หลังจากได้เห็นการปรากฏตัวของมังกรที่เริ่มทำลายทุกสิ่งอย่างบ้าคลั่ง ทุกอย่างก็ดูเลวร้ายไปหมด

ทั้งท้องถนนที่อาบน้ำมันจากรถยนต์จนแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิง ตึกรามบ้านช่องที่พังทลายจนไม่เหลือเค้า ภาพราวกับเกิดภัยพิบัตินั้นอยู่ตรงหน้าของทัต พิมและเพื่อนร่วมชั้น ทำเอาพวกเขาหลาย ๆ คนตั้งสติไม่ถูกได้แต่ยืนขาแข็งทื่อ

และคนที่ได้สติก่อนใครเพื่อนก็คือทัต

“ทุกคน” เขาถึงพยายามเรียกทุกคน แต่พวกเขาก็ยังยืนอึ้งกันอยู่

“ทุกคน!!!!”

ต้องใช้เสียงที่ดังมากขึ้นสองเท่าตัว ทุกคนถึงสะดุ้งและได้สติ แต่ท่าทางของพวกเขาก็ดูจะสับสนเต็มทีซึ่งในสถานการณ์ที่เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้แบบนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา

แต่ในขณะเดียวกัน การยืนบื้อก็มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยง ในสถานการณ์แบบนี้ยังไงก็ต้องรีบตั้งสติและวิเคราะห์หาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน

ทัตคิดได้แบบนั้นก็รีบจ้ำอ้าวไปคว้ามือของพิมไว้ก่อนใครทันทีเพราะคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ถ้าเธอยอมเป็นศูนย์กลางล่ะก็ ทุกคนจะต้องฟังคำสั่งของเธอแน่ ทัตจึงมองเข้าไปในดวงตาที่กำลังสั่นกลัวของพิมด้วยความเชื่อมั่นและจริงจัง

“ยืนอยู่กลางแจ้งแบบนี้ไม่ดีแน่! ยังไงตอนนี้ก็ต้องรีบหาที่หลบสักที่นึงก่อน” ทัตเสริมแบบนั้น พยายามกดเสียงตัวเองให้ต่ำเพื่อไม่ให้ใครรวมถึงพิมเห็นว่าเขาเองก็ตกใจกลัว

และก็เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้พิมทำแบบเดียวกัน

ซึ่งได้ผลอย่างงดงาม… พิมเห็นแบบนั้นก็รีบสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะถอนออกจนหมดเพื่อตั้งสติของตัวเองใหม่ แล้วค่อยหันไปทางทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง

“จริงอย่างที่ทัตว่านั่นแหล่ะ! ยังไงตอนนี้ก็ต้องหาที่หลบกันก่อน จากนั้นค่อยโทรขอความช่วยเหลือ!”

พิมตะโกนแบบนั้น และไม่ทำเพียงแค่บอกเพื่อนกลุ่มตัวเองเท่านั้น แต่ยังบอกไปถึงคนเดินถนนที่กำลังสับสนและไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ให้หนีไปจากที่นี่อีกด้วย

“ทุกคนตามมา!”

พิมพูดจบแล้วก็วิ่งนำออกไปคู่กับทัต แม้จะยังไม่มีจุดหมาย แต่ยังไงสำหรับตอนนี้ก็ต้องวิ่งทิ้งระยะห่างจากเจ้ามังกรที่ดูท่าจะอันตรายที่สุดนั่นก่อน

ทั้งแพร พล หนุ่มและกล้าเองก็เห็นพ้องตามนั้นจึงถีบพื้นเร่งฝีเท้าวิ่งตามพิมกับทัตไปติด ๆ

“แล้วจะไปซ่อนที่ไหนกันล่ะ!” พลตะโกนถามจากทางด้านหลัง แต่ถึงถามแบบนั้นทั้งทัตและพิมก็ยังไม่มีคำตอบให้ พวกเขาถึงขมวดคิ้วแน่น

อย่างไรเสีย การคิดหาทางออกในสถานการณ์คับขันแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้วถ้าไม่ได้ถูกฝึกรับมือหรือเคยเจอเรื่องแบบเดียวกันนี้มาก่อน

สถานการณ์แบบนี้คงต้องไปพึ่งสถานที่ราชการที่ใกล้ที่สุด… แต่โรงเรียนก็อยู่ใกล้กับไอ้มังกรนั่นมากเกินไป

สถานีตำรวจก็เป็นทางเลือกที่ดี… นอกเหนือจากนั้นก็คือสำนักงานเขต… ทั้งสองที่อยู่ใกล้สุดในละแวกนี้

…ถ้างั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นดีไปกว่านี้แล้ว

ทัตพยายามทำหัวให้เย็นลงแล้วก็ได้คำตอบแบบนั้นออกมา ยังไงสถานการณ์นี้ก็คงต้องพึ่งตำรวจไว้ก่อน

“สถานีตำรวจดีไหม”

“เข้าใจแล้ว วิ่งไปจนถึงแยกข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้ายเลย!” พิมพยักหน้าเห็นด้วยกับทัต เขาได้ยินดังนั้นจึงออกวิ่งเลาะกำแพงนำไปก่อน

จนถึงตอนนี้ก็ยังมีผู้คนวิ่งหนีตายมาจากมังกรเป็นทางเดียวกันกับพวกทัตอยู่ มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นพัก ๆ ในจังหวะที่เกิดเสียงระเบิดจากรถยนต์ที่มังกรมันทำลาย

ยังไงก็ตาม พอวิ่งมาจนเกือบจะพ้นแยกข้างหน้าที่พวกทัตต้องเลี้ยวซ้าย ทัตก็เริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ นั่นคือทางแยกซ้ายข้างหน้าเองก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาเหมือนเจอสถานการณ์เดียวกัน

ตอนแรกทัตก็คิดว่าคนพวกนั้นอาจจะแค่ได้ยินเสียงระเบิดจากทางที่มังกรมันอยู่ก็เลยตกใจกลัว แต่หลังจากที่เห็นว่ามีคนวิ่งหนีออกมาจากทางฝั่งซ้ายด้วย ทัตก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว

“อะไรอีกวะเนี่ย!”

พอทุกคนพ้นแยกมากันหมดแล้ว สิ่งที่เห็นหลังมองออกไปก็คือ กลางถนนของแยกนี้เองก็กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์คล้าย ๆ กัน

โฮก!!!!!

เสียงคำรามลั่นของสัตว์อีกชนิดดังขึ้นมาจากทางนั้น และรุนแรงพอ ๆ กับครั้งของมังกร

ด้วยระยะห่างนี้ ทัตเหมือนเห็นมนุษย์ยักษ์ผิวสีเขียวอ่อนที่มีตาเดียวถือตะบองเหล็กอยู่กลางถนนสามตัว รูปลักษณ์ของพวกมันทำให้นึกถึงภาพของอสูรกายยักษ์ตาเดียวไซคลอปส์ ขนาดของมันเองก็ใหญ่พอ ๆ กับมังกรที่ปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อกี้ แต่ถ้าเทียบกันทางด้านของจำนวนแล้ว บอกเลยว่าเลี้ยวซ้ายนี้หายนะยิ่งกว่า

“บ้าเอ้ย! นั่นมันสถานีตำรวจไม่ใช่เหรอ!” กล้าตะโกนเสียงสั่นหลังมองไปยังที่ตั้งของเป้าหมาย ทำให้ทุกคนเองก็หันไปมองตาม

“ไม่จริง…”

แพรเบิกตาโพลง ไม่ต่างจากทุกคนที่ได้เห็นสถานีตำรวจที่พังเละเป็นซากตั้งแต่รั้วเหล็กไปจนถึงตัวตึก แถมยังถูกไฟไหม้ลามเกือบหมดทั้งตึกไปแล้ว

