ตู้เสี่ยวอวิ๋นโดนโบยจนร้องโอย พยายามวิ่งหนีไปทั่วห้อง “ดูสิ ดูสิ โหดเหี้ยมเยี่ยงสัตว์ร้าย แทบไม่เหลือเค้าความเป็นองค์หญิงเลยสักนิด ดูอย่างไท่จื่อเฟยสิ ไม่เห็นป่าเถื่อนแบบเจ้าเลย!”

“เจ้าเด็กแสบ มันจะมากไปแล้วนะ!”

องค์หญิงสามเดือดดาลถึงขั้นเขวี้ยงไม้บรรทัดในมือลง แล้วคว้ารองเท้าของตนไล่ตีน้องสาวตัวแสบ!

คนที่องค์หญิงสามเหม็นขี้หน้ามากที่สุดคงหนีไม้พ้นไท่จื่อเฟย

ที่จริง หากเทียบกันเรื่องชาติตระกูลