บทที่ 131 รู้จักหลอกลวงพ่อเจ้าอีกนะ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

หลายวันมานี้เหยาซูวุ่นอยู่กับการเปิดร้านขายสีผึ้งทาปาก ทำให้ความสนใจที่มีต่อหลินเหราลดลงมากทีเดียว

หลินเหราเองก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ เขาต้องมาฝึกซ้อมอย่างลับ ๆ อยู่ในหน่วยลาดตระเวนและค่ายทหารทุกวัน วางแผนการล่วงหน้าอย่างละเอียด ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

ในวันปกติจะมีเพียงบางคืนที่เหยาซูอยู่จนถึงดึกดื่นและได้ยินเสียงเขากลับบ้าน

คืนนี้ หลังจากที่เหยาซูกล่อมซานเป่าหลับแล้ว หญิงสาวก็นั่งรออยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัว นางกำลังคิดจะรอหลินเหรา เพราะอยากถามบางอย่างกับเขา

หลังจากที่หญิงสาวนั่งรอไปได้ไม่นาน ไม่ทันรอเจอหลินเหราก็ตัดสินใจอาบน้ำเข้านอน

ดึกดื่นค่อนคืนซานเป่าส่งเสียงร้องโยเยขึ้นมาอีกครั้ง ปลุกเหยาซูจนสะดุ้งตื่น

ในตอนนั้นเอง เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น “อาซู ข้าทำให้เจ้าตื่นหรือ?”

เหยาซูอยู่ในอาการงัวเงีย สมองยังคงงุนงง แยกความจริงและความฝันไม่ออกชั่วขณะ จากนั้นก็บิดขี้เกียจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งของคนเพิ่งตื่นนอนว่า “ซานเป่าร้องไห้หรือ?”

แสงจันทร์เปล่งประกายสว่างเจิดจ้าอยู่นอกหน้าต่าง ส่องทะลุผ่านมาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มทิ้งไว้เพียงครึ่ง สาดส่องแสงจันทร์อันเยือกเย็นและเงียบเหงาไปทั่วทั้งห้อง

ความเย็นยะเยือกยังคงปกคลุมอยู่ทุกส่วนบนร่างกายของชายหนุ่ม ก่อนจะค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้เหยาซูและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเคร่งขรึมว่า “ซานเป่าไม่ได้ร้องไห้หรอก ข้าเองต่างหากที่ทำเสียงดัง”

เหยาซูส่งเสียง “อือ” ออกมา จากนั้นก็หันกลับไปมองเด็กทั้งสามคนบนเตียงแวบหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขายังหลับฝันหวานก็พลันวางใจลง

“ยามไหนแล้วล่ะ?”

เขากลัวว่าจะทำให้เด็ก ๆ สะดุ้งตื่น จึงตอบกลับไปด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ใกล้จะยามอิ๋นแล้ว”

ยามอิ๋นเป็นเวลาระหว่าง 03.00 – 05.00 น. เหยาซูคิดคำนวณอยู่ในสมองครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ท่านเพิ่งกลับมาหรือ?”

นางลุกพรวดขึ้นมา หลังออกห่างจากผ้าห่มอันอบอุ่นก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่เย็นเยือกในยามเช้าตรู่ จึงอดตัวสั่นเล็กน้อยไม่ได้

หลินเหราหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งจากในมือคลุมตัวลงบนตัวเหยาซู พลางพยักหน้ายอมรับ

เมื่อพบว่านางไม่เห็นถึงการกระทำของตัวเอง เขาจึงพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าเพิ่งกลับมาไม่นานก็ประเดี๋ยวก็ต้องจากไปอีก เดิมทีตั้งใจจะมานั่งดูเจ้าอยู่ข้าง ๆ แต่คาดไม่ถึงว่าจะปลุกเจ้าให้ตื่นเสียได้”

ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยของชายหนุ่มไม่ใช่ถ้อยคำหวานหยด แต่กลับเอาชนะวาจาหวานซึ้งเหล่านั้นได้เป็นหลายร้อยเท่า ทำให้ในใจรู้สึกหวานและรู้สึกเลี่ยนในเวลาเดียวกัน

เหยาซูนั่งอยู่ในผ้าห่ม มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในเสื้อตัวนอก มองไปยังโครงร่างอันเลือนรางของสามีที่แสงส่องไปไม่ถึง ก่อนจะพึมพำว่า “ดึกเพียงนี้ กลับมาทำไมกัน? สู้ทำเหมือนพี่รองไปเลยดีกว่า พักอยู่ในหน่วยลาดตระเวน…”

หลินเหราไม่กล่าวสิ่งใด แค่นั่งเงียบสงบอยู่ด้านข้างพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเหยาซู

ในเวลากลางวัน นัยน์ตาดุจลูกท้อของนางจะดูสดใสมีชีวิตชีวา แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความง่วงเหงาหาวนอน ไร้พิษภัยคล้ายกับสัตว์ตัวน้อย ในเวลากลางคืนปิ่นปักผมทั้งหมดจะถูกถอดออกและปล่อยเส้นผมนุ่นสลวยปรกลงมาตามไหล่ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ขมุกขมัวปรากฏความงามอีกรูปแบบหนึ่งออกมา

เมื่อเห็นไหล่ที่ซูบผอมถูกมือทั้งสองข้างโอบกอด ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมผืนบาง หลินเหราอยากจะกระชากร่างอันบอบบางของนางมากกกอดเอาไว้ในอ้อมแขนของตนเอง แต่สุดท้ายก็กำราบความบุ่มบ่ามอันฉับพลันนี้ไว้ และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “หนาวมากใช่หรือไม่?”

เหยาซูหาวหวอดหนึ่งครั้ง ร่างกายรู้สึกถึงความเหน็บหนาว กระทั่งตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายกำลังขยับเข้ามาข้างกาย จึงเอ่ยเสียงเบา ๆ ว่า “ครั้งต่อไปหากกลับดึกอีก ท่านก็ไม่ต้องกลับมาสายลมยามวิกาลนั้นเย็นยะเยือกจะตายไป เหตุใดต้องลำบากเพียงนั้นด้วย?”

ความเชื่อใจและความไม่ระแวดระวังตัวในจิตใต้สำนึกของนาง ทำให้ใจของหลินเหราอ่อนยวบ

เขาโน้มตัวลงไปข้างหน้าเล็กน้อย ขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวและพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบดุจน้ำที่นิ่งสงบในยามราตรี “ไม่ลำบากหรอก ยุ่งอีกสองสามวันนี้ เราก็…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็เห็นว่าเหยาซูยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาโอบรอบเอวที่ซูบผอมของเขา และเป็นฝ่ายอิงแอบแนบชิดเขาก่อน

หญิงสาวนำพากลิ่นอายอันอบอุ่นและนิ่งสงบ จากนั้นแทรกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา

“อื้อ? เราทำไมหรือ?” เหยาซูราวกับคนที่ไม่ตื่นดีก็มิปาน ทั้งยังคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของเขา

สองสามวันนี้เหยาซูไม่ได้เจอหลินเหราเลย เดิมทีคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไร

แต่เมื่ออยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ เห็นเขารีบกลับมาท่ามกลางราตรีที่หนาวยะเยือกเพื่อตนเอง เหยาซูจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วความคะนึงหาที่ตัวเองมีนั้นสะสมจนกองเป็นภูเขาเลากาไปแล้ว

การมองออกไปนอกหน้าต่างนับครั้งไม่ถ้วน เสียงกีบม้าที่ฟังดูเลือนลางอยู่ในหูภายใต้แสงไฟเหล่านั้น ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น

กระทั่งวินาทีที่กอดเขา ใบหูที่แนบชิดอยู่กับหน้าอกจนได้ยินเสียงเต้นหัวใจที่รุนแรงของเขา การรอคอย ความคาดหวัง จนไปถึงความวิตกกังวลของเหยาซูต่างก็สิ้นสุดลงด้วยความรู้สึกปลอดภัยที่ชายหนุ่มนำมาให้นาง

คำพูดที่อยากพูดเหล่านั้น หญิงสาวรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าตนพูดออกไปหมดแล้ว ซึ่งมากพอที่จะแสดงออกถึงความคิดของตัวเอง….

“เรา…..”

หัวใจของหลินเหราเต้นรัวเร็วและรุนแรง พลางโอบกอดร่างกายที่นุ่มนวลของเหยาซู เขามีบางอย่างที่พูดออกไปไม่ได้

เหยาซูเองก็ไม่ซักไซ้ไล่ถามเขาอีก ได้แต่อิงแอบในบริเวณที่สบายที่สุด จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง…

ตอนที่เหยาซูตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น พบว่าตัวเองนอนอยู่ในผ้าห่ม เสื้อตัวนอกที่คลุมอยู่บนร่างกายเมื่อคืนหายไปแล้ว หาเท่าใดก็หาไม่เจอ

หญิงสาวลุกขึ้นมานั่ง สงสัยว่าตัวเองเพียงแค่ฝันไป

อาจื้อนอนคว่ำอยู่ในผ้าห่ม โผล่แค่เพียงศีรษะเล็ก ๆ กระทั่งหันกลับมาขานเรียก “ท่านแม่ ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ?”

ดวงตาของเด็กผู้ชายเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับกำลังซ่อนความลับบางอย่างไว้ในอ้อมแขน คลุมผ้าห่มอย่างมิดชิดไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้

เหยาซูชำเลืองตามองไปทางเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้ม “ทำอะไรน่ะ เช้าตรู่ขนาดนี้ ยังกล้ามีความลับเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกหรือ?”

อาจื้อหันมองไปทางน้องสาวที่กำลังหลับฝันหวาน จากนั้นก็ขยับเข้ามาข้างกายของเหยาซูอย่างเงียบ ๆ และกระซิบกระซาบอย่างเบาที่สุด “ท่านแม่ เมื่อครู่ตอนที่ท่านพ่อเปลี่ยนชุดนั้น ข้าพบของดีบางอย่างเข้า”

เหยาซูอึ้งไป “พ่อเจ้ากลับมาหรือ?”

ที่แท้เมื่อคืนก็ไม่ใช่ความฝัน? แต่หลินเหรากลับมาจริง ๆ งั้นหรือ?

อาจื้อกลับไปมองทางเหยาซูด้วยความมึนงง “ท่านแม่ไม่รู้หรือ? ข้าเห็นท่านพ่ออุ้มท่านแม่เข้ามาใต้ผ้าห่ม…”

ตอนนั้นเขาตื่นจากฝันอันแสนหวานแล้ว ทั้งยังได้พุดคุยกับหลินเหราหลายประโยคอีกด้วย

เหยาซูรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก

เมื่อคืนตอนพิงหลินเหราจนผล็อยหลับไป ทั้งยังหลับลึกอยู่ในอ้อมแขนของเขาถึงเพียงนั้นเลยหรือ?

แต่เมื่อเผชิญกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของอาจื้อคู่นั้น เหยาซูทำได้แต่เพียงส่งเสียงไอเบา ๆ ออกมาและพูดว่า “แม่กำลังสะลืมสะลือน่ะ… ว่าแต่เจ้าพบของดีอะไรงั้นหรือ?”

สำหรับเด็กน้อย การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุด อาจื้อไม่ได้ซักถามต่อ แต่ล้วงหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากในอ้อมแขนอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ

“ท่านแม่ ดูนี่!”

นั่นคือปิ่นปักผมในรูปแบบไม้ชิ้นหนึ่ง!

บริเวณหัวของปิ่นปักผมแกะสลักเป็นรูปดอกอิ๋งชุนที่เหยาซูคลุกคลีอยู่กับมันมาตลอดช่วงสองสามวันนี้ ดอกอิ๋งซุนช่างงดงามวิจิตร เมื่อเห็นแล้วพลันก่อเกิดความคิดมากมาย ตัวปิ่นนั้นดูเรียบง่าย ลวดลายที่ดูเกลี้ยงเกลามาจนถึงปลายปิ่น กระทั่งมาบรรจบกันอยู่บนปลายแหลมนั้น

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เหยาซูก็นึกถึงปิ่นเงินที่พวกเขาซื้อด้วยกันในเมืองเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาได้ ปิ่นปักผมที่ชายชราแกะสลักให้กับคนรักที่ตายจากไป ก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน

เหยาซูพลิกดูตัวปิ่น พลันพบตัวอักษรขนาดเล็กในมุมหนึ่งอย่างที่คิดไว้จริง ๆ “เหรา” และ “ซู”

‘นาวาออกท่าไม่ย้อนกลับ ข่าวคราวหายลับเข้ากลีบเมฆ’(1)

บทกวีที่บังเอิญมีตัวอักษรชื่อของทั้งสองคนรวมอยู่ด้วยนี้ คล้ายกับว่ามันได้กลายเป็นคำสารภาพความรู้สึกในใจที่หลินเหรามีต่อเหยาซูไปโดยปริยาย ทำให้หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อทันใด

อาจื้อไม่เข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของผู้เป็นแม่ แต่ก็ยังถามด้วยความกระตือรือร้นว่า “ท่านแม่ ปิ่นชิ้นนี้ เป็นของที่ท่านพ่ออยากให้ท่านแม่ใช่หรือไม่ขอรับ?”

ร่างกายของเหยาซูสั่นไหวเล็กน้อยราวกับโดนของร้อนลวกมือ จนเกือบทำให้ปิ่นปักผมที่อยู่ในมือหลุดร่วง

“นี่คือสิ่งที่ร่วงลงมาตอนที่พ่อเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้างั้นหรือ?” เหยาซูเอ่ยถามอย่างจริงจัง

อาจื้อไม่รู้ว่าบนปิ่นปักผมมีตัวอักษรแกะสลักไว้อย่างเห็นได้ชัด จึงคาดเดาเองว่า “ท่านพ่อถอดเสื้อผ้าที่สกปรกออก พอข้าหยิบมันขึ้นมา จู่ ๆ เจ้าสิ่งนี้ก็ร่วงลงมา…ท่านแม่ชอบดอกอิ๋งชุนไม่ใช่หรือขอรับ? บางทีท่านพ่ออาจจะเห็นปิ่นปักผมที่แกะสลักเป็นรูปดอกอิ๋งชุนนี้ในตลาด จึงคิดว่าท่านแม่คงจะชอบก็เลยซื้อกลับมา”

เหยาซูส่งเสียง “อือ” ออกมา และไม่ปริปากพูดสิ่งใดอีก

ใบหน้าของเด็กชายแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์และพิเรนทร์ ก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านแม่ซ่อนมันไว้ให้ดี รอท่านพ่อกลับมา หากพบว่าตัวเองทำปิ่นปักผมหาย จะต้องไปซื้อใหม่ให้ท่านแม่อีกชิ้นแน่!”

เหยาซูคลี่ยิ้ม ดีดหน้าผากของอาจื้อเบา ๆ ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคืองใจ “เจ้ามันจอมร้ายกาจ รู้จักหลอกลวงพ่อเจ้าอีกนะ!”

……………………………………………………………………………………………..

ตอนหนึ่งของบทกวีสมัยราชวงศ์ถังชื่อ “忆江上吴处士” โดยกวีชื่อ 贾岛

สารจากผู้แปล

ฮือออ บทจะอบอุ่นพี่เหราก็อบอุ่นสุดๆ ไปเลยค่ะ อาซูจะรอดเหรอ

ไหหม่า(海馬)