นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!?

ทั้งมังกร ทั้งยักษ์ตาเดียว ไหนจะหมาป่าอีก!

ทำไมตัวประหลาดพวกนั้นมันถึงมาอยู่ในเมืองกัน!?

เด็กหนุ่มนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาที่หาได้ทั่วไปสบถในใจด้วยความหงุดหงิดและสับสน ทั้งที่ความจริงลั่นวาจาออกมาจะสบายใจกว่า แต่เพราะกลัวว่าพวกมันจะได้ยินเลยไม่อาจทำอย่างนั้นได้

เขาและเพื่อนนักเรียนอีกสองคนเป็นชายหนึ่งคนและหญิงอีกหนึ่งคนกำลังหลบซ่อนอยู่หลังเคาน์เตอร์ของร้านสะดวกซื้อด้วยท่าทางกระวนกระวายและหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เต็มไปด้วยความผิดปกติ

“ทั้งไอ้หนุ่ม ไอ้กล้าแล้วก็แพรถูกไอ้ตัวพวกนั้นฆ่าหมดเลย… นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!”

ในระหว่างที่เด็กหนุ่มครุ่นคิดสบถในใจ จู่ ๆ เพื่อนชายก็ตะโกนออกมาเสียดังลั่นด้วยความหงุดหงิด

เสียงที่ดังเกินไปนั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยเพราะเป็นการเผยที่ซ่อนของตัวเอง

“ใจเย็นก่อนสิพล เสียงดังมากไปเดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก”

เด็กหนุ่มจึงเอ่ยเตือนเพื่อนชื่อพลด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้สงบเยือกเย็น ทั้งที่ตัวเองก็สับสนและหวาดกลัวเหมือนกันแท้ ๆ

แต่ถ้าคำนึงจากเรื่องก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเห็นเพื่อนร่วมชั้นถูกฆ่าไปต่อหน้า การที่ยังสงบนิ่งอยู่ได้ในเวลาแบบนี้อาจเป็นเรื่องแปลกก็ได้

แต่ถึงอย่างนั้น… บางครั้งวิตกจริตมากเกินไปจนเสียเรื่องมันก็ไม่ควรอยู่ดี

“ได้ยินก็ได้ยินไปสิ! ยังไงอีกไม่นานพวกมันก็จะเจอเราอยู่แล้ว! พวกเราจะหนีไปไหนได้!”

พลผู้เริ่มตะโกนด้วยเสียงที่ดังมากขึ้นคือตัวอย่างที่ไม่ดีในเรื่องนั้น สติสตังของเขาเหลืออยู่น้อยเต็มทีจนเด็กหนุ่มเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว เพราะในสถานการณ์อันตรายที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องตั้งสติให้ได้ ใครเสียมันไปก่อนก็ถึงฆาตเมื่อนั้น

ยังไงก็ตาม เพราะพลทำเสียงดังแบบนั้นขึ้นมา เลยทำให้เด็กสาวอีกคนที่อยู่ด้วยตกใจจนเริ่มจะหวาดกลัวและกังวลจนตัวสั่นขึ้นมาตามไปด้วยแล้ว

“พิม ใจเย็น ๆ นะ” เด็กหนุ่มจับมือของเด็กสาว… พิมที่นั่งกอดเข่าเอาหลังพิงเคาน์เตอร์ พยายามปลอบประโลมเธอที่อย่างน้อยก็ยังมีความอดทนมากพอจะครองสติเอาไว้ได้อยู่

“อะ อืม… ขอบใจนะทัต”

พิมตอบกลับเด็กหนุ่ม… ตอบกลับทัตด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครือและตะกุกตะกัก ดูท่าเธอเองก็เสียขวัญไม่น้อย กระนั้นเธอก็ยังฝืนยิ้มออกมาเพื่อให้เห็นว่าเธอไม่เป็นไรและเข้มแข็งมากขนาดไหน

อย่างไรก็ดี… สถานการณ์ที่ยังไม่น่าไว้วางใจก็ยังคงดำเนินอยู่ ด้วยเหตุนั้น ช่วงเวลาที่พวกเขาสามคนได้หยุดพักหายใจจึงมีจำกัด

…และมันก็จบลงอีกครั้งอย่างน่าใจหาย

ติ๊งต่อง!!!

ฟุบ!

เสียงประตูของร้านสะดวกซื้อถูกเปิดออกพร้อม ๆ กับ BGM แจ้งเตือนการเข้ามาในร้านของลูกค้า

กรรรร…

ทว่า สิ่งที่เดินเข้ามาผ่านประตูร้านกลับไม่ใช่ลูกค้า แถมไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ

เสียงที่ออกมาจากลำคอของมันเป็นเสียงครางขู่ของสุนัข แต่ไม่ใช่สุนัขธรรมดาทั่วไปเพราะมีขนาดใหญ่ยังกับสุนัขหมาป่า ซึ่งคิดตามปกติ ต่อให้เป็นสถานการณ์ที่หมาป่าเดินหลุดเข้ามาในร้านสะดวกซื้อก็เป็นเรื่องอันตรายมากพออยู่แล้ว

แต่สถานการณ์นี้มันอันตรายขึ้นไปอีกขั้น… เพราะขนของเจ้าหมาป่าตัวนี้มันอาบด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงินตลอดเวลา และไม่ได้เป็นเพราะมันถูกไฟไหม้ร่างหากแต่เป็นเพลิงที่ออกมาจากตัวของมันเองต่างหาก บอกได้เลยว่าสัตว์แบบนี้ไม่มีที่ไหนในโลกอย่างแน่นอน ซึ่งพวกทัตเองก็รู้อยู่

ทั้งความร้อนระอุจากร่างกายของมันและบรรยากาศแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ ทำให้ทัต พลและพิมซ่อนตัวอยู่หลังเคาน์เตอร์ กลั้นหายใจและปิดปากตัวเองแน่น

เพราะพวกเขารู้… ว่าหากตนเองเผลอส่งเสียงเพียงเล็กน้อยออกมาและเจ้าหมาป่ามันเกิดรู้ตัวขึ้นมาล่ะก็ พวกเขาคงถูกมันกินทั้งเป็นเหมือนกับที่เพื่อนร่วมชั้นของพวกเขาโดนอย่างแน่นอน พอคิดแบบนั้นแล้วตัวก็ยิ่งสั่น ปากก็อยากจะกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

กระนั้นก็ยังต้องฝืนบีบบังคับตัวเองให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะถึงขีดจำกัดไปนานแล้วก็ตามที

ชิบหายเอ้ย… นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!?

ทัตที่นิ่งสงบมาตลอดถึงได้รู้สึกหวาดกลัว และนี่คงเป็นความหวาดกลัวที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว

❖❖❖❖❖

ยามเช้าเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันคือจุดเริ่มต้นของวัน และสำหรับเด็กหนุ่มบางคนในช่วงกลางปีที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนไปสู่ฤดูฝน มันคือจุดเริ่มต้นของชีวิต ม.ปลาย

เด็กหนุ่ม… ทัตเทพ ไกรธนเดชหรือทัต คือเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาธรรมดาค่อนไปทางดี ร่างกายไม่ผอม ไม่อ้วนและไม่ได้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กล่าวคือเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่เพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมปลายและกำลังจะเริ่มเรียนวันนี้เป็นครั้งแรก หลังได้ยินเสียงกริ่งของนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือเขาถึงได้ลืมตาแล้วก็ลุกขึ้นจากเตียงทันที

“เฮ้อ…”

แต่ทั้งที่บรรยากาศหลังมองลอดออกไปนอกหน้าต่างดูสดใสแถมท้องฟ้ายังสวยงามกว่าหลาย ๆ วันที่ผ่านมา ทัตกลับไม่ได้รู้สึกคล้อยตามกับสภาพอากาศเลยสักนิด กลับกัน เขาทำสีหน้าเบื่อหน่ายขาดแรงกระตุ้นอย่างแรงเสียด้วยซ้ำ

ทัตลุกขึ้นจากเตียงต่ำในห้องไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ในห้องแล้วเริ่มเตรียมตัวอาบน้ำ ซึ่งห้องอาบน้ำก็อยู่ในห้องของเขานั่นแหล่ะ และถ้าจะพูดให้ถูกคือทั้งห้องครัว ห้องอาบน้ำ ห้องนอน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในห้องเดียวกันหมด เพราะที่นี่เป็นหอพัก

เอาล่ะ!

หลังอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนและเตรียมกระเป๋าสะพายเสร็จสรรพดีแล้วทัตก็เตรียมตัวจะออกจากห้องพักในทันทีด้วยความที่ตอนนี้เวลาปาเข้าไป 7.30 น. ครึ่งแล้ว สำหรับโรงเรียนในไทยที่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเวลา 8.00 น. ถือว่ากระชั้นชิดทีเดียว

แต่ต้องขอบคุณที่ทัตเลือกหอที่อยู่ใกล้โรงเรียน ซึ่งหากจะถามว่าใกล้ขนาดไหน คือมันไกลจากโรงเรียนโดยใช้เวลาเดินเท้าแค่ 15 นาทีเท่านั้น นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ทัตไม่รีบร้อนอะไรนัก

“หืม?”

หลังออกมาจากห้องพักและล็อคประตูห้อง สิ่งแรกที่เห็นควรจะเป็นทางเดินโล่ง ๆ แต่ทัตกลับพบว่ามีคนยืนรออยู่หน้าห้องของเขาอยู่ก่อนแล้ว

วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ดังนั้น ทัตยังไม่มีเพื่อนร่วมชั้นอย่างแน่นอน

ทั้งอย่างนั้น… เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขานี้กลับสวมชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเขา เธอผูกผมเป็นทรงหางม้าดูแก่นแก้ว แต่ท่าทางการยืนหลังตรงประสานมือกุมไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยดูเป็นกุลสตรีที่ถูกฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ทรวดทรงเองก็สมบูรณ์อย่างที่ผู้หญิงทุกคนควรมี นอกจากนี้หน้าตายังน่ารักไม่เบาอีกด้วย

“ตื่นจนได้นะพ่อคนขี้เซา” แถมยังพูดจาด้วยอย่างสนิทสนมพร้อมกับโบกมือทักทายอีก เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่แค่รู้จักกันแต่รู้จักกันมานานแล้ว

“นั่นแหล่ะเป็นเหตุผลที่ฉันเลือกหอใกล้โรงเรียนล่ะ”

“ให้ตายสิ… แบบนั้นเดี๋ยวก็เสียคนกันพอดีหรอก” เด็กสาวพูดแล้วก็ถอนหายใจหลังได้ยินคำตอบของทัต ท่าทางของเธอยังกับพี่สาวไม่ก็แม่ที่พยายามจ้ำจี้จ้ำไชน้องชายหรือลูกชายไม่มีผิด

“ฉันเป็นงี้มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรซะหน่อยนี่พิม”

แม้จะถูกต่อว่าจากเด็กสาว… ณิศรา ศิริการกุลหรือพิม แต่ดูเหมือนทัตจะไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเร็ว ๆ นี้ ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องดี แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความห่วงใยที่มากเกินไปของเพื่อนสนิทสาวคนนี้ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ต้น ไปเสียทีเดียว

“จะว่าไป ย้ายมาอยู่หอแล้วเป็นไงบ้างเหรอ?” พิมเปิดประเด็นในขณะที่อยู่ระหว่างเดินเท้าไปโรงเรียนด้วยกัน

“หลับสบายจนน่าแปลกใจเลย ทั้งที่เพิ่งย้ายมาเมื่อวานแท้ ๆ” ทัตตอบกลับด้วยสีหน้าธรรมดา เขาไม่ได้รู้สึกแปลกที่หรือคิดถึงบ้านเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่พิมก็ไม่ได้คิดว่าแปลกสำหรับทัต

“งั้นเหรอ ก็ดีแล้วล่ะ” นั่นจึงทำให้พิมรู้สึกโล่งใจ รอยยิ้มปรากฏบนสีหน้าของเธอ

แต่อย่างไรเสีย หนึ่งในสิ่งที่ปรากฏบนหน้าของเธอนอกจากความโล่งใจหลังความเป็นห่วงแล้ว เหมือนจะยังมีความกังวลอะไรบางอย่างอยู่ด้วย เรื่องนั้นหากเป็นคนอื่นคงสังเกตยาก คงมีแต่คนที่สนิทด้วยเท่านั้นที่จะรู้สึกสะกิดใจ

“ยังรู้สึกไม่ดีเรื่องนั้นอยู่เหรอ… ขอโทษด้วยนะ” แถมนอกจากสังเกตได้ ทัตยังรู้สาเหตุของมันอีกด้วย ยังไงก็ตาม เพราะทัตพูดตรงประเด็นเหมือนแทงใจดำอย่างนั้น รอยยิ้มของพิมเลยจางลงไปครึ่งหนึ่ง

“ก็บอกว่าฉันเข้าใจแล้วไง เลิกคิดมากได้แล้วน่า มันจะทำให้ฉันคิดมากตามไปด้วยนะ”

และถึงแม้รอยยิ้มจะเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่เธอก็ยังพยายามใช้อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือแสดงให้ทัตเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นกังวลถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเธอ

ไม่สิ… เธอพยายามทำให้ทัตคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาต่างหาก เพราะถ้าหากมันไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้เธอเป็นทุกข์จริง เธอก็คงไม่แสดงสีหน้าเป็นกังวลระส่ำระส่ายออกมาตั้งแต่แรก นั่นถึงทำให้ทัตรู้สึกผิดขึ้นมาจนไม่รู้จะทำยังไงดี

ซึ่งแม้แต่การปลอบใจพิม ทัตก็ทำไม่ได้… หรือพูดให้ถูกคือเขาคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นเพราะรู้ว่าตัวเองคือสาเหตุที่ทำให้พิมเป็นเช่นนั้น

ยังไงก็ตาม พอเห็นทัตแสดงสีหน้าลำบากใจและรู้สึกผิดออกมา กลายเป็นพิมแทนเสียอย่างนั้นที่ตบบ่าทัตเพื่อเรียกสติเขา เพราะหากไม่ทำอย่างนั้นจะกลายเป็นพิมเองที่รู้สึกผิดตามไปด้วย

“เอาล่ะ! อย่าพูดเรื่องนั้นก่อนไปโรงเรียนสิ เดี๋ยวบรรยากาศไม่ดีเอา วันนี้ท้องฟ้าอุตส่าห์สวยขนาดนี้ทั้งที”

“…นั่นสินะ ไปโรงเรียนวันแรกให้สนุกดีกว่า”

พิมพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะคุยเรื่องนี้ต่อก็เป็นการทำลายบรรยากาศดี ๆ ของการเปิดเรียนวันแรกเสียเปล่า ๆ ซึ่งทัตเองก็เห็นพ้องตามนั้นจึงเปลี่ยนบทสนทนาตามอย่างง่ายดาย

ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินผ่านรั้วโรงเรียนเข้าไป… ชีวิต ม.ปลายของทั้งสองคนก็ได้เริ่มขึ้นจริง ๆ เสียที

…แม้สำหรับตัวทัตแล้ว มันจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ได้ดีเท่าไหร่นักก็ตาม

❖❖❖❖❖

ตัวฉันน่ะ… เป็นเด็กมีปัญหา

ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดที่เล่นยา เป็นอันธพาลชกต่อยหรือโดดเรียนหรอกนะ

ถ้าจะให้เจาะจงก็คือ บทบาทที่มีต่อสังคมและโรงเรียนของฉันน่ะก็ถือว่าเป็นเด็กดีนั่นแหล่ะ

แต่ที่มีปัญหาน่ะคือกับทางบ้านมากกว่า

ฉันก็ไม่ได้มีปัญหามาตั้งแต่แรกหรอกนะ… ถ้าจะให้เริ่มคือช่วงแรกมันดีมากเลยล่ะ

มีพ่อที่ขยันทำงานและรักครอบครัว มีแม่ที่คอยอยู่บ้านดูแลทุกอย่างรวมถึงดูแลฉันได้ดีมาตลอด ฉันเองก็เป็นลูกที่ดีเชื่อฟังพ่อแม่และไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ทุกวันเต็มไปด้วยความสุขจากการเอาใจใส่ของทั้งพ่อและแม่

แต่เรื่องทั้งหมดมันเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อตอนช่วงประถมช่วงที่จะขึ้นชั้น ม.ต้น แล้วแม่ของฉันป่วยตายไป นั่นแหล่ะคือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในครอบครัว

หลังจากนั้นพ่อก็เอาแต่ทำงาน เขาก็คงทำไปเพื่อให้ลืมความเศร้าโศกจากการสูญเสียนั่นแหล่ะ เหมือน ๆ กับฉัน

แต่ถึงมันจะเศร้ายังไง เราก็ต่างรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้… แม้จะต้องให้เวลาเป็นตัวช่วยแต่สักวันนึงเราที่เหลือกันอยู่สองคนจะก้าวต่อไปได้ ฉันคิดแบบนั้น

และพ่อก็ก้าวไปข้างหน้าจริง ๆ… ด้วยการลืมแม่และแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่

ใช่… นั่นแหล่ะสิ่งที่เขาทำ แต่งงานใหม่กับแม่เลี้ยงเดี่ยวชาวต่างชาติที่มีลูกติดเป็นเด็กผู้หญิงที่จะกลายมาเป็นน้องสาวบุญธรรมของฉัน

การแต่งงานใหม่อาจไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้ใหญ่… แต่สำหรับฉันที่ตอนนั้นยังอายุ 12 เป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจทำความเข้าใจได้

สิ่งที่ฉันทำความเข้าใจได้มีเพียงแค่ “พ่อไม่รักแม่แล้วหันไปหาผู้หญิงคนอื่น” เท่านั้น

พูดแบบนั้นมันอาจฟังดูไม่ยุติธรรมและติดอคติไปหน่อย

เพราะถ้าจะให้พูด แม่ใหม่ของฉันก็เป็นคนใจดีและเอาใจใส่ครอบครัว… เป็นคุณแม่ที่ดีเชียวล่ะ

แต่ยังไงก็เถอะ… สำหรับเด็กอายุ 12 มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะปรับตัวในสถานการณ์ที่มีคนแปลกหน้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

เพราะบ้านนี้เคยมีแค่สามคน หลังจากนั้นเหลือสองคน… แต่ตอนนี้กลายเป็นมีสี่คน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ

ทั้งอย่างนั้น… น้องสาวบุญธรรมของฉันกลับไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรเลยสักนิด ถึงเธอจะเงียบขรึมไปหน่อยสำหรับเด็กอายุ 11 ก็เถอะ แต่เธอดูไม่กังวลกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

จะทั้งแม่ใหม่… รวมถึงพ่อที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้แบบเดิมแล้วก็ด้วย ทุกคนไม่รู้สึกแปลก ๆ กันเลยสักนิด

นั่นเลยทำให้ฉันคิด… และรู้… ว่ามีแค่ฉันคนเดียวที่คิดแบบนั้นอยู่ในบ้าน

และนั่นก็ทำให้ฉันได้ตระหนัก ว่าฉันเป็นคนเดียวในบ้านที่รู้สึก ‘แปลกแยก’

แต่จะให้โวยวายงอแงฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก… โดยพื้นฐานแล้วฉันไม่ใช่คนแบบนั้น เป็นพวกที่ชอบคิดมากกว่าชอบทำ

อาจเพราะแบบนั้นแหล่ะมั้ง ความรู้สึกแปลกแยกเลยกดทับอยู่ในอกและเก็บกดอยู่ในใจ แล้วสุดท้ายมันเปลี่ยนพฤติกรรมของฉันจนรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่อยู่บ้าน

ฉันเลยชอบที่จะอยู่โรงเรียน ไม่ก็ออกไปเที่ยวนอกบ้านในวันหยุดอยู่ตลอด

ยิ่งนานวันเข้าความไม่พอใจก็กดทับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ฉันไม่อยากจะอยู่บ้านนั้นอีกแล้ว

ช่างประจวบเหมาะกับช่วงที่ฉันกำลังจะขึ้นเรียนชั้น ม.ปลาย ซึ่งตอนนั้นโรงเรียนที่มีอัตราการสอบติดมหาลัยสูงที่สุดของจังหวัดนั้นอยู่ที่ต่างอำเภอ

ฉันเลยคุยกับพ่อว่าอยากจะเข้าโรงเรียนนั้น และก็สอบจนติด จนสุดท้ายก็ได้มาเรียนที่นี่และขอย้ายมาอยู่หอที่อยู่ใกล้โรงเรียนเพื่อที่จะสามารถตั้งใจเรียนได้

แต่ก็อย่างที่รู้นั่นแหล่ะ… มันก็แค่ข้ออ้างที่ฉันใช้เพื่อปลีกตัวออกมาจากบ้านเท่านั้น

นั่นเลยทำให้ตัวฉันในตอนนี้มาเรียนในที่ที่ไกลจากบ้านพอสมควร

แต่ก็ไม่ได้เหงาขนาดนั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณที่พิมมาเรียนด้วยกันนี่แหล่ะ แถมสอบติดห้องเดียวกันด้วยอีก

ไม่สิ… ที่จริงคือถ้าพิมไม่เลือกเรียนที่นี่เราก็คงไม่มาเรียนที่เดียวกันหรอก เรียกว่าเป็นเพราะทุกอย่างมันประจวบเหมาะพอดีนั่นแหล่ะเลยทำให้ได้มาเรียนที่นี่

ยังไงก็ตาม พูดเหมือนเราสองคนมีความสัมพันธ์พิเศษกันขนาดนั้นแต่ยังไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกนะ…

ไม่สิ… ถ้าจะให้พูดก็คงพิเศษนั่นแหล่ะ เพราะไม่งั้นเธอคงไม่ถึงขั้นมารับฉันที่หน้าห้องพักตั้งแต่วันแรก ทั้งที่เธอเองก็มีเพื่อนสนิทในกลุ่ม ม.ต้น ที่มาเรียนโรงเรียนเดียวกันนี้อยู่เหมือนกันหรอก

นั่นเห็นได้จากช่วงโฮมรูมที่พอเราเข้าห้องไปปุ๊บเธอก็แยกตัวไปคุยกับเพื่อนของเธอ แถมยังหาเพื่อนใหม่ได้เรื่อย ๆ ทั้งหญิงและชาย เธอเป็นคนแบบนั้นแหล่ะ

ส่วนฉันน่ะเหรอ? ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กลายเป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใครโดยไม่จำเป็นไปแล้ว บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นจากที่บ้านมันคงส่งผลกระทบ

เพราะแบบนั้นแหล่ะฉันเลยเลือกที่นั่งโซนหลังสุดแถวกลาง

อนึ่ง ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกนะที่เป็นแบบนั้น เพราะที่นี่เป็นโรงเรียนที่ไม่มีระดับชั้น ม.ต้น กล่าวคือเป็นการเริ่มต้นใหม่ของทุกคน (ยกเว้นคนที่บังเอิญมาสอบติดและอยู่ห้องเดียวกันพอดีอย่างฉันกับพิม ซึ่งน้อยมาก)

ยังไงก็ตาม การกลายเป็นคนกลุ่มที่ยังไม่มีเพื่อนก็ยังไม่ใช่เรื่องดีสำหรับชีวิต ม.ปลาย ไม่สิ… สำหรับชีวิตทุกช่วงนั่นแหล่ะ เพราะถ้าถูกมองว่าเป็นพวกโดดเดี่ยวหรือไม่ให้ความร่วมมือจะเสียเอา

ฉันก็เลยคุยกับคนที่อยู่รอบ ๆ แล้ว พูดให้ถูกคือแนะนำตัวเฉย ๆ แล้วก็กลับมาเล่นโทรศัพท์ฆ่าเวลาเหมือนเดิม สำหรับความประทับใจแรก ให้เห็นว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่คนคุยยากก็คงพอแล้วมั้ง

หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์ก็เข้ามา แล้วก็ตามธรรมเนียมคือให้แนะนำตัวเองกับเพื่อนในวันแรก

ถัดไปก็คือการเลือกตำแหน่งในห้องอย่างหัวหน้าห้อง รองหัวหน้า เหรัญญิก อะไรประมาณนั้น

แน่นอนว่าคนที่ไม่อยากมีส่วนร่วมอย่างฉันไม่เข้าร่วมด้วยแน่นอน

แต่ดูเหมือนพิมจะตรงข้าม… พออาจารย์ถามความสมัครใจว่าใครอยากจะเป็นหัวหน้าห้องเธอก็ยกมือขึ้นสูงอย่างมั่นอกมั่นใจเป็นคนแรก และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากชิงตำแหน่งด้วย พิมเลยได้เป็นหัวหน้าห้องเหมือนกับตอน ม.ต้น

พอคิดว่าสถานการณ์แบบตอน ม.ต้น จะกลับมาอีกครั้งฉันก็เลยเผลอยิ้มแห้ง ๆ เพราะไม่ค่อยอยากถูกยัยนั่นจ้ำจี้จ้ำไชเหมือนเด็ก ๆ นัก

และในจังหวะที่คิดแบบนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์ถามพิมและมอบอภิสิทธิในการเลือกรองหัวหน้าให้กับเธอ

เดาสิว่าเธอเลือกใคร… เธอชี้มาทางฉันเฉยเลย ทั้งที่รู้ว่าฉันเกลียดหน้าที่ที่ต้องคอยรับผิดชอบชีวิตคนอื่นแท้ ๆ!

ตอนแรกก็ว่าจะปฏิเสธ แต่แหม… ในสถานการณ์ที่ทุกคนมองจ้องมาที่ฉันคนเดียวขนาดนั้น บอกตามตรง ฉันไม่กล้าพอจะตอบปฏิเสธหรอก ก็เลยต้องกลั้นใจรับข้อเสนอแบบมัดมือชกของพิม

เรื่องเหนื่อย ๆ ยังไม่จบแค่นี้หรอก… ไม่ใช่เรื่องคาบเรียนหรอกนะ เพราะส่วนใหญ่คาบแรกอาจารย์ก็แนะนำรายวิชาและทบทวนเนื้อหาเก่าทั้งนั้น

เรื่องเหนื่อย ๆ ที่ว่า คือช่วงพักเที่ยงต่างหาก… ใครจะรู้ว่ายัยพิมจะลากฉันไปกินข้าวกับแก๊งเพื่อนใหม่ของเธอด้วย

ฉันรู้อยู่หรอกว่าพิมหวังดี แต่เหนื่อยมันก็คือเหนื่อยนั่นแหล่ะ…

แทนที่จะต้องมานั่งกังวลเลือกบทสนทนาและท่าทางให้ถูกใจเพื่อนร่วมโต๊ะ ฉันอยากจะนั่งกินสบาย ๆ คนเดียวมากกว่า แต่ดูเหมือนหลังจากนี้ฉันจะทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว

คาบบ่ายเริ่มต้นขึ้นแบบเดียวกับช่วงเช้าที่ส่วนใหญ่เป็นการทบทวน เลยไม่มีอะไรมาก

พอเริ่มคาบบ่าย เพื่อนในห้องส่วนใหญ่ที่เริ่มจับกลุ่มกันได้แล้วก็เริ่มคุยกันว่าหลังเลิกเรียนจะไปเที่ยวไหนต่อดีเพื่อกระชับความสัมพันธ์

และก็อย่างที่รู้… พอเลิกเรียนแล้ว ฉันน่ะโคตรอยากจะชิ่งกลับหอไปพักมาก ๆ เลยล่ะนะ

แต่ก็อย่างที่รู้…

“จะไปไหนเหรอจ๊ะ?”

พิมส่งเสียงหวานมาจากหลังห้อง แต่สำหรับทัตที่นั่งหลังห้องอยู่แล้ว เขารู้สึกเหมือนมีนางมารร้ายกระซิบอยู่ข้างหู ไม่สิ… ตอนนี้พิมก็กำลังกระซิบอยู่ข้างหูเขาจริง ๆ ด้วยใบหน้าหยอกเย้าแสนจะขี้แกล้งของเธอ

“จะกลับหอน่ะสิ” ทัตตอบแบบตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะสังหรณ์ใจว่าความหวังอาจไม่เป็นจริงหลังได้เห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของพิม

แถมด้านหลังของเธอยังมีกลุ่มเพื่อนนักเรียนชายหญิงอีกจำนวนหนึ่งด้วย เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่พิมลากทัตไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันนั่นแล

ยังไงก็ตาม… หลังพิมได้ยินคำตอบของทัต เธอก็พุ่งเข้ามาเอามือวางบนไหล่สองข้างของทัตแล้วกดลงแน่นทีเดียว

“หอมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า! เลิกเรียนไปเที่ยวด้วยกันก่อนสิ!”

ไม่ยอมให้หนีหรอกนะ! ภาษากายที่กำลังใช้มือกดไหล่ของทัตเอาไว้บวกกับรอยยิ้มทั้งที่กำลังแสดงสีหน้าหงุดหงิดเหมือนจะบอกว่า ‘ถ้าหนีล่ะก็ฉันโกรธแน่’ ทั้งหมดทั้งมวลนั่นทำให้ทัตเหงื่อตก เพราะเขารู้ว่าถ้าพิมโกรธขึ้นมาจริง ๆ มันจะเป็นยังไง

“เฮ้อ… ก็ได้” ทัตบ่นอุบอีกรอบเหมือนกับตอนพักกลางวันไม่มีผิด ยังไงเขาก็ปฏิเสธพิมไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“เยี่ยม! ต้องแบบนั้นสิ!”

พอได้ยินดังนั้น พิมก็ยิ้มดีใจออกมาจนรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะกระโดดโลดเต้นได้เลยทีเดียว

และด้วยเหตุนั้น เป้าหมายหลังเลิกเรียนของทัต พิมและผองเพื่อนใหม่จึงไม่ใช่ที่หอ แต่เป็นการเดินเที่ยวในเมืองแทน

❖❖❖❖❖

ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนใหม่ ๆ สำหรับโรงเรียนที่อยู่ในเมืองแล้วเป็นช่วงที่รถติดที่สุด แถมนี่ยังเป็นการเปิดเทอมวันแรกของโรงเรียนหลายโรงเรียนอีกด้วย มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิดที่ถนนในวันนี้จะเต็มไปด้วยรถยนต์ทั้งที่ไม่ใช่ใจกลางเมือง

นอกจากนี้ แม้แต่บนฟุตบาทเองก็ยังเต็มไปด้วยผู้ปกครองและลูกเด็กเล็กแดง รวมถึงกลุ่มนักเรียนมากมายเต็มไปหมด นี่ยังไม่รวมร้านค้าแผงลอยต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่บนฟุตบาทแถวโรงเรียนอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันดูวุ่นวายแออัดขนาดไหน

และเพราะมันวุ่นวายแบบนั้น มันคงไม่รู้สึกสนุกเท่าไหร่ที่ต้องออกไปเผชิญกับความอัดแน่นเหมือนสนามรบในช่วงเวลาแบบนี้ พิมและเพื่อน ๆ จึงคุยกันว่าจะหาร้านคาเฟ่นั่งกินขนมรอกันไปสักพักก่อนที่จะออกไปเที่ยว ซึ่งร้านดังกล่าวเองก็อยู่ใกล้ ๆ กับโรงเรียน แถมดูเหมือนตั้งใจจะเปิดให้นักเรียนมาใช้บริการเป็นกลุ่มลูกค้าหลักเสียด้วยซ้ำ

ดูจากสไตล์การตกแต่งร้านที่ดูทันสมัย มีทั้งโต๊ะนั่งพื้นและนั่งบาร์ มีหมอนรอง หมอนหนุนพร้อมให้ผ่อนคลายได้เต็มที่ สีส่วนใหญ่ของร้านเป็นพาสเทล และที่สำคัญเมนูส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่มน้ำหวานที่วัยรุ่นนิยมชมชอบไม่แม้แต่ชานมไข่มุก จึงไม่แปลกที่พวกพิมจะเลือกร้านนี้

ทุกคนเลือกที่จะนั่งโต๊ะนั่งพื้นกัน เจ้าของร้านเองก็ใจดีให้เอาโต๊ะมาต่อรวมกันได้เนื่องจากสมาชิกกลุ่มรวมทัตแล้วมีกันถึงเจ็ดคน

“จะว่าไปบ้านทุกคนอยู่ไหนกันเหรอ?” พิมที่กำลังนั่งเท้าคางเป็นผู้เปิดประเด็นอีกครั้ง ตอนนี้เธอคงเป็นหัวหอกของกลุ่มไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

“ของฉันอยู่ในเมืองนี่แหล่ะ แต่เธอก็รู้อยู่แล้วนี่นะ” เด็กผู้หญิงผมสั้นถูกระเบียบ… แพรเอ่ยสั้น ๆ ท่าทางของเธอเอียงอายเล็กน้อย แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะสนิทกับพิมอยู่ก่อนแล้ว

“ฉันอยู่ไกลพอสมควรเลยล่ะ เพราะงั้นถ้าเกินห้าโมงครึ่งคงต้องขอกลับก่อนนะ” เด็กผู้หญิงสวมแว่นท่าทางเรียบร้อยแต่ดูแก่นแก้วอีกคน… มิ้นเอ่ยอย่างเสียดายในขณะเอาหน้าราบไปกับโต๊ะ

“เอ๋!? ไม่เอาน่า” ซึ่งพอได้ยินแบบนั้น พิมเองก็ทำหน้าเสียดายออกมาเหมือนกันจนถึงขนาดยื่นหน้าเข้าไปใกล้มิ้นประหนึ่งวิงวอนเลยทีเดียวเชียว

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ฉันต้องกลับรถสายด้วยสิ”

มิ้นยืนยันแบบนั้นพิมเลยไม่เซ้าซี้ต่อเพราะมันอาจทำให้มิ้นรำคาญแทน ความสามารถในการสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติของพิมเป็นสิ่งที่ทัตแอบมองอยู่ห่าง ๆ อย่างชื่นชมมาตลอด แม้จะเป็นเพราะเธอถูกฝึกมาแบบนั้น แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมีเพื่อนรายล้อมเป็นจำนวนมากขนาดนี้

แล้วในระหว่างที่คุยกันไปได้สักพักเครื่องดื่มก็มาเสิร์ฟพอดี ทุกคนลิ้มรสและเพลิดเพลินไปกับความหวานจนติดลิ้นสักพักก่อนจะเริ่มคุยต่อ

“แล้วพวกเธอ ปกติว่าง ๆ ทำอะไรกันบ้างอ่ะ?” เด็กหนุ่มท่าทางร่าเริงที่สุดในกลุ่ม… พลวางมือบนโต๊ะในขณะเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น ซึ่งก็แหงล่ะเพราะเขาจงใจถามแบบนั้นกับสาว ๆ โดยเฉพาะพิม

ถ้าจะให้ชี้ชัด อันที่จริงไม่ใช่แค่พลหรอก แต่ทั้งกล้าและหนุ่มที่ร่วมโต๊ะด้วยกันตอนนี้ รวมถึงนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนวันนี้ หรืออาจหมายถึงนักเรียนชายทุกคนที่ได้เห็นพิมในวันนี้คงจะหมายปองเธอกันทั้งนั้น

ซึ่งคงไม่แปลกอะไรหรอก เพราะหากถามกันร้อยคนก็คงตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกันว่าพิมเป็นคนสวยน่ารักขนาดไหน ทรวดทรงองอเอวก็โค้งได้รูป หน้าอกหน้าใจก็เป็นที่เด่นสะดุดตา แถมบุคลิกภาพภายนอกยังดูเรียบร้อย ใสซื่อ ที่สำคัญคือเป็นกันเอง เธอจึงเป็นเด็กสาวที่ชายหลายต่อหลายคนหมายมั่นตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนเลยทีเดียว

แต่นั่นก็ทำให้ทัตเป็นกังวลอยู่ แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันเลี่ยงไม่ได้เพราะมันก็เป็นมาตั้งแต่ตอน ม.ต้น แล้ว นั่นเพราะตอนนี้ทุกคนยังไม่รู้ว่าพิมนอกจากจะหน้าตาดีแล้วยังเป็นคุณหนูอยู่บ้านรวยสุด ๆ อีก ซึ่งถ้าทุกคนรู้เข้าอาจจะมีพวกแปลก ๆ มาข้องแวะก็ได้

“ทัต… ทัต!”

“หืม?”