ด้านนอกของสถานีตำรวจเองก็มีตำรวจในชุดเครื่องแบบวางกองกำลังใช้รถยนต์เป็นที่กำบังแล้วพยายามใช้ปืนพกรุมยิงใส่ไซคลอปส์ตัวนึงอยู่ แต่มองจากระยะไกลยังเห็นเลยว่ามันไม่ได้ผล ไม่แม้แต่จะชะลอความเร็วของมันที่พุ่งง้างตะบองเข้าใส่ด้วยซ้ำ

ภาพถัดไปจึงไม่ใช่การที่พวกตำรวจใช้อาวุธจัดการพวกมันได้ แต่กลับกลายเป็นเจ้าไซคลอปส์ที่ใช้ตะบองในมือไล่ทุบพวกตำรวจจนแหลกเป็นชิ้น ๆ แทนอย่างน่าสังเวช

ความหวังของคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากตำรวจจึงพังทลายลงในพริบตา รวมถึงพวกทัตด้วย

ชิบหาย… ซวยของจริงแล้วตอนนี้! สภาพอย่างนี้ต่อให้เป็นตำรวจก็ไม่ไหวเหรอเนี่ย!?

แถมถ้าจะหันไปพึ่งฐานทัพทหารอย่างพวกกองบินที่ใกล้ที่สุดมันก็ไกลเกินไป

แล้วดูจากสถานการณ์ที่ไม่ได้มีแค่ไอ้มังกรนั่น แต่ยังมียักษ์ตั้งสามตัวอีกแบบนี้ คงต้องคิดในกรณีเลวร้ายไว้ก่อนเลยว่าคงไม่ได้มีแค่นี้

เผลอ ๆ ที่อื่นอาจจะมีมากกว่าหรือร้ายแรงกว่าด้วยซ้ำ

ทัตคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี เขาเองก็พยายามคิดเท่าที่จะทำได้ เพราะตอนนี้พิมที่กำลังสับสนต้องให้เขาเป็นที่พึ่ง ไม่อยากนั้นก็จะไม่มีใครนำ

ยังไงก็ตาม เหมือนเขาจะใช้เวลาคิดและยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไป… นานเกินพอที่จะทำให้หนึ่งในไซคลอปส์สังเกตเห็นแล้ววิ่งมาทางนี้ สาเหตุหลักเป็นเพราะคนเริ่มหนีมาทางนี้กันเยอะนั่นแหล่ะ ยังไงก็ตามมันไม่ใช่ผลดีกับพวกทัตแน่นอน

แถมไซคลอปส์ตัวนั้นมันยังง้างตะบองมาทางนี้แล้วด้วย ทุกคนที่กำลังหนีจึงยิ่งแตกตื่นเข้าไปอีกเมื่อเห็นมันพุ่งเข้ามาแบบนั้น ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกหวาดกลัวและตกใจจนเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันยิ่งกว่ารถแข่งฟอร์มูล่าวันเสียอีก

และสิ่งที่มันเล็งเอาไว้ คือกลุ่มคนจำนวนหลายสิบคนที่ห่างออกไปทางเบื้องหน้าของพวกทัตนี้เอง

“หลบเร็ว————”

เสียงตะโกนเตือนของทัตขาดหายไปเพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่ไซคลอปส์ทุบตะบองลงพื้น ความรุนแรงของการโจมตีของมันทำให้คนแถวนั้นกลายเป็นเศษเนื้อกระจัดกระจายในพริบตาเดียว พร้อม ๆ กับที่สร้างรอยแตกระแหงไว้บนถนนเป็นหลุมยุบลึกเกือบเมตรจากแค่การโจมตีเดียวของมัน

อุก…

พอได้เห็นเศษชิ้นเนื้อมนุษย์กระจัดกระจายกองตามท้องถนนด้วยระยะที่ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร ท้องไส้ของทัตก็เริ่มปั่นป่วน แต่ก็ต้องอดทนไว้ไม่ให้อาหารกลางวันออกมา

เจ้าไซคลอปส์เองก็ช่างไร้ความปราณี ไม่งั้นมันก็กำลังคลุ้มคลั่งหรือสนุกสนานกับการทำลายล้างอย่างเพลิดเพลิน เพราะหลังจากที่มันทุบแหลกไปเมื่อกี้แล้ว มันยังใช้มือข้างที่ว่างอยู่คว้ารถยนต์ใกล้ ๆ แล้วหันมาทางพวกทัตอีก คงไม่ยากแก่การคาดเดาว่ามันจะทำอะไร

พอทัตรู้แบบนั้น ร่างกายของเขาก็ออกปฏิกิริยาโต้ตอบไปก่อนใครเพื่อนแล้วก็พุ่งเข้าไปสวมพิมเข้ามาในอ้อมกอดพาเธอให้ก้มลงจนนั่งเกือบจะหมอบติดพื้น ร่างของพิมสั่นเทาด้วยความสับสนแต่ไร้การขัดขืน

แล้วพริบตาถัดมา รถยนต์คันเจ้าปัญหานั่นก็ถูกขว้างเข้ามายังจุดที่พวกทัตยืนอยู่ มันลอยผ่านเหนือหัวของทัตกับพิมเฉียดห่างไปไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดเท่านั้นจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว

ตู้ม!!!

แล้วมันก็ลอยลงไปกระแทกกับพื้นในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล ไม่สิ… พูดให้ถูกคือมันก็ตกลงใกล้ ๆ นี้แหล่ะ ทัตถึงได้รีบหันกลับไปดู

คนที่อยู่ใกล้ ๆ มีแพรที่ตัวสั่นนั่งย่ออยู่กับพื้นยกมือสองข้างปิดหูและปิดตาตัวเองแน่น กับพลที่นอนหมอบกับพื้น แต่กลับไม่เห็นวี่แววของกล้ากับหนุ่มเลยสักนิด

ไม่สิ… พอทัตสังเกตดูดี ๆ รถยนต์ที่ไซคลอปส์มันขว้างมานั้นตกอยู่ถัดไปจากแพรและพลนั่นแหล่ะ พอนึกย้อนไปมันคือจุดที่กล้ากับหนุ่มเคยยืนอยู่ ด้วยเหตุนั้น ข้างใต้ของซากรถยนต์จึงเป็นเลือดและร่างของพวกเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่แพรกับพลเองก็สังเกตเห็นเรื่องนั้นแล้วเหมือนกัน

กรี้ด!!!!!

เลือดที่กระเด็นมาติดร่างของแพรถึงทำให้เธอแทบจะเสียสติจนกรีดร้องออกมาดังลั่น

“อะไร!? เกิดอะไรขึ้น!?” พิมได้ยินเสียงกรีดร้องของเพื่อน เธอเลยอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นถึงพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของทัต

“แพรไม่เป็นไร แต่กล้ากับหนุ่ม…” แต่ทัตยิ่งออกแรงมากขึ้นไม่ให้เธอดิ้นหลุดแล้วใช้มืดปิดตาเธออีก

สำหรับทัต เขาก็คิดเพียงแค่ไม่อยากให้พิมเห็นภาพพวกนี้จนติดตาเข้าเท่านั้นแหล่ะ

ยังไงก็ตาม พอทัตตั้งสติได้ก็เห็นว่าเจ้าไซคลอปส์ตัวเดิมมันเริ่มอาละวาดอีกครั้ง แต่โชคดีคือมันเหวี่ยงตะบองทำลายรถยนต์แถว ๆ นั้นพร้อม ๆ กับเดินไปในทิศตรงกันข้าม ไม่ได้เดินเข้ามาทางนี้หลังจากที่โยนรถยนต์มาอีกเลย เพราะถึงแม้จะมีแพรที่เผลอลั่นกรีดร้อง แต่ฝั่งตรงข้ามนั้นมีคนที่กรีดร้องหนักกว่าแพรอยู่อีกมาก นั่นเลยอาจเป็นสาเหตุที่ทางนั้นน่าดึงดูดใจกว่าสำหรับเจ้าไซคลอปส์

ถ้าจะหาจังหวะหนี… ไม่มีจังหวะไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว

“ตอนนี้แหล่ะ รีบหนีเร็วเข้า พิมเธอพยายามอย่ามองรอบ ๆ นะ” ทัตใช้เสียงที่ทุกคนพอจะได้ยินเท่านั้น เพราะถ้ามันเกิดไปดึงความสนใจของไซคลอปส์กลับมามันจะแย่เอา

ทางด้านพิม พอทัตคลายแขนของตัวเองออกเธอก็รับเข้าไปดูอาการแพรในทันที ส่วนพลนั้นกำลังหายใจหอบหลังได้เห็นสภาพของกล้ากับหนุ่ม

“อย่าไปมองสิ”

“ระ รู้แล้วน่า!”

หลังทัตเตือนสติ พลก็สะดุ้งโหยง แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามหลบสายตาจากศพของกล้ากับหนุ่มที่เละไปแล้วอยู่

ในขณะที่พิมกำลังกอดแพรที่กำลังเสียขวัญเพื่อปลอบใจ ทัตก็อาศัยจังหวะนั้นสังเกตทางหนีทีไล่อีกครั้ง เขาเห็นว่าถนนสองเลนที่อยู่ข้าง ๆ ยังมีรถยนต์ที่คนส่วนใหญ่จอดทิ้งไว้ และถัดจากนั้นคือถนนฝั่งตรงข้ามที่มีซอยเล็ก ๆ ซึ่งมันจะนำไปยังซอยหลังโรงเรียนที่มีหอของทัตตั้งอยู่

และนั่นแหล่ะคือที่ซ่อนที่ทัตคิดว่าเหมาะที่จะไป

“หอพักของฉันอยู่หลังโรงเรียน ที่นั่นน่าจะซ่อนตัวได้จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง”

“ขะ เข้าใจแล้ว… ยังไงนั่นก็คงดีกว่าอยู่กลางแจ้งแบบนี้ล่ะนะ” พิมพยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบมาจากแพรที่เธอกอดอยู่กำลังสะอื้นรึเปล่า

“งะ งั้นหลบไปหลังรถแล้วค่อย ๆ ไปดีไหม” พลเสนอแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นกลัวเหมือนกัน

ยังไงก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ทัตตั้งใจจะทำอยู่แล้ว ทัตเลยพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำกลุ่มมา ตามด้วยพิมกับแพรและสุดท้ายคือพล

ทั้งกลุ่มก้มตัวต่ำและใช้รถยนต์ที่จอดทิ้งไว้กลางถนนเป็นจุดกำบังและค่อย ๆ ขยับตำแหน่งอย่างระมัดระวัง โชคเข้าข้างอีกครั้งเมื่อทุกคนสามารถข้ามไปยังถนนอีกฝั่งได้โดยสวัสดิภาพ แต่หลังจากนั้น จุดที่ยากคือพอขึ้นมาบนฟุตบาทแล้วมันไม่มีอะไรใช้เป็นที่กำบังได้อีก

ทัตเหลียวซ้ายเหลียวขวาอยู่พักหนึ่ง หลังมั่นใจแล้วว่าไม่อยู่ในระยะมองเห็นของไซคลอปส์แล้วก็ออกนำพร้อมบอกให้ทุกคนตามมา

“ฟู่…” ทัตถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกหลังทุกคนเข้ามาในซอยได้สำเร็จ

อย่างน้อยจังหวะนี้ก็พอจะให้ทุกคนพักหายใจหายคอได้

…ความจริงมันควรจะเป็นอย่างนั้น

“จังหวะนี้แหล่ะ! รีบไปต่อกันดีกว่————”

ในจังหวะที่ตัดสินใจได้แบบนั้นและหันกลับไปยังเส้นทางในซอยและตั้งใจจะเดินต่อ

เบื้องหน้าของพวกทัต ในจุดที่ห่างออกไปน่าจะเกือบร้อยเมตรได้… มีสุนัขขนสีดำสนิทตัวหนึ่งยืนอยู่ แต่ขนาดตัวของมันใหญ่กว่าปกติ แถมใบหน้าที่ดูดุร้ายมากกว่าเป็นมิตรกับมนุษย์ของมัน ถ้าจะให้เดาจากความรู้สึกและจากที่เคยเห็น มันน่าจะเป็นหมาป่ามากกว่าหมาบ้าน

ในสถานการณ์ที่มีทั้งมังกรและไซคลอปส์โผล่ออกมา คงเดาได้ไม่ยากเลยว่าหมาป่าที่ไม่ควรจะอยู่ในเมืองก็คงเป็นหนึ่งในพวกเดียวกับมันแน่

และโชคร้ายของพวกทัตก็คือ มันกำลังจ้องมาทางพวกเขาที่เพิ่งจะเข้าซอยมาได้ไม่นาน แถมยังค่อย ๆ เดินเข้ามาทางพวกเขาอย่างช้า ๆ อีกด้วย เห็นได้ชัดเลยว่ามันได้เหยื่อแล้ว

ครั้นจะหนีกลับไปทางเดิม ตอนนี้ไซคลอปส์มันก็กำลังลาดตระเวนอยู่แถวนั้นและใกล้เข้ามาทุกที สถานการณ์จึงถูกบีบให้เลือกแค่สองทางคือเผชิญหน้ากับไซคลอปส์หรือไม่ก็หมาป่าอย่างใดอย่างหนึ่ง

ซึ่งคำตอบมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าอย่างไหนมีโอกาสรอดมากกว่ากัน

ทัตคิดได้ดังนั้นจึงถอดกระเป๋าสะพายออกมาถือไว้ด้านหน้าในขณะที่โฟกัสไปที่การเคลื่อนไหวของหมาป่าที่อยู่ห่างออกไป

“จะสู้เหรอ!” ถึงสิ่งที่ทัตทำจะไม่ยากแก่การคาดเดา แต่พลก็ยังรู้สึกกลัวที่จะทำแบบนั้นอยู่ดี

“พวกเราไม่มีทางเลือกหรอก! ก็เห็นแล้วนี่ว่าไอ้ยักษ์นั่นมันทำอะไรได้บ้าง ถ้าหนีกลับไปทางเดิมก็มีแต่ตายกับตายนั่นแหล่ะ!”

ทัตตะโกนลั่นในขณะที่เหงื่อตกเต็มใบหน้า เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้และเขาเองก็กลัวไม่ต่างจากคนอื่นหรอก แต่ในสถานการณ์อย่างนี้คงหวังให้คนอื่นทำอย่างที่ตัวเองต้องการไม่ได้ กล่าวคือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนสถานเดียว

ยังไงก็ตาม… แม้ทัตจะไม่หวังให้มีคนคิดแบบเดียวกัน แต่ท้ายสุดก็มีคนพร้อมตามเขาไปในทุกสถานการณ์อยู่ดี

“ฉันก็จะเอาด้วย” พิมว่าแบบนั้นในขณะที่ถอดกระเป๋าสะพายออกมาถือไว้ด้านหน้าใช้ต่างโล่แบบเดียวกับที่ทัตทำ

“โอ้ย เอาก็เอาวะ!”

พลเห็นพิมทำแบบนั้นก็เลยไม่อยากเป็นคนเดียวที่งอมืองอเท้า เขาจึงทำแบบเดียวกันด้วย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามีนักเรียนสามคนใช้กระเป๋าสะพายเป็นดั่งโล่ป้องกันหมาป่าที่อยู่ห่างออกไป

แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลไหม แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าวิ่งเข้าไปปะทะด้วยตัวเปล่า ๆ ปลี้ ๆ อยู่แล้ว

แฮ่…

เจ้าหมาป่าเห็นท่าทางของพวกทัตว่าเป็นการแสดงการต่อต้าน มันจึงเริ่มทำเสียงขู่ในลำคอพร้อมกับแยกเขี้ยวให้เห็น ร่างและฟันของมันใหญ่เสียจนน่ากลัวแม้ว่าจะอยู่ห่างขนาดนี้ พวกทัตไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าหากถูกเขี้ยวนั่นกัดเข้าจะเป็นยังไง

มีเวลาหวาดกลัวได้สักพัก ของจริงก็เริ่มขึ้น

เจ้าหมาป่าได้จังหวะมันก็เริ่มควบเท้าวิ่งเข้ามาทางพวกทัตในทันที ด้วยความเร็วยังกับติดจรวดยังไงอย่างงั้น ทั้งสีหน้าที่มันแสดงให้เห็นและน้ำลายที่กำลังยืดสอแสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่ามันหิวกระหายขนาดไหน

ระยะห่างถูกร่นเข้ามาเรื่อย ๆ ขาของทัตที่นิ่งสงบมาตลอดก็เริ่มสั่นระรัวเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดพวกนี้ ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่รุนแรงถึงตาย

จนกระทั่งเจ้าหมาป่าวิ่งเข้ามาถึงจุดที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

“!!!?”

ทว่าพริบตาที่ย่นระยะมาจนถึงจุดที่ควรจะพุ่งเข้ามาตะครุบใครสักคน เจ้าหมาป่ามันกลับกระโดดขึ้นสูงจนข้ามศีรษะของทั้งทัต พิมและพลไปหมดเลย

มันไม่ได้เล็งเราเหรอ!? หมายความว่าไงกัน?

ทั้งสามคนก้มหมอบ แต่ในขณะเดียวกันก็หันมองตามการเคลื่อนไหวของเจ้าหมาป่า จนสุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าเป้าหมายที่มันเล็งเอาไว้แต่แรก ไม่ใช่ทัตที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วที่สุด หรือพิมและพลที่ยังมีใจสู้

…หากแต่เป็นคนที่ดูอ่อนแอที่สุดเพราะยืนตัวสั่นอยู่หลังสุดของกลุ่มต่างหาก

“แพร!!!”

พิมที่เห็นเจ้าหมาป่าตั้งใจจะกระโดดเข้าตะครุบแพรพยายามตะโกนเตือน แต่แพรที่กำลังยืนขาสั่นมาตลอดไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบได้ทัน ในพริบตาถัดมาจึงไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ ช่วยเหลือเธอได้

เพราะแบบนั้นเขี้ยวของเจ้าหมาป่าจึงฝังลงไปที่คอของแพรด้วยความเร็วที่ไม่มีใครตามทัน

“ช่วยด้————”

เสียงของแพรลอดออกมาจากลำคอก่อนจะถูกเจ้าหมาป่าตะครุบแล้วล้มลงหงายไปกับพื้น กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้าหมาป่า นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเสียงของเธอ

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในที่สุดหลังเกิดเหตุการณ์บ้า ๆ อย่างต่อเนื่อง… มันก็ทำให้มีคนสติหลุดจนได้

“ว้ากกก!!!!” นั่นคือพลที่ตะโกนเสียงดังลั่น

ตัวเขาตะโกนแบบนั้นก่อนจะโยนกระเป๋าสะพายในมือทิ้งแล้วก็วิ่งหนีเข้าซอยไปทั้งอย่างนั้น เขาสติหลุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือไม่งั้นก็คงฉลาดพอจะใช้จังหวะนี้ในการหนี แต่สำหรับคนที่กรีดร้องขาดสติคงเป็นอย่างแรกมากกว่ากระมัง

แต่ในขณะที่จังหวะเวลาแบบนี้ควรจะนึกถึงตัวเองก่อน พิมกลับเป็นห่วงแพรมากกว่าจะคิดหนี ทัตเองก็รู้จักพิมดีเขาจึงรู้ว่าพิมคงไม่ยอมหนีไปแน่หากไม่ช่วยแพรก่อน

เขาก็เลยใช้มือดันพิมไปด้านหลังแล้วตัดสินใจเข้าไปช่วยแพรเอง

แต่ก็ต้องกลืนน้ำลายเมื่อได้เห็นสภาพของเธอในตอนนี้… แม้จะเห็นไม่ชัดเพราะมองจากด้านหลังของเจ้าหมาป่า แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าแพรนิ่งไปแล้วตั้งแต่การฝังเขี้ยวในจังหวะแรก แถมตอนนี้เจ้าหมาป่ามันก็ฉีกเนื้อของแพรกินไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีเสียงกรีดร้องจากเธอออกมาอีกเลย

ผลลัพธ์จึงเป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่าสายเกินไป

ทัตเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะไม่ขัดจังหวะมื้ออาหารของเจ้าหมาป่า แล้วเลือกที่จะจับมือพิมหนีออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเป็นการดีกว่า

“เดี๋ยวก่อนสิ! แล้วแพรล่ะ”

“แพรไม่รอดแล้ว”

ทัตตอบกลับสั้น ๆ ในจังหวะที่พิมพยายามหันกลับไปมองก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้มากยิ่งขึ้น เพราะมันคงไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ที่ต้องเห็นเพื่อนตัวเองโดนกินและทัตไม่อยากให้พิมรู้สึกแบบนั้น

ยังไงก็ตาม สำหรับเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ ม.ต้น ถึงจะไม่เห็นร่างของเธอ แต่พอรู้ว่าเธอจากไปด้วยความทรมานและจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว สำหรับเด็กผู้หญิงมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจจนเกินกว่าจะรับไหว มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พิมจะหลั่งน้ำตาสะอึกสะอื้น

ในสถานการณ์นี้ เธอยิ่งต้องการทัตมากกว่าเดิม และทัตเองก็คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะมีแต่เขาที่ยังคงสติอยู่ได้ และไม่รู้ว่าจะทำได้อีกนานไหม

เขาจึงใช้สติและพลังกายที่เหลือรีบจับมือพิมวิ่งหนีจากจุดนั้น พอพ้นปากซอยแล้วก็รีบมองหาจุดหมายใหม่

แต่แล้วก็เจอกับภาพน่าสะพรึงเสียก่อน… ไม่สิ… เรียกว่าสิ้นหวังน่าจะถูกกว่า

เพราะบนท้องถนนสองเลนหลังผ่านซอยนี้ไป บนตึก ในรั้วบ้านหลายหลัง ต่างก็มีสัตว์ประหลาดต่างชนิดทำลายข้าวของออกไล่ล่ากินคนเหมือนกันเต็มไปหมด ทั้งหมาป่า กิ้งก่ายักษ์ หรือจำพวกแมลงขนาดยักษ์อย่างผึ้งหรือต่อที่มีส่วนสูงพอ ๆ กับเด็กประถม

จำนวนรวมแล้วเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว ทั้งจำนวนยังกระจัดกระจายอยู่ไปเสียทุกที่ เรียกว่าหันไปทางไหนก็เจอ คนทั่วไปก็เหลืออยู่น้อยเต็มที ยิ่งผ่านไปพวกมอนสเตอร์หรือสัตว์ประหลาดพวกนี้ก็ยิ่งฆ่าคนมากขึ้นเรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่ก็เอาแต่กรีดร้องวิ่งหนีตาย ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง

ความคิดที่จะสู้กลับจึงเริ่มหายไปเพราะดูยังไงก็คงไม่ไหว เห็นทีการหาที่ซ่อนให้ได้เร็ว ๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า

แย่ล่ะสิ… พวกมันมีมากกว่าที่คิดอีก

แบบนี้ไปไม่ถึงหอแน่!

ทัตเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าแล้วก็คิดได้ว่าต้องเปลี่ยนแผน เขาเลยพยายามมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง แต่ดูเหมือนพิมจะเห็นที่ดี ๆ ก่อนก็เลยกระตุกมือของทัตที่กุมมือเธออยู่เพื่อเรียกให้ดู

“ตรงนั้น!” พิมใช้มืออีกข้างชี้ไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ ถ้าวิ่งไปรวดเดียว ไม่นานก็ไปถึงได้

ถ้าเป็นที่ร้านสะดวกซื้อที่มีชั้นวางหลายอันซ้อนกันอยู่ น่าจะมากพอให้หลบซ่อนและหลบหลีกได้แม้ในกรณีที่อาจมีพวกมันหลุดเข้ามา แถมถ้าคับขันก็สามารถใช้ห้องของพนักงานหรือห้องเก็บของเป็นที่ซ่อนได้อีกต่อ จึงถือว่าไม่เลวเลยสำหรับใช้กบดาน

ทัตเห็นด้วยดังนั้นจึงพยักหน้ารับก่อนที่จะจับมือพิมวิ่งนำออกไปอีกครั้ง ทั้งสองคนรีบวิ่งสุดแรงเกิดผ่านทางเข้าของร้านเข้าไปข้างในได้สำเร็จ ต้องขอบคุณที่ประตูอัตโนมัติของร้านถูกทำลายไปก่อนแล้วเลยไม่ต้องเสียจังหวะรอ

พอผ่านเข้ามาในร้านได้ปุ๊บ ทัตก็ต้องทำให้มั่นใจว่าคนหรือสัตว์ประหลาดข้างนอกจะมองเข้ามาไม่เห็นจึงเดินนำพิมไปด้านหลังของชั้นวางอย่างน้อยก็ช่องที่สองตรงกลางของร้านแล้วก็นั่งลงตรงนั้นก่อน

หลังจากพักหายใจได้ครู่หนึ่ง… ทัตก็สังเกตเห็นว่าที่ตรงนี้เองก็มีคนนั่งตัวสั่นอยู่เหมือนกัน และไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพลที่วิ่งหนีมาก่อนนั่นเอง

“อ้าว…” ทัตจึงหันไปเอ่ยทัก ภายนอกแม้จะยังตื่นตระหนกอยู่แต่ก็คงไม่มากแล้วหากเทียบกับก่อนหน้านี้

ทางด้านของพลเองพอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นทัตกับพิมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเหมือนกัน

ยังไงก็ตาม หลังเจอศึกหนักมาสองสามครั้งติดอย่างต่อเนื่องจนไม่ได้หยุดพักหายใจ พอได้เข้ามาหลบในร้านได้แบบนี้คงเป็นครั้งแรกที่ได้พักหายใจหายคอจริง ๆ

ด้วยเหตุนั้น หลังจากผ่อนคลายได้สักพักก็คงมากพอจะทำให้ตั้งสติได้ และเริ่มเรียบเรียงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย? ไอ้สัตว์ประหลาดพวกนั้นมันตัวอะไรกัน?” พลเริ่มจากคำถามที่ยากที่สุด

เป็นคำถามที่ทุกคนสงสัยกันหมด… ทั้งทัตที่กำลังนั่งเอาหลังพิงชั้นวางอย่างเหนื่อยหอบหรือพิมที่นั่งชันเข่าและกอดเข่าตัวเองเอาหน้าฟุบลงไป ดูเหมือนเธอจะยังเจ็บปวดเรื่องที่แพรเพิ่งตายไปต่อหน้าต่อตาไม่หาย ทัตรู้เรื่องนั้นเลยให้เวลาเธอ แล้วหันไปคุยกับพลแทน

“อยู่ ๆ มันก็ออกมาแบบนั้นไม่มีใครรู้หรอก… แต่ที่แน่ ๆ คือพวกมันเป็นอันตราย”

“แหงล่ะ ก็พวกมันฆ่าทุกคนที่เจอหน้าเลยนี่หว่า!”

พลตะโกนขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด ในสถานการณ์แบบนี้คนส่วนใหญ่ก็อยากจะระเบิดอารมณ์ออกมากันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครอยากเป็นที่รองรับอารมณ์ของคนอื่นหรอก เพราะแบบนั้นทัตเลยขมวดคิ้วไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะทะเลาะกันตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง

แต่การที่พลตะโกนแบบนั้นมันทำให้พิมรู้สึกกลัว เธอที่กำลังนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่แล้วยิ่งสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตวาดของพล ทัตก็เลยต้องเอื้อมมือไปวางบนแผ่นหลังที่กำลังสั่นเทาของพิมเพื่อปลอบโยนเธอ

“ขะ ขอบคุณนะ”

เสียงสั่นระริกของพิมและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวแลสับสนของเธอ ทำให้ดูอ่อนแออย่างน่าเหลือเชื่อ ทัตไม่เคยเห็นพิมเป็นแบบนั้นมาก่อน แต่โชคดีคือพอได้ทัตปลอบใจตัวเธอก็ไม่สั่นอีกแล้ว

“ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ที่สำคัญคือต้องโทรขอความช่วยเหลือ” ทัตใช้โอกาสที่พิมได้สติให้เป็นประโยชน์และฝากหน้าที่นั้นให้เธอทำ ส่วนตัวทัตนั้นคิดว่าต้องไปสำรวจที่นี่ก่อน

“เดี๋ยวฉันจะไปดูรอบ ๆ นะ”

“งั้นฉันไปด้วย!”

พลเองก็ขอตามทัตไปด้วย แต่ท่าทางของเขาดูกระตือรือร้นมาก บางทีเขาอาจแค่อยากหาอะไรทำจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องของมอนสเตอร์พวกนั้น

ยังไงก็ตาม ทัตกับพลยังไม่ลืมว่าข้างนอกร้านสะดวกซื้อยังเต็มไปด้วยพวกมอนสเตอร์ พวกเขาจึงยังต้องระวังแม้ในจังหวะที่เดินย้ายจุดจากชั้นวางสินค้าไปยังเคาน์เตอร์ที่ทัตอยากจะไป

ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมต้องไปที่เคาน์เตอร์ นั่นก็เป็นเพราะทัตคิดว่าหากจะมีกุญแจที่ใช้เปิดเข้าไปด้านในห้องของพนักงานเพื่อซ่อนตัวได้มันก็ต้องอยู่ที่นี่แหล่ะ

พอผ่านเข้าไปในเคาน์เตอร์แล้ว ทัตไม่เห็นวี่แววของพนักงานเลยสักคน ดูท่าพวกเขาอาจจะออกไปดูลาดเลาข้างนอกร้านตอนเกิดเรื่องแล้วถูกกินไปแล้วเหมือนกับคนอื่น ๆ เพราะประตูของพนักงานที่อยู่ถัดไปมันถูกล็อคเอาไว้อยู่

อะไร ๆ มันไม่เคยจะง่ายเลยนะให้ตายสิ

ทัตเริ่มเหงื่อตก เขาย้อนกลับไปที่แถว ๆ แคชเชียร์อีกครั้ง หากพนักงานจะวางของอย่างกุญแจไว้ก็น่าจะอยู่แถว ๆ นี้

“หาอะไรอยู่เหรอทัต”

“!!!?”

ไม่รู้เพราะใช้สมาธิหรือหมกมุ่นมากเกินไป ทัตถึงไม่รู้สึกตัวเลยในตอนที่พิมเดินเข้ามาหาจากทางด้านหลังแล้วสะกิดเรียก เขาตกใจจนเกือบจะหัวใจวายเลยทีเดียว แต่คงโทษทัตไม่ได้ เพราะในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าพวกสัตว์ประหลาดจะโผล่ออกมาเมื่อไหร่ เขาจึงต้องระวังตัวไว้ตลอด

แต่ดูเหมือนว่าต่อให้เป็นทัตเอง ขีดจำกัดด้านความอดทนก็กำลังจะหมดลงแล้วเหมือนกัน

“เฮ้อ… ฉันเองก็เริ่มจะสติหลุดแล้วเหมือนกันเหรอเนี่ย” ทัตบ่นแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนขาลงเอาหลังพิงเคาน์เตอร์แล้วก็นั่งจุ้มปุกลงอย่างเหนื่อยอ่อน

จากเรื่องที่ผ่านมานี่คือขีดจำกัดของเขาแล้ว ตอนนี้เขาเองก็ถึงจุดที่เหนื่อยล้าไม่ต่างจากคนอื่น

ท่าทางของทัตทำให้พิมเป็นห่วงจนต้องนั่งลงข้าง ๆ เขา

“ขอโทษนะ” แต่เธอกลับเอ่ยคำประหนึ่งสำนึกผิดออกมาเสียอย่างนั้น

“ไม่ได้เป็นเพราะเธอสักหน่อย” ทัตเอ่ยปฏิเสธ แต่พิมเองก็ส่ายหน้าปฏิเสธกลับมาเหมือนกัน

“ถ้าฉันเข้มแข็งกว่านี้ เรื่องมันอาจจะไม่แย่ขนาดนี้ก็ได้… ฉันน่ะกลัวจนทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่มีทัตคอยช่วยน่ะ”

พิมพูดแบบนั้นด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนก่อนจะเอาหลังพิงเคาน์เตอร์แล้วเริ่มกอดเข่าอีกครั้ง

ทัตเองก็เคยอ่านบทความจากที่ไหนสักแห่ง ว่าคนที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติหรือเหตุการณ์เสี่ยงตาย มีแนวโน้มจะโทษตัวเองหรือที่เรียกว่า ‘Survivor Guilt’ ซึ่งตอนนี้คงเป็นสิ่งที่พิมกำลังเผชิญอยู่

ยังไงก็ตาม เรื่องนั้นมันก็แค่การปรุงแต่งของจิตใจในขณะที่ความสับสนเข้าครอบงำมากกว่า เพราะคิดตามหลักการและเหตุผล… เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงพิมที่รอดชีวิตมาได้ถึงตอนนี้ มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย

“ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธออยู่ดี” ทัตเลยเลื่อนมือสัมผัสแผ่นหลังของพิมอีกครั้ง เขาพร้อมปลอบโยนเธอไม่ว่าจะกี่ครั้ง และพยายามทำให้พิมรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้าง ๆ จะได้เลิกคิดอะไรไม่เข้าท่า

และดูเหมือนความปรารถนาดีของทัตจะสื่อไปถึง พิมเลยยิ้มออกมาแม้จะเบาบางมาก แต่ก็เห็นแล้วว่าเธอผ่อนคลายลง

ในขณะที่พลนั้นเพิ่งจะโทรหาคนรู้จักหลายต่อหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็คือไม่มีใครเลยที่รับสาย

“แม่งเอ้ย! ทำไมไม่มีใครรับสักคนเลยวะ!” พลตะโกนอย่างหงุดหงิด เขาเองก็มาถึงขีดจำกัดในหลาย ๆ ความหมาย แม้แต่เด็กผู้ชายอย่างเขาเองก็เริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นจากความหวาดกลัวแล้วเหมือนกัน

เขาเริ่มหมดแรงแล้วเอาหลังพิงเคาน์เตอร์ หย่อนก้นลงนั่งถัดจากทัตไปนี้เอง

“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย!?” ความสับสน กังวลและสิ้นหวังที่สะสมมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่อง เมื่อมาถึงจุดที่มากเกินไปไม่ว่าใครย่อมสติแตกเป็นธรรมดา

ต้องขอบคุณที่พลยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาจึงพยายามไม่ทำให้เสียงตัวเองดังมากเกินไป

…อย่างน้อยตอนแรกทัตก็คิดแบบนั้น แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นเสียงของเขาจะดังมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ทั้งไอ้หนุ่ม ไอ้กล้าแล้วก็แพรถูกไอ้ตัวพวกนั้นฆ่าหมดเลย… นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!”

“ใจเย็นก่อนสิพล เสียงดังมากไปเดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก”

“ได้ยินก็ได้ยินไปสิ! ยังไงอีกไม่นานพวกมันก็จะเจอเราอยู่แล้ว! พวกเราจะหนีไปไหนได้!”

และในท้ายที่สุดดูเหมือนทัตจะหวังมากไป ตอนนี้คนที่ยังคุมสติได้ก็มีแค่เขากับพิม

แต่โชคร้ายที่การโวยวายของเขามันทำให้พิมกลับมาแสดงความหวาดกลัวจนตัวสั่นอีกครั้ง ทัตเตือนพลไปแล้วแต่เขาไม่สงบลง ดังนั้นเตือนเขาเพิ่มไปก็คงไม่มีประโยชน์เลยหันไปปลอบพิมแทนคงจะดีกว่า

“พิม ใจเย็น ๆ นะ” ทัตเอื้อมมือตัวเองไปจับมือที่กำลังสั่นของพิม มันอาจดูก้าวก่ายหรืออาจมองได้ว่าเป็นการฉวยโอกาส แต่ทัตเองก็ไม่รู้จะปลอบเธอยังไงให้ดีกว่านี้แล้ว

“อะ อืม… ขอบใจนะทัต”

ยังไงก็ตาม แทนที่พิมจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนั้น เธอกลับรู้สึกดีใจเสียอีกและโล่งใจขึ้นมาถนัด

และไม่ใช่เป็นเพราะมีคนปลอบใจเธอเลยสงบลง แต่เพราะคนที่ปลอบใจเป็นทัตต่างหากเธอถึงผ่อนคลายลงได้ขนาดนี้ แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็ยังห่างไกลจากคำว่า ‘สงบสติอารมณ์ได้’

เพราะอย่างไรก็ดี… แม้พวกเขาจะเริ่มสงบสติอารมณ์ตัวเองที่เตลิดหนีหายไปได้ แต่ในความเป็นจริงคือสถานการณ์ทั้งหมดมันยังไม่คลี่คลาย

เพราะแบบนั้น จังหวะพักหายใจมันจึงไม่เคยมีอยู่จริง…

ติ๊งต่อง!!!

ฟุบ!

เสียงกระดิ่ง BGM แจ้งเตือนลูกค้าเข้าร้านคือสิ่งที่ตอกย้ำความเป็นจริงอันโหดร้าย

กรรรร…

และแน่นอนว่าสิ่งที่เดินผ่านเข้ามาไม่ใช่มนุษย์ พวกทัตสัมผัสได้เพราะมันส่งเสียงขู่ผ่านลำคอแบบเดียวกับก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่แตกต่างคือความร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากจุดที่มันยืนอยู่

แม้จะเป็นความจริงที่ประตูของร้านสะดวกซื้อถูกทำลายเลยทำให้ความเย็นในร้านกระจายออกไป แต่ถึงแบบนั้นอากาศมันก็เย็นมาตลอดจนกระทั่งเจ้าตัวนี้เดินเข้ามา ดังนั้นความร้อนที่แผ่ออกมาคงเป็นฝีมือมันไม่ผิดแน่ และนั่นแหล่ะคือข่าวร้าย เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าความร้ายกาจของมันคงไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว

คิดได้ดังนั้น ทัต พิมและพลจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบปิดปากตัวเองแน่นและสงบเสงี่ยมทำตัวให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ และได้แต่หวังว่ามันจะไม่สังเกตเห็นหลังสำรวจไปทั่วร้าน

ยังไงก็ตาม… ใช่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ทุกคนจะสามารถบังคับตัวเองให้นิ่งได้

ทัตตระหนักเรื่องนั้นหลังเห็นว่าพลที่นั่งอยู่ทางขวาของเขาตัวสั่นมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ มากยิ่งกว่าพิมที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของเขาเสียอีก และอาการสั่นกลัวของเขามันมีแต่จะมากขึ้นทุกที ๆ เลยทำให้ทั้งทัตและพิมเป็นกังวลขึ้นมา

…เพราะหากเป็นแบบนี้ต่อไป แทบจะเดาได้เลยว่าเขาคงทนไม่ไหวจนสติแตกไปก่อนที่เจ้าสัตว์ประหลาดมันจะเดินออกไปจากร้านแน่นอน

บ้าเอ้ย… แบบนี้ตายกันหมดแน่

แต่จะโทษเจ้าหมอนี่ก็ไม่ได้… ในสถานการณ์แบบนี้จะคุมสติตัวเองให้ได้ตลอดมันยากอยู่แล้ว

แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้เลย

จะทำยังไงดี…

ทัตกัดฟันกรอดกำมือแน่น คิดไม่ตกว่าต้องใช้วิธีไหนถึงจะเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์นี้ไปได้

เพราะต่อให้คิดยังไง ตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าเจ้าสัตว์ประหลาดที่เข้ามาในร้านจะรู้ตัวตอนไหน มันจึงไม่ต่างจากการนับถอยหลังเวลาตายของตัวเองเลย

ตอนนี้เขาหวังพึ่งใครไม่ได้เลยเพราะพลเองก็ไม่มีสติพอจะทำอะไรได้ ส่วนพิม ทัตก็ไม่อยากลากเธอเข้ามาเจอเรื่องอันตรายเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้น ถ้าจะมีคนที่ยังสามารถทำอะไรสักอย่างได้ก็คงมีแต่ตัวทัตเอง

อย่างไรก็ดี… สิ่งที่อยู่ในความคิดของทัตในตอนนี้ ไม่ใช่ความคิดในเชิงที่ว่า ‘ทำยังไงทุกคนถึงจะรอด’ แต่เป็น ‘ทำยังไงพิมถึงจะรอด’ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ จะหาทางรอดหมดทุกคนมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ตอนนี้ที่ทำได้… จึงมีแค่การดึงดูดความสนใจของมันให้ออกห่างจากพิมที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น และช่างน่าเสียดายและเจ็บปวด ที่คนที่ทำแบบนั้นได้มีแค่ทัตคนเดียว

“พิม… หลังจากนี้รีบหาทางเข้าไปในตึกแล้วซ่อนตัวให้เงียบที่สุดเลยนะ”

“เอ๊ะ?”

ได้ยินคำพูดของทัตทำเอาพิมรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ ทั้งที่น้ำเสียงของทัตดูสั่นกลัวแต่มันก็ดูมุ่งมั่นแรงกล้าในหลาย ๆ ความหมาย และกว่าที่พิมจะรู้ตัวว่าทัตพยายามจะทำอะไรมันก็สายไปแล้ว

ในจังหวะถัดจากนั้น ทัตก็ลุกขึ้นแล้วกระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปในทันที สร้างความตกใจให้กับทั้งพิมและพล

ส่วนสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของทัตในตอนนี้ คือหมาป่าที่อยู่ห่างออกไปจนสุดตู้เย็นวางเครื่องดื่มราวสิบเมตรได้ มันคือหมาป่าก็จริงแต่ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงินอย่างที่ทัตไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งทำให้ทัตรู้สึกกลัวที่ต้องเผชิญหน้า แต่นั่นยังน้อยกว่าความรู้สึกที่อยากปกป้องพิม

“เข้ามาเซ่ไอ้หมาเวรตะไล! ฉันอยู่นี่โว้ย!!!”

ไม่เพียงแค่เผยกายให้เห็นเท่านั้น แต่ทัตยังตะโกนเรียกมันเพื่อดึงความสนใจมาที่ตัวเองอีก

และแน่นอนว่ามันได้ผล… เจ้าหมาป่าเพลิงครามมันค่อย ๆ หันมามองทัต น้ำลายสอที่ริมฝีปากของมันเริ่มไหลหยดลงพื้น นั่นเป็นจังหวะที่ทัตถีบพื้นแล้ววิ่งออกไปจากร้านสะดวกซื้อ เจ้าหมาป่าเห็นดังนั้นมันก็คำรามลั่นประหนึ่งซ้องชัยทั้งที่ยังไม่ทันจับเหยื่อได้ ก่อนจะควบตามทัตไปติด ๆ

“ทัตหยุดนะ! หยุดนะ!!!”

เขาได้ยินเสียงของพิมตะโกนไล่หลังมาทั้งน้ำตา เขารู้อยู่แล้วว่าพิมเองก็ไม่หวังให้ทัตทำอย่างนี้ เขาจึงพยายามทำเมินไม่สนใจเสียงตะโกนอันสั่นเครือทั้งน้ำตาของเธอ

…และโฟกัสไปที่การวิ่งหนีเจ้าหมาป่าที่มีเพลิงสีน้ำเงินนี่แทน

เวรเอ้ย! เวรเอ้ย! เวรเอ้ย! เวรเอ้ย!!!

ทัตวิ่งออกมาด้วยความสับสน พอถูกเจ้าสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวขนาดนี้วิ่งไล่กับตัว ทัตก็เพิ่งมาคิดทีหลังว่ามันหุนหันพลันแล่นเกินไป เขาพยายามรวบรวมสติตัวเองอีกครั้งแล้ววิ่งอ้อมไปด้านหลังของร้านสะดวกซื้อ หวังใช้มุมของร้านในการซื้อเวลาที่ถูกมันวิ่งไล่ เพราะถ้าเป็นการวิ่งทางตรง ทัตรู้อยู่แล้วว่าหนีไม่พ้นแน่

…แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเขาเสียเลย

“อะไรอีกวะเนี่ย!”

หลังวิ่งผ่านเข้ามุมไปแล้ว ทัตก็เจอเข้ากับลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ของพนักงาน แต่โชคร้ายคือมันเป็นกำแพงตีอ้อมตึก

พูดง่าย ๆ ก็คือ… มันเป็นทางตัน

นี่ชาติก่อนฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้วะเนี่ย!

เจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไป ทัตคงทำอะไรไม่ได้นอกจากก่นด่าโชคชะตา

และยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก เมื่อเจ้าหมาป่าเพลิงครามมันตามมาปิดทางออกเพียงหนึ่งเดียวของทัตไว้

แฮ่…

ทัตตอนนี้คงรู้สึกเหมือนหนูติดจั่น และสำหรับเจ้าหมาป่าเพลิง มันคงรู้สึกเหมือนได้เจอเนื้อปรุงสำเร็จเหลือแค่เอาเข้าปากเท่านั้น มันถึงไม่ลังเลเลยที่จะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาทัต แถมไม่มีท่าทีระแวดระวังในตัวทัตเลย กล่าวคือมันไม่เห็นว่าทัตเป็นภัยคุกคาม

ในจุดนั้นถึงจะน่าเจ็บใจ แต่มันก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ เพราะทัตเองก็ไม่รู้จะจัดการมันยังไง ไม่สิ… อย่าว่าแต่จัดการมันเลย แค่หนีเอาตัวรอดจากมันทัตเองยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้ไหม

“!!!?”

