บทที่ 145 จอมบงการ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

หลังจากนั้นไม่นาน คนของจวนองค์ชายสามก็เดินทางมาถึง

องค์ชายสามอยู่ในห้องทรงงาน สารถีไม่ได้ขอเข้าพบองค์ชาย แต่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทหารยามได้ฟัง

ด้วยความคับขันต่างๆ จึงได้ทหารมาสิบนายรวมถึงหมอประจำจวนอีกหนึ่งนายไปยังที่เกิดเหตุ

พอนางข้าหลวงสวี่เห็นว่าพวกเขามาถึงแล้ว ก็พลันรู้สึกมีความหวังขึ้นมา รีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้าไปหาพลางชีนิ้วไปทางเถ้าแก่รอง “พวกท่านมาก็ดีแล้ว เร็วเข้า พวกมัน พวกมันขังองค์หญิงสามไว้! รีบไปช่วยพระองค์เร็ว!”

แวบแรกเถ้าแก่รองพอเห็นว่ามีเหล่าทหารกรูกันเข้ามา ก็นึกครึ้มใจว่านี่สินะที่เรียกว่าบ้านเมืองปลอดภัย พวกเราเองก็เปิดโรงหมออย่างสุจริต ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก

แต่แวบต่อมา พอได้ยินคำว่า “องค์หญิงสาม“ เถ้าแก่รองถึงกับเข่าทรุด

ไม่จริงใช่ไหม

คนไข้ที่อยู่ในห้องนั้น คือองค์หญิงสาม คือลูกสะใภ้ของฮ่องเต้

กู้เจียวใช้มีดผ่าลงไปบนท้องขององค์หญิง…

และเป็นอีกครั้ง ที่เถ้าแก่รองเป็นลมล้มตึง…

ด้วยความที่โรงหมอยังอยู่ในขั้นเตรียมการ ทุกคนเลยมากันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งผู้ดูแลหวัง เสี่ยวลิ่ว ลูกศิษย์ของหมอจาง และลูกน้องที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่บางคน พวกเขาทั้งหมดถูกควบคุมอย่างไร้ความปราณีโดยทหารขององค์ชาย

นายทหารที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเดินนำเข้าไปในห้องผู้ป่วยเพื่อจะช่วยองค์หญิงสามออกมา ขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้าไป จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกจากอีกฝั่ง

องค์หญิงสามใช้มือข้างหนึ่งคว้าแขนของกู้เจียว พยายามลุกขึ้นเดิน ส่วนมืออีกข้างกุมบริเวณท้องไว้

ใบหน้าขององค์หญิงสามซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา แต่ถ้าเทียบกับตอนที่อยู่ในรถม้าแล้ว นับว่าดีขึ้นมากเลยทีเดียว

เหล่าทหารพอเจอนาง ก็รีบถวายความเคารพให้ตามธรรมเนียมพิธี

องค์หญิงสามปรายตามองรอบทิศก่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง “เป็นบ้าไปแล้วรึ รีบปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้”

พวกทหารหันมาสบตากัน

เป็นอย่างที่กู้เจียวว่าไว้ พอฤทธิ์ยาชาหมดลง ความรู้สึกเจ็บปวดจะค่อยๆ ปะทุขึ้นทีละนิด แต่เป็นความเจ็บปวดที่ยังพอทนได้

องค์หญิงสามรู้สึกราวกับตนเองเพิ่งรอดพ้นจากความตาย

“นี่มันอะไร เดี๋ยวนี้พวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของข้าแล้วรึ รอข้ากลับจวนก่อนเถอะ ข้าจะถามฝ่าบาทให้รู้กันไปเลยว่าสรุปแล้วพวกเจ้าไม่เห็นหัวข้าแล้วใช่หรือไม่”

“กระหม่อมมิบังอาจ!” หัวหน้านายทหารรีบตอบกลับพลางเก็บดาบลง แล้วสั่งให้ทหารที่เหลือปล่อยตัวคนของโรงหมอ

นางข้าหลวงสวี่เดินปรี่เข้ามาถามไถ่ด้วยสีหน้ากังวล “องค์หญิงสามเพคะ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมเพคะ”

“ตอนนี้ข้ายังไม่มีแรงจะเล่นงานเจ้า รอข้ากลับจวนก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีกับเจ้าภายหลัง” องค์หญิงสามโน้มตัวไปทางกู้เจียวอย่างอ่อนแรง

หากมิใช่เพราะการผ่าตัดเสร็จสิ้นโดยไว มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะบุกเข้ามาระหว่างที่กำลังผ่าตัดอยู่ และยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นไปอีก

ด้วยความหัวไวของกู้เจียวที่คิดเผื่อเรื่องนี้ไว้ จึงรีบเร่งผ่าตัดให้เสร็จก่อนที่พวกเขาจะบุกเข้ามา

แม้องค์หญิงสามจะไม่รับรู้ถึงความเอาใจใส่ของกู้เจียว แต่การกระทำของกู้เจียวในคืนนี้ก็เกินพอที่ทำให้องค์หญิงซาบซึ้งในบุญคุณของนาง กู้เจียวไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตของนางเท่านั้น แต่ยังช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีของนางด้วย

“แม่นางกู้ ข้าขอลาล่ะ” องค์หญิงสามเอ่ยลาอย่างอ่อนแรง

กู้เจียวตอบรับ ก่อนย้ำกับคนตรงหน้า “รอครบเจ็ดวัน จึงจะตัดไหมออกได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว” องค์หญิงสามเอ่ยตอบ

องค์หญิงสามเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัดเลยแทบจะไม่มีแรงยืน นางข้าหลวงทั้งสองจึงช่วยกันพยุงร่างของนางขึ้นรถม้า

เจ็ดวันต่อมา องค์หญิงสามไม่ได้เข้ามาตัดไหมแต่อย่างใด

กู้เจียวไม่รู้สึกระแคะระคายใจอะไร ที่จวนของนางมีหมอหลวงจำนวนมาก อีกทั้งงานตัดไหมก็มิใช่เรื่องยากอะไรสำหรับพวกเขา

และในวันที่อากาศแจ่มใส ในที่สุด โรงหมอของพวกเขาก็เปิดอย่างเป็นทางการ

ทุกคนในเรือนตื่นเช้าเพื่อที่จะไปร่วมพิธีเปิด แม้แต่หญิงชราที่ปกติมักตื่นสายก็ยังต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า

แต่ด้วยความที่วันนี้พวกเด็กผู้ชายยังต้องไปเรียนหนังสือ กู้เจียวไม่อยากให้พวกเขาต้องขาดเรียน

เด็กชายทั้งสี่นึกในใจ แค่โดดเรียนนิดหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร

แต่สุดท้ายพวกเขาจำใจยอมแบกกระเป๋าเข้าเรียนหนังสือกันตามเดิม

หญิงชราผู้ไม่มีธุระอันใด ก็นั่งรถม้าที่เถ้าแก่รองเตรียมไว้ให้ เดินทางมายังโรงหมอ

ป้ายโรงหมอเมี่ยวโส่วถังถูกวางไว้ตรงตำแหน่งแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายเหลือแค่ให้กู้เจียวมาดึงผ้าคลุมสีแดงออก

กู้เจียวไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมือขึ้นไปแล้วกระชากผ้าคลุมสีแดงลงมา เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีเปิด ป้ายโรงหมอมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะเขียนด้วยตัวอักษรสีทองสามตัว ‘เมี่ยว โส่ว ถัง!’

เถ้าแก่รองปลาบปลื้มใจอย่างมาก แม้จะไม่มีหุยชุนถังอีกต่อไป แต่ตอนนี้เข้ามีเมี่ยวโส่วถังแล้ว และได้เป็นเถ้าแก่รองเต็มตัวอีกครั้ง!