ทัตที่กำลังคิดกังวลอะไรบางอย่างอยู่ในหัวคนเดียวจนเกือบจะจมดิ่งไปกับมันถูกเรียกสติโดยพิม แล้วดูเหมือนทุกคนจะกำลังมองเขาอยู่ ซึ่งก็เพราะพิมที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเรียกเขานั่นแหล่ะ

ยังไงก็ตาม เพราะกำลังคิดอะไรคนเดียวจนเหมือนกับเหม่ออยู่ ทัตจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทำไมทุกคนถึงสนใจเขานัก

“ทุกคนเขาอยากรู้น่ะ ว่าว่าง ๆ นายทำอะไรบ้าง”

พิมตอบคำถามในใจของทัตได้ยังกับอ่านใจ แต่จริง ๆ มันก็ไม่ได้ยากเกินความคาดเดานักหรอกว่าทัตคงไม่รู้ว่าคนอื่นกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่

ยังไงก็ตาม นั่นช่วยได้มากเลย… ทัตขอบคุณพิมในใจอย่างนั้น

“ก็ดูหนัง ดูการ์ตูนแล้วก็อ่านนิยายนั่นแหล่ะ” ทัตตอบแบบขอไปที เพราะเขาอ่านบรรยากาศรวมถึงสีหน้าของพวกผู้ชายแล้ว ดูยังไงพวกนั้นก็ดูอยากฟังเรื่องของพิมมากกว่าเรื่องของผู้ชายด้วยกัน ก็เลยพูดให้จบ ๆ ไป

แต่น่าแปลกที่ดันมีคนสนใจต่อบทสนทนาด้วย…

“โห… ผู้ชายอ่านนิยายด้วยเหรอเนี่ย หายากเหมือนกันนะ” คน ๆ นั้นก็คือมิ้นที่เริ่มท้าวคางมองทัตด้วยความสนใจขึ้นมา

“มันไม่ได้แปลกขนาดนั้นหรอก… ไลท์โนเวลเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็อ่านกัน” ทัตพยายามตอบแบบขอไปทีอีกครั้ง เพราะอยากจบบทสนทนา แต่ดูเหมือนคำตอบของทัตจะยิ่งทำให้มิ้นตื่นเต้นเข้าไปอีก หากนี่เป็นในการ์ตูน ตาของมิ้นคงมีประกายวิบวับขึ้นมาแล้ว

“อะไรกัน? เป็นไอ้ที่เขาเรียกว่าโอตาคุหรอกเหรอ? งั้นอาจจะคุยถูกคอก็ได้นะเนี่ย!” แถมดูเหมือนเธอจะเป็นพวกเดียวกันอีก

ทัตที่อยากจะจบบทสนทนาเร็ว ๆ จึงกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองไปแทนเสียอย่างนั้น

“เธอจะเหมารวมทุกคนที่ชอบอ่านการ์ตูนหรือนิยายญี่ปุ่นว่าเป็นโอตาคุไม่ได้หรอกนะ… แต่เอาเป็นว่าฉันเข้าใจที่เธอพูดอยู่”

“ก็นั่นแหล่ะ! ที่ฉันจะพูดก็คือเราเป็นพวกเดียวกันไง?”

“ก็คงงั้นแหล่ะนะ”

ทัตที่รู้ว่าขืนคุยกันต่อมันจะเป็นการคุยระหว่างสองคนมากกว่าคุยแบบกลุ่มก็เลยไม่พูดอะไรต่อแล้วตัดบทสนทนาเอาเสียดื้อ ๆ แบบนั้น

อนึ่ง ใจจริงเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่อยากคุยต่อนักหรอก เพราะการได้เจอเพื่อนที่สนใจในเรื่องเดียวกันนั้นมันเป็นเรื่องยากมาก ๆ

แต่สาเหตุที่ทัตต้องหยุดทำแบบนั้นเสียก่อนเพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีบรรยากาศบางอย่างกดดันเขาอยู่

เป็นบรรยากาศคุกรุ่นที่มีแต่เขาที่สัมผัสได้ว่าแผ่มาจากทางพิม อันเกิดจากการที่เธอมองมาทางเขาด้วยตานิ่วคิ้วขมวดแถมยังทำแก้มป่องนิด ๆ เหมือนแง่งอนอะไรบางอย่างจนทัตรู้สึกกลัวว่าอาจจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับเขา? ทัตก็เลยรีบปัดภัยให้พ้นตัวเสียก่อนด้วยการตัดบทสนทนากับมิ้น

“จะว่าไปพิมกับทัตเนี่ย รู้จักกันมาก่อนเหรอ?”

คำถามที่ทัตไม่อยากจะถูกถามที่สุดถูกถามออกมาโดยกล้าที่ดูเหมือนจะสังเกตทัตมาสักพัก แล้วดูเหมือนผู้ชายคนอื่นอย่างพลและหนุ่มเองก็สงสัยอย่างเดียวกันเลยจ้องเขม็งมาที่ทัตกันใหญ่

แต่ยังไง ถ้าได้รู้จักกันไปสักวันก็ต้องรู้อยู่แล้วทัตเลยไม่มีเหตุให้ปิดบัง

“ใช่… เป็นเพื่อนกันตอน ม.ต้น น่ะ”

“เป็นเพื่อนในห้องเดียวกันน่ะ กับแพรด้วยนะ!”

พิมรีบอาศัยจังหวะที่ทัตพูดจบยืดตัวพูดขึ้นต่อเนื่องในทันที พร้อมกับชี้ไปทางแพรที่เป็นเพื่อนสนิทของตัวเองด้วย แม้ท่าทางของเธอจะดูภูมิใจเสนอเพื่อนตัวเองแบบสุด ๆ แต่มันก็ดูร้อนรนแบบแปลก ๆ เช่นกัน เห็นได้ชัดจากการที่ดึงแพรมาร่วมบทสนทนาด้วย ซึ่งสาเหตุของความร้อนรนนั้นคงมีแค่เจ้าตัวกับทัตเท่านั้นแหล่ะที่รู้สาเหตุ

แต่การกระวนกระวายมากเกินไป บางทีมันก็ทำให้คนอื่นจับสังเกตได้เหมือนกัน อย่างเช่นหนุ่มที่ตะขิดตะขวงใจมาตั้งแต่เมื่อเช้า

“จะว่าไป ฉันจำได้ว่าเมื่อเช้าพิมกับทัตมาถึงห้องเรียนพร้อมกันเลยนะ” เขาก็เลยเปิดประเด็นแบบนั้นด้วยการประสานมือกันวางเท้าคางจริงจังยังกับจะเริ่มการสืบสวนสอบสวน ทำเอาพิมเกือบจะสำลักน้ำเลยทีเดียว แต่นั่นยังไม่มากเท่ามิ้นที่กำลังจะถามต่อจากหนุ่ม

“เห… เป็นประเด็นที่น่าสนใจดีนี่นา มันมีอะไรในกอไผ่รึเปล่าน้า”

ประเด็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่นทุกยุคทุกสมัย มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ทุกคนจะทำตาเป็นประกายแล้วยืดตัวเข้าหาพิมกันหมดเมื่อได้ยินมิ้นเปิดประเด็นแบบนั้น

ยังไงก็ตาม… สำหรับคนที่เป็นเป้าบทสนทนาแล้วคงพูดได้แค่ว่ารู้สึกลำบากใจเท่านั้น แม้แต่ทัตเองก็ยังกอดอกขมวดคิ้วแน่นเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่อยากคุยเรื่องนี้ อาจเพราะแบบนั้นเลยกลายเป็นว่าสายตาทุกคนไปจับจ้องที่พิมแทน จนพิมเผลอกลืนน้ำลายเลยทีเดียว

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่าทุกคน… เราก็เป็นเพื่อนกันนั่นแหล่ะ” แต่ถึงแบบนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะตอบคำถามไม่ได้