และดูเหมือนความอดทนต่อเนื้ออันหอมหวานตรงหน้าของมันจะหมดลงแล้ว มันถึงกระโดดพุ่งเข้ามาทางทัตในทันทีที่ใกล้พอ

สถานการณ์ทำให้ทัตรู้สึกเหมือนซ้อนทับกับครั้งของแพร ตอนนั้นทัตเองก็ไม่รู้ว่าการจู่โจมของพวกหมาป่ามันเร็วขนาดไหนแพรถึงหลบไม่ทัน แต่พอได้มาเจอกับตัวเองแล้วเขาก็เข้าใจได้ในที่สุด เขาไม่แม้แต่จะก้าวขาหรือก้มหลบได้ทันเลย และถึงหลบได้ทันแต่องศาการกระโดดเข้ามาของมันก็กว้างมากเกินไปเพราะขนาดตัวอันใหญ่โตของมันจึงไม่อาจรอดพ้นการตะครุบของมันได้เลย

ที่ทัตทำได้มากที่สุดคือการยกมือซ้ายขึ้นมาบังไม่ให้มันกัดเข้ามาที่คอเพียงเท่านั้น เพราะแบบนั้นเขี้ยวของมันเลยฝังเข้าที่แขนซ้ายของทัตจนเป็นแผลฉกรรจ์ลึกในคมเดียว

“อ้ากกก!!!!”

ความเจ็บปวดและแรงกระแทกจากการกระโดดผลักให้ทัตล้ม เจ้าหมาป่ายิ่งได้เปรียบมากขึ้น มันออกแรงแค่นิดเดียวก็กดให้ทัตลงไปนอนได้แล้ว

เขี้ยวของมันฝังในท่อนแขนของทัต มันสะบัดอีกครั้งก็ฉีกเนื้อบริเวณต้นแขนซ้ายของทัตออกไปเป็นชิ้น เพลิดเพลินกับมื้ออาหารโดยไม่มีอะไรขัดได้แม้แต่เหยื่ออย่างทัต

แค่แผลกล้ามเนื้อฉีกขาดทัตก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนแขนหลุดไปแล้ว นี่ยังไม่นับความร้อนจากร่างของมันที่เหมือนกับผสมผสานลงไปกับเขี้ยวทำให้ปากแผลของทัตรู้สึกเหมือนกับถูกไฟลวกซ้ำไปอีก และไม่ใช่แค่ที่แขน แต่เพราะตอนนี้ขนของมันเองก็สัมผัสเกือบจะทั้งร่างของทัตเพราะมันคร่อมร่างของเขาอยู่

ตอนนี้ร่างกายด้านหน้าของทัตจึงโดนเผาอย่างแสบร้อนจนถึงกับมีกลิ่นไหม้ เขารู้สึกเหมือนร่างโดนนาบกับกระทะที่กำลังร้อนระอุยังไงอย่างงั้น

แม่งเอ้ย! เจ็บชะมัดเลย!

ไอ้เวรเอ้ย!

แต่แน่นอนว่าทัตไม่ยอมโดนอยู่ฝ่ายเดียว เข้าใช้มือขวาที่ว่างอยู่ทุบไปที่ศีรษะของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความร้อนระอุของร่างกายมันในตอนที่กำปั้นของทัตสัมผัสกับขนของมันนั้นรุนแรงมาก เขารู้สึกเหมือนเอามือไปแช่อยู่ในกองไฟยังไงอย่างงั้น

ไฟของมันเผาผิวหนังของทัตจนเริ่มไหม้เกรียม แต่ทัตไม่สนใจและฝืนทุบมันต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งนั่นทำให้เจ้าหมาป่าเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา

มันจึงปล่อยเขี้ยวแล้วเล็งจะฝังเขี้ยวที่คอของทัตอีกครั้ง แต่ทัตก็เอามือซ้ายมาบังอีกหน ตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ปากกว้าง ๆ ของมันเลยงับมือซ้ายของทัตเข้าเต็ม ๆ เขาสัมผัสได้เลยว่ามีอย่างน้อยสามนิ้วหายไปเพราะถูกเขี้ยวบนล่างของมันกัดจนขาด

“อ้ากกก!!! ไอ้หมาเวรตะไล!!!!”

ความเจ็บปวดจากทั้งปากแผลที่กำลังโดนฟันของมันฉีกกระชาก หรือจากที่โดนขนของมันเผาจนแสบร้อน ถึงจะเจ็บแค่ไหนทัตก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้วเพราะถูกความโกรธเข้าครอบงำ

มือขวาของเขาที่ว่างอัดใส่ใบหน้าของมันอีกครั้งซ้ำแล้วและซ้ำเล่า แต่ดูไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก ทัตที่กำลังหงุดหงิดสุดขีดหมดความอดทนเลยพยายามควานหาของที่อยู่ใกล้ ๆ พื้นแถวนั้นเต็มที่ แล้วก็ไปคว้าเศษกระจกที่แตกมาจากหลังร้านได้พอดี

ทัตกำเศษกระจกที่คว้าได้ในมือขวาแน่นเพื่อไม่ให้หลุดมือ และไม่สนใจว่ามันจะบาดเอา เพราะแผลที่ได้จากเจ้าหมาป่ามันเจ็บกว่าจนเทียบไม่ติด

เขาอาศัยจังหวะที่หมาป่ามันฉีกกระชากมือซ้ายของเขาอยู่เอาคมของเศษกระจกแทงเข้าไปที่ดวงตาซ้ายของเจ้าหมาป่าจนมันร้องลั่นและชะงักไปแวบนึง

ทัตไม่หยุดแค่ครั้งเดียว เขาดึงกระจกออกมาจากที่ฝังเข้าไปในดวงตาของหมาป่าตัวนั้นแล้วกระหน่ำแทงเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเลือดสีแดงฉานของมันกระเซ็นออกมาเปื้อนหน้าเต็มไปหมด

เจ้าหมาป่าที่ถูกโจมตีเริ่มเสียจังหวะจึงถอยออกไปตั้งหลัก แต่ทัตรู้ว่าถ้ามันตั้งหลักได้ หนนี้มันจะต้องจัดการเขาแบบจริง ๆ จัง ๆ แน่

อะดรีนาลีนที่กำลังหลั่งจึงเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้ทัตพุ่งเข้าไปหามันอีกครั้งโดนไม่สนใจความเจ็บปวดทั่วร่าง เขาใช้เศษกระจกในมือขวาทุบใส่กลางใบหน้าของเจ้าหมาป่าจนมันร้องครวญครางหลายต่อหลายครั้งและเสียหลัก

ทัตไม่ปล่อยจังหวะดี ๆ ให้หลุดรอดไป เมื่อได้จังหวะเขาก็อ้อมหลังไปกระโดดคร่อมเจ้าหมาป่าแล้วเกาะไว้แน่น ไม่สนใจว่ามันจะแผดเผาร่างกาย เขากระหน่ำแทงตาอีกข้างของมันด้วยเศษกระจกในมือไม่หยุด ครั้งแล้วครั้งเล่า… ครั้งแล้วครั้งเล่า… ครั้งแล้วก็ครั้งเล่า…

จนมันล้มลงกับพื้น หายใจโรยริน

แน่นอนว่าทัตไม่หยุดแค่นั้น เขาจะไม่มั่นใจว่ามันสิ้นฤทธิ์จนกว่ามันจะตายและก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่ เขาจึงกระหน่ำแทงมันด้วยเศษกร