที่เฉินเจียวั่งแกล้งทำเป็นหูหนวกต่อไป ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม แถมยังเดินเร็วขึ้น

หลังจากเข้าไปในบ้าน ผู้เฒ่าเฉินก็ต้องประหลาดใจที่เห็นพวกเขากลับมาพร้อมกัน “ไอหยา ทำไมเจียวั่งถึงกลับมาพร้อมกับพวกเธอได้ล่ะเนี่ย?”

หู่จือรายงานอย่างตื่นเต้นว่า “คุณปู่ทวด แม่ผมกับอาสามเคยเรียนอยู่ชั้นเดียวกันด้วยแหละ”

“จริงเหรอ? กลายเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนี้ไปได้ยังไง?” คนในครอบครัวต่างก็ประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น

เฉินเจียวั่งเผชิญสายตาประหลาดใจของคนในครอบครัว จึงอธิบายว่า “ใช่ครับ หล่อนคือเพื่อนร่วมชั้นที่ช่วยปฐมพยาบาลให้ผมตอนอยู่ในชั้นเรียน ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมาแค่ปีเดียวหล่อนจะกลายเป็นพี่สะใภ้ของผมไปซะแล้ว”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

โป๊ะแรงมาก เป็นอันว่าปริศนาเรื่องนี้คลี่คลายแล้วนะคะว่าเจียวั่งกับโจวอี้เป็นคนเดียวกันจริงๆ ไหม

ไหหม่า(海馬)