กู้เจียวเองก็รู้สึกดีใจไม่แพ้กัน เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ ให้ทำตัวนิ่งดูดายก็กะไรอยู่ พอมีโรงหมอแห่งนี้เท่ากับว่ามีหนทางในการหารายได้แล้ว พอมีเงินแล้ว จึงจะสามารถส่งหนุ่มๆ ทั้งสี่เรียนหนังสือให้สูงยิ่งขึ้น

ตัดภาพมาที่สี่หนุ่มที่จู่ๆ ก็เกิดจามพร้อมกัน…

สำหรับวันแรกของการเปิดร้าน คนไข้ที่เข้ามาใช้บริการที่โรงหมอจะได้สิทธิ์ในการวินิจฉัยโรคโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนค่ายาสมุนไพรได้ส่วนลดร้อยละยี่สิบ ค่ายาเสริมได้ลดร้อยละห้าสิบ แถมยังแจกชาลำไยพุทราไว้ให้ดื่มกันอีกด้วย

ชานี้ทำมาจากพุทราแห้งและเนื้อลำไย นอกจากนี้ยังใส่เก๋ากี้ลงไปด้วย ช่วยบำรุงเลือดลม ทำให้ใบหน้าผุดผ่อง แลดูแจ่มใส และที่สำคัญ รสชาติยังอร่อยอีกด้วย!

หญิงชราเอาแต่เฝ้ากาน้ำชาไม่หยุดหย่อน นั่งจิบชาถ้วยแล้วถ้วยเล่า!

มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่กี่คน แต่น้ำชากลับหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว

วันนี้เป็นวันเปิดเรียนของสำนักบัณฑิตสตรีเช่นกัน

กู้จิ่นอวี๋ตื่นแต่เช้าตรู่ หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยก็ว่าจะออกไปทักทายท่านโหวกู้กับแม่นางเหยาเสียหน่อย พอไปถึง จิ่นอวี๋สังเกตว่าทั้งคู่แต่งกายเรียบร้อยราวกับว่าเตรียมจะออกไปข้างนอก

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านจะ…” กู้จิ่นอวี๋ยืนอึ้ง

“วันนี้วันเปิดเรียนวันแรกของเจ้ามิใช่รึ” ท่านโหวกู้ยิ้มให้

“พวกท่าน…จะส่งข้าไปเรียนอย่างนั้นรึ” กู้จิ่นอวี๋เอ่ยถาม

เพราะช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูไม่ค่อยราบรื่นนัก โดยเฉพาะแม่นางเหยาที่มีท่าทีเปลี่ยนไปราวกับคนละคน แถมยังมีเรื่องกับอนุหลิงจนแทบไม่เหลือเวลามาอยู่กับกู้จิ่นอวี๋

พอเห็นแบบนี้ กู้จิ่นอวี๋เลยทำท่าดีใจออกหน้าออกตา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ดีจังเลย!”

“เอาละ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวก็สายหรอก!” ท่านโหวกู้เอ่ย

หากไปสายขึ้นมา เดี๋ยวจะอดเห็นฉากที่ยัยเด็กนั่นเข้าเรียนหรอก!

เขาต้องพิสูจน์ให้แม่นางเหยาเห็นว่าเขาใส่ใจกับเด็กคนนั้นมากขนาดไหน!

“เร็วเข้าฮูหยิน!”

ช้ากว่านี้เดี๋ยวก็ไม่ทันเอาหรอก!

ท่านโหวกู้เกริ่นแม่นางเหยาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น แม่นางเหยาก็นึกว่าจะเป็นอะไรไปได้เสียอีก เรื่องน่าตื่นเต้นที่ว่าก็คือการส่งกู้จิ่นอวี๋ไปเรียนหนังสือนั่นเอง

ระหว่างทาง แม่นางเหยาไม่แสดงท่าทีแช่มชื่นเลยสักนิด

ปกติคนเป็นแม่น่าจะต้องดีใจเวลาส่งลูกเรียนหนังสือวันแรก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด แม่นางเหยามิได้มีความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นเลย

กู้จิ่นอวี๋เองก็สังเกตเห็นแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะรู้ว่าช่วงนี้มารดาของตนมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับการต่อกรกับอนุหลิง

ไม่นานรถม้าก็มาหยุดอยู่ที่หน้าสำนักบัณฑิตหญิง

ท่านโหวกู้กำลังจินตนการถึงภาพเหตุการณ์ที่แม่นางเหยาเห็นเด็กนั่นเข้าไปเรียนหนังสือ!

แม่นางเหยาเข้าไปจับมือนางด้วยความปีติ ‘เจียวเจียว เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร’

‘ข้ามาเรียนหนังสือที่นี่’ เจียวเจียวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

แม่นางเหยาทำหน้าตกใจ ‘เอ๋…เหตุใดเจ้าถึงมาเข้าเรียนที่นี่ได้ล่ะ สอบเข้ามาได้รึ’

เจียวเจียวทำท่าเหนียมอายก่อนตอบออกไป ‘จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าโตมาในชนบทนะ อ่านหนังสือไม่ออกเลยสักคำ ต้องขอบคุณท่านพ่อ เพราะท่านพ่อใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อขอหนังสือตอบรับเข้าเรียน ท่านพ่อใจดีกับข้ามาก! ท่านแม่อย่าโกรธท่านพ่อเลยนะ!’

แม่นางเหยาหันไปมองท่านโหวกู้ด้วยความรู้สึกผิด จากนั้นคว้ามือเขาขึ้นมา ‘ท่านโหว ที่ผ่านมาข้าเอาแต่โทษท่าน บัดนี้ข้ารู้ซึ้งแล้วว่าท่านรักลูกของเรามากแค่ไหน! ข้าไม่น่าให้ท่านคุกเข่าบนกระดานซักผ้านั่นเลย เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ คืนนี้ ท่านมาที่ห้องของข้าได้เลย’

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”

ท่านโหวกู้ยืนเท้าเอวหัวเราะอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า

แม่นางเหยาและกู้จิ่นอวี๋มองเขาด้วยความผวา

ทันใดนั้นเอง แม่นางเหยาก็เปิดผ้าม่านรถม้าออก

“เจียวเจียว!”

แม่นางเหยาลงจากรถม้าทันทีทันควัน เข้าไปคว้ามือบุตรสาวตนเองอย่างไม่รอช้าด้วยความดีใจ

ท่านโหวกู้กลับมาจดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ

เอาละ เอาละ วินาทีที่เขารอคอยมาถึงแล้ว!

นี่แหละ โอกาสที่เขาจะได้แต้มต่อ จะได้พลิกชะตาตัวเองเสียที!

กู้จิ่นอวี๋ทำหน้าบูดบึ้ง เดิมก็นึกว่าที่มารดาของตัวเองมีท่าทีอิดโรดก็เพราะเรื่องอนุหลิง แต่พอได้เจอกู้เจียวเท่านั้น ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันใด

ทั้งๆ ที่วันนี้ต้องเป็นตนต่างหากที่ควรจะได้รับความสนใจมากที่สุด!

“เจียวเจียว เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” แม่นางเหยาถามกู้เจียว

ท่านโหวกู้ตะโกนในใจ รีบบอกว่ามาเรียนหนังสือสิ!

“ข้ามาธุระน่ะ” กู้เจียวตอบ

ท่านโหวกู้ “……!”

แม่นางเหยาไม่เข้าใจว่ากู้เจียวมาทำธุระอะไรที่นี่

กู้เจียวชี้นิ้วไปทางโรงหมอพลางเอ่ย “โรงหมอเปิดทำการแล้วนะ”

แม่นางเหยายังไม่รู้เรื่องที่กู้เจียวกับเถ้าแก่รองหุ้นกันเปิดโรงหมอ ที่จริงท่านโหวกู้เองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

ครั้งก่อนท่านโหวกู้วานให้หวงจงไปหากู้เจียวที่ตรอกปี้สุ่ย แต่กู้เจียวไม่อยู่ที่นั่น หญิงชราจึงบอกกับหวงจงว่านางอยู่ที่โรงหมอข้างๆ กับสำนักบัณฑิตสตรี

ภายหลังหวงจงมารายงานกับท่านโหวกู้ แต่เขาดันเข้าใจผิดคิดว่ากู้เจียวแค่ไปทำงานเป็นผู้ช่วยหมออีกครั้ง

ท่านโหวกู้ได้แต่คั่งแค้นอยู่ในใจ เหอะ ไม่ชอบไปเรียนหนังสือดีๆ หรือไง

ท่านโหวกู้ไม่อยากจะให้ตัวเองดูเป็นพ่อที่แย่ต่อหน้าแม่นางเหยา แต่เขาข่มโทสะไว้ไม่อยู่แล้ว “เจ้านึกยังไงของเจ้า ทำไมไม่เรียนหนังสือ ไหนเจ้าตกลงไว้แล้วไม่ใช่ ข้าอุตส่าห์เอาหนังสือเชิญมาให้แล้ว เงินก็ให้แล้ว เจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้รึ”

กู้จิ่นอวี๋เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว ที่แท้ท่านพ่อก็แอบช่วยกู้เจียวให้เข้าเรียนที่สำนักบัณฑิตหญิงนั่นเอง

“ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าที่นี่เข้ายากแค่ไหน ถ้าไม่ได้หนังสือเชิญมาก็ต้องสอบเข้าให้ได้”

กู้เจียวหรี่ตามองกู้จิ่นอวี๋ ก่อนเอ่ยถาม “อ๋อ เจ้าคิดว่าข้าคงสอบเข้าไม่ได้อย่างนั้นสิ”

กู้จิ่นอวี๋ทำท่าลำบากใจ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าคิดว่าท่านพี่ไม่ควรมองข้ามความพยายามของท่านพ่อ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกท่านพี่อย่างแน่นอน ที่จริงข้าเคยคุยกับท่านพ่อไว้ว่าข้าจะช่วยติวหนังสือให้หากท่านพี่ตกลง”

“ข้าไม่เห็นเจ้าจะมาติวหนังสือให้ข้าเลย”

กู้จิ่นอวี๋ถึงกับพูดไม่ออก

ถามแบบนี้หมายความว่าอย่างไร

ใครเขาถามแบบนี้กัน

กู้จิ่นอวี๋ได้แต่หัวเราะแห้งๆ “ถ้าอย่างนั้น วันหลังข้าจะมาติวหนังสือให้ทุกวันเลย”

“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่อยากเรียน” กู้เจียวเอ่ยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

แล้วเมื่อครู่นี้จะถามไปทำไม!

ท่านโหวกู้ทนเห็นจิ่นอวี๋ลำบากใจไม่ได้ เลยรีบตัดบท “เอาละ จิ่นอวี๋ต้องไปเรียนหนังสือแล้ว เดี๋ยวก็สายเอาหรอก”

กู้จิ่นอวี๋เม้มปากด้วยความอัดอั้นใจ เอ่ยตอบเสียงเบา “ลูกเข้าใจแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไปก่อนล่ะ ท่านพี่ดูแลตัวเองด้วย”

พอกู้จิ่นอวี๋เดินออกไป แม่นางเหยาก็จูงมือกู้เจียวเดินเข้าไปด้านในโรงหมอ

ทิ้งให้ท่านโหวกู้ยืนอยู่ข้างหลังราวกับอากาศที่ไร้ตัวตน

เถ้าแก่รองเตรียมที่นั่งไว้ให้สองคนแม่ลูกตรงบริเวณลานด้านหลังโรงหมอ

ทั้งสองเดินเข้าไปตรงลาน ท่านโหวกู้ที่เดินตามมาดันถูกประตูปิดใส่หน้ากระแทกเข้าตรงสันจมูกพอดี

“…!!” จมูกของท่านโหวกู้บวมเป่งจนกลายเป็นจมูกหมูในทันใด

กู้เจียววัดชีพจรให้แม่นางเหยา

ดูเหมือนว่าฤทธิ์ของดอกลำโพงจะจางลงแล้ว ส่งผลให้ชีพจรของแม่นางเหยาเริ่มดีขึ้น

อาการซึมเศร้าที่นางเป็นอยู่มิได้กำเริบเพราะดอกลำโพง แต่มันก็มีส่วนทำให้อาการป่วยของแม่นางเหยาเป็นหนักขึ้น โชคดีที่วันนั้นนางตัดสินใจออกมาจากจวนโหว ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ได้เจอกับกู้เจียว

จากนั้นทั้งสองเริ่มคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจวน

ที่กองทัพมีเรื่องด่วนเข้ามา กู้ฉังชิงเลยมิได้กลับมาที่จวนเป็นเวลาหลายวัน

ส่วนกู้เฉิงหลิน แม้กู้ฉังชิงจะสั่งให้เขาออกมาจากหอบรรพชนของตระกูลแล้ว แต่ยังคงนอนป่วยติดเตียงเหมือนเดิม

กู้เฉิงเฟิงไปเรียนหนังสือตามเดิม ด้วยความที่ไม่มีกู้เฉิงหลินอยู่ข้างๆ ก็เริ่มเจียมเนื้อเจียมตัวมากขึ้น

และที่น่าปวดหมองที่สุด คงหนีไม่พ้นอนุหลิง แต่คนที่ปวดหมองมิใช่แม่นางเหยาแต่อย่างใด หากแต่เป็นอนุหลิง

ช่วงนี้แม่นางเหยาไปที่เรือนซงเฮ่ออยู่บ่อยๆ ทั้งช่วงเช้าและเย็น

เหล่าฮูหยินกู้พยายามสารพัดวิธีที่จะเรียกใช้งานแม่นางเหยา

คนนอกมองก็อาจนึกว่าแม่นางเหยากลายเป็นคนโปรดของเหล่าฮูหยินกู้ไปแล้ว ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

และเหตุผลที่ทำให้ใครๆ ต่างมองแบบนั้นก็เพราะทุกครั้งที่แม่นางเหยาออกมาจากเรือนซงเฮ่อมักจะถือของพะรุงพะรังออกมาด้วย เลยนึกกันไปว่าแม่ผัวลูกสะใภ้คู่นี้ดีกันแล้ว!

พวกบ่าวในเรือนมักจะคอยจับผิดสีหน้าท่าทางของแต่ละคน พอเห็นว่าแม่นางเหยาเป็นที่โปรดปรานของเหล่าฮูหยิน ท่าทีของทุกคนก็เริ่มเปลี่ยนไป

เริ่มจากการที่แม่นางเหยาได้รับเชื้อเพลิงที่จะนำไปใช้ก่อไฟจำนวนมากกว่าอนุหลิง สักพัก กลายเป็นว่า อาหารแต่ละมื้อของแม่นางเหยามีความหลากหลายและปริมาณเยอะกว่าอนุหลิง อีกทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์สำหรับหน้าหนาวของบ่าวในเรือนแม่นางเหยาก็มีการตัดเย็บล่วงหน้ากว่าของฝั่งอนุหลิง

ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วนั้น เรื่องพรรค์นี้คงไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอน

แต่ก็อย่างว่า อนุหลิงกำกับดูแลงานครัวเรือนมาตั้งหลายปี ก็นับว่านางเป็นคนที่มีความสามารถมากเลยทีเดียว

ขนาดว่าโดนแม่นางเหยาเล่นงานหนักขนาดนี้ นางยังแบกหน้าไหวอยู่

“เห็นนางหน้าด้านหน้าทนได้ขนาดนั้น ข้าเลยไม่รู้ว่าจะจี้จุดนางอย่างไรดี” แม่นางเหยาเองเกิดมาก็เพิ่งจะสู้คนเป็นครั้งแรก เลยยังขาดประสบการณ์

ในตอนนั้นเอง หญิงชราเดินทำท่าหาวหวอด ออกมาจากห้องด้านหลัง และโยนซองยาประหลาดให้แม่นางเหยา “ใช้นี่สิ!”