แต่สำหรับมิ้นที่หวังจะได้คำตอบอย่างอื่นแสดงท่าทางผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัดจนเอาหน้าฟุบลงไปกับโต๊ะและได้แต่บ่นอิดออดว่า ‘อะไรกัน’ อย่างเสียดาย

ในขณะที่พล หนุ่มและกล้าที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็กำหมัดดีใจแสดงชัยชนะอยู่ใต้โต๊ะกันหมด

หวังอะไรจริง ๆ สินะเจ้าพวกนี้… ทัตบ่นแบบนั้นอยู่ในใจ แม้อยากจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันไม่เหมาะไม่ควร

รวมถึงเรื่องที่ทัตเห็นแก่พิม ที่พยายามตอบกลับแบบนั้นทั้งที่เขาเองก็สังเกตเห็นว่าเธอไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องนี้เท่าไหร่นัก และขืนเป็นอย่างนี้ต่อบทสนทนาคงจะไม่พ้นขยายประเด็นนี้ต่อแน่ ๆ ทัตคิดแล้วคิดอีกเพื่อหาวิธีเบี่ยงประเด็นแล้วก็นึกขึ้นได้อย่างนึง

“จะว่าไป เธอบอกว่าต้องกลับบ้านก่อนห้าโมงครึ่งใช่ไหมนะ?”

“ใช่แล้วล่ะ! ทำไมเหรอ————วะ หวา!” พอทัตเตือนแบบนั้น มิ้นก็สะดุ้งโหยงในทันทีหลังกดหน้าจอโทรศัพท์แล้วมีเวลาแสดงอยู่บนนั้น

เพราะเวลาปัจจุบันมันจวนจะถึง 17.45 น. เข้าไปแล้วนั่นเอง

“ทำไมถึงไม่รีบบอกกันล่ะ!” มิ้นบ่นไปเก็บของลงกระเป๋าไป ดูท่าจะรีบจริง ๆ เพราะมันสุ่มเสี่ยงที่รถสายจะหมดเอาได้หากว่าเวลาผ่านพ้นช่วงดึกไป

“อย่ามาว่าฉันสิ ไม่ใช่ความผิดของเราซะหน่อย”

แต่แน่นอนว่าการไปโทษคนอื่นมันไม่ถูก และดูเหมือนพลจะไม่ใช่พวกที่ยอมถูกว่าทิ้งท้ายเอาง่าย ๆ ถึงได้ตะโกนสวนกลับไปแบบนั้น

อย่างไรก็ดี ตอนนี้ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่มิ้นที่กำลังรีบกลับบ้านกันหมดจนลืมเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท ซึ่งถ้าพูดถึงผลลัพธ์แล้วมันก็เป็นไปตามที่ทัตต้องการ เขาเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกอยู่คนเดียว

ไม่สิ… ดูเหมือนนอกจากเขาแล้ว จะมีอีกคนที่รู้ว่าทัตพยายามเปลี่ยนเรื่องอยู่ ซึ่งคน ๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพิมนั่นเอง เธอถึงได้ยิ้มแฉ่งให้ทัตในจังหวะที่มั่นใจว่าไม่มีใครมองอยู่ เหมือนกับจะบอกว่า ‘ขอบคุณนะ’ แทนภาษาพูดยังไงอย่างนั้น

…น่ารักซะจริงน้าแม่คุณ

ถูกผู้หญิงมอบรอยยิ้มให้ ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่ดีใจอยู่แล้ว แม้แต่ทัตเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน

เขาถึงได้พยายามหลบใบหน้าที่ตอนนี้เหมือนจะร้อนและแดงก่ำขึ้นมานิดหน่อยไม่ให้ใครเห็น แต่อย่างไรเสีย มันก็ไม่รอดพ้นไปจากสายตาของพิมอยู่ดี

❖❖❖❖❖

เพราะการต้องรีบกลับบ้านของมิ้น เลยประจวบเหมาะกับเวลาที่ควรจะออกจากร้าน ทุกคนก็เลยถือโอกาสลุกไปคิดเงินพร้อม ๆ กันเลย ด้วยเหตุนั้นหลังมิ้นรีบแยกตัวกลับบ้านไป ทุกคนเลยกำลังคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ

“จะว่าไปแล้ว นี่มันก็ค่อนข้างมืดแล้วด้วยสิ” แพรพูดแบบนั้นหลังแหงนมองท้องฟ้าที่สีเหลืองเริ่มหมดไปแล้วทดแทนด้วยความมืด การแสดงความกังวลออกมาก็สมกับที่เป็นเด็กผู้หญิงทั่วไปดี

พิมรู้ดีกว่าใครว่าแพรเป็นคนที่ค่อนข้างขี้กังวล ยิ่งในวันแรกของการเปิดเทอมเธอคงไม่อยากทำอะไรมาก ต่อให้ไปเที่ยวต่อทั้งอย่างนี้เธอคงไม่สนุกเท่าไหร่ เธอเลยปรบมือเข้าด้วยกันเหมือนเรียกทุกคนให้ฟังเธอ

“นั่นสินะ งั้นวันนี้เอาไว้เท่านี้ก่อนดีกว่าเนาะ” ก่อนจะเสนอแบบนั้นออกมาด้วยรอยยิ้ม

แต่ดูเหมือนพวกผู้ชายที่คิดว่าจะได้ลั่นล้ากันต่อจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ พวกเขาแสดงออกทางสีหน้าอ่านได้ง่าย ๆ เลยว่า “เสียดายชะมัด ยังอยากคุยกับพิมอีกจัง” ไม่ผิดไปจากนี้

ทัตเองก็เห็นด้วยว่าควรจะปฏิเสธให้ชัดเจนเลยคิดจะช่วยอีกแรง (แต่ที่จริงเขาก็แค่อยากจะรีบกลับหอเท่านั้น)

“เอาน่าพวกนาย วันนี้เพิ่งจะแค่วันแรกเอง” ทัตจึงพยายามปลอบใจแบบนั้น

“รู้แล้ว ๆ ฉันไม่งอแงเหมือนเด็ก ๆ หรอกน่า” พลตอบกลับแบบนั้นพร้อมกับยักไหล่ยิ้มแห้ง ๆ

ในจุดนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ก็เลยต้องยอมทำตามที่พิมบอก พอเห็นว่าทุกคนเชื่อฟังตัวเองดีแล้วพิมก็พยักหน้าอย่างพอใจ

ส่วนทัตที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจเสียออกนอกหน้าเลยทีเดียว อดไม่ได้ที่จะทำให้พิมรู้สึกหงุดหงิดแง่งอนอีกครั้ง

“ถ้างั้นก็ แยกกันกลับล่ะนะ” ด้วยเหตุนั้น พอได้จังหวะทัตก็รีบโบกมือลาทุกคนในทันที

“อ๊ะ! คิดจะหนีจริง ๆ ด้วย!”

“เปล่าซะหน่อย”

ณ จังหวะนี้ ต่อให้พิมทำแก้มป่องแง่งอนหงุดหงิดใส่จนหน้าแดงทัตก็ไม่ยอมอีกแล้ว แต่ถึงเธอจะทำแบบนั้นใส่ทัตก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะโกรธเขาแต่อย่างใด เพราะเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นตลอดอยู่แล้วตั้งแต่สองคนนี้รู้จักกันตอน ม.ต้น

และถึงจะถูกจ้ำจี้จ้ำไชตลอด แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ มันก็แค่ช่วงแรกเท่านั้นที่ทัตรู้สึกรำคาญเธอ

หลังจากที่ได้รู้จักกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้นและรู้เหตุผลส่วนตัวของกันและกัน ทำให้เกิดการยอมรับและเป็นเพื่อนกันได้ และที่สำคัญที่สุดที่ทัตปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือเรื่องที่เธอเป็นส่วนเติมเต็มที่ขาดหายไปของเขา แม้จะแทนที่ครอบครัวไม่ได้แต่ก็สามารถทดแทนกันได้ในรูปแบบอื่น นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เขารู้สึกพิเศษกับเธอ

หลังจากนี้คงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกมากเพราะมันเป็นแค่วันแรกเท่านั้น แถมจากการเริ่มต้นในวันนี้ที่พิมพยายามลากเขาเข้าไปรู้จักกับเพื่อนใหม่เอง มันก็อาจทำให้ทัตเปลี่ยนทัศนคติจนเริ่มเข้าหาผู้คนอีกครั้งก็ได้ใครจะไปรู้ มันถึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทัตจะคาดหวังว่าการเริ่มต้นของชีวิต ม.ปลาย จะเป็นการเริ่มต้นอะไรหลาย ๆ อย่างนับจากนี้

เขาถึงได้เผยยิ้มออกมา แม้กระทั่งตอนที่โบกมือลาพิมและผองเพื่อน นั่นทำให้พิมแปลกใจแต่ก็รู้สึกดีใจเหมือนกัน และไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อ แต่ความสนุกในวันนี้คงจะจบลงเท่านี้

ในชั่วพริบตาที่ช่วงกลางคืนได้มาถึงอันเป็นเวลาที่ตะวันลับขอบฟ้าจนลับตา… ทุกคนต่างก็คิดแบบนั้น

พรึ่บ!!!

“!?”

ทว่าในจังหวะนั้นเอง ทัต พิมและทุกคน ไม่แม้แต่คนบนท้องถนนต่างก็ต้องหยุดเท้าของตัวเองกันหมดเมื่อสัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่างที่เพิ่งบินผ่านศีรษะเหนือตึกไปด้วยความเร็วสูง มันบินต่ำจนกระแสลมพัดไปทั่วทำเอาคนส่วนใหญ่ตกใจกันหมด ไม่แม้แต่แพรที่ขี้กังวลยังเผลอสะดุ้งกรีดร้องเพราะนึกว่ามีเครื่องบินตกเลยทีเดียว

ตึง!!!

ข่าวดีคือสิ่งนั้นมันไม่ใช่เครื่องบิน เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถกระพือปีกร่อนลงกลางถนน ขนาดของมันใหญ่พอจะขวางไม่ให้การจราจรดำเนินไปตามปกติได้เลย รถยนต์บนถนนทุกคนถึงจำเป็นต้องหยุดกันหมดเพราะการมาของมัน

มันไม่ใช่นกเพราะมีขนาดสูงใหญ่พอ ๆ กับตึกสองชั้นครึ่ง แถมลำตัวยังมีเกล็ดสีแดงซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสัตว์เลื้อยคลานอีก

ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ทั้งนกและกิ้งก่า… แต่คือมังกร

“นั่นอะไรกันน่ะ”

“อย่าบอกนะว่าเขาถ่ายหนังกันอยู่?”

“เวลาแบบนี้อ่ะนะ? กล้องก็ไม่เห็นมีเลย”

พล กล้าและหนุ่มมองหน้ากันสลับกับเจ้ามังกรที่หายใจและหันไปมองรอบ ๆ อย่างเป็นธรรมชาติอยู่กลางท้องถนน มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะคิดว่าเป็นการถ่ายหนังก่อนเรื่องอื่น เพราะในความเป็นจริง มังกรมันไม่มีอยู่จริง

ยังไงก็ตาม ทัตกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีถึงความสมจริงแบบแปลก ๆ นี้จึงวิ่งกลับไปรวมกลุ่มกับพิม

ในช่วงเวลานี้รถยนต์มีจำนวนที่บางลงก็จริง แต่พอถูกขัดจังหวะด้วยการมาของมังกรปริศนาก็ย่อมทำให้รถติดเป็นธรรมดา ในบรรดารถหลาย ๆ คันมีทั้งคนที่สับสนและไม่สนใจ

รวมถึงมีคนที่กำลังไม่พอใจเรื่องบ้า ๆ แบบนี้อยู่ด้วย พวกเขาถึงเริ่มกดแตรไล่เจ้ามังกรนี่ไม่ว่ามันจะเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากหรืออะไรก็ตามที พวกเขาไม่ทนอีกต่อไปแล้ว

โดยหารู้ไม่ ว่าการทำแบบนั้นมันจะเป็นการยั่วโมโหและกดดันสัตว์ที่กำลังสำรวจอยู่

ก๊าซซซซ!!!!!!!

เจ้ามังกรคำรามเสียงดังลั่น เสียงนั้นดังจนทุกคนต้องยกมือปิดหู นอกจากนี้มันยังปล่อยคลื่นเสียงรุนแรงจนกระจกรอบบริเวณแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปหมดทั้งกระจกรถยนต์ใกล้ ๆ กระจกของตึกที่ตั้งอยู่ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแหลกเป็นชิ้น ๆ

และดูเหมือนเพียงแค่นั้นจะไม่อาจคลายความโกรธของมันลงได้ เพราะถัดจากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปหารถคันที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วงับใส่เต็มแรงจนรถยนต์ขาดครึ่ง เสียงกรีดร้องของคนขับดังมาจากด้านในตัวรถเพียงชั่วครู่ก็หยุดลงเหลือแต่เลือดที่สาดกระเซ็นเต็มภายในรถ

ไม่เพียงเท่านั้น เจ้ามังกรยังคาบรถยนต์คันดังกล่าวแล้วเหวี่ยงออกไปด้านข้างพุ่งเข้าใส่ชั้นสองของตึกที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ แล้วพริบตาที่รถยนต์กระแทกเข้ากับตัวตึกก็เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังลั่น

ตู้ม!!!!!

เสียงรถยนต์ระเบิดดังไปไกลหลายช่วงตึก ซึ่งนั่นมากพอที่จะทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักแล้วว่านี่เป็นสถานการณ์อันตราย ความหวาดกลัวเข้ามาแทรกใบหน้าอันสับสนของทุกคน และเท้าของพวกเขาก็เริ่มวิ่งหนีออกห่างจากเจ้ามังกรตัวนั้นกันหมด

ในขณะที่เจ้ามังกรตัวนั้นยังคงกระทืบใส่รถยนต์คันที่อยู่ใกล้ ๆ ต่อไปจนท้องถนนแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิง

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ยังกับเป็นฝันร้ายยังไงอย่างงั้น และตอนนี้สำหรับทัต พิม รวมถึงทุกคนที่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ภาวนาให้มันเป็นฝันร้าย ทั้งที่สัมผัสได้ทั้งกลิ่นคาวเลือดอันสมจริงและความร้อนระอุของเปลวเพลิงที่สะกิดผิวกาย

แม้ยากที่จะเชื่อและยอมรับ แต่ความจริงมันก็แสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้านี้แล้ว

ความจริงที่ว่าในวันแรกของชีวิตมัธยมปลายที่ควรจะสดใส มันกลับเริ่มต้นด้วยการมีมอนสเตอร์โผล่ออกมากินคนหลังเลิกเรียน

❖❖❖❖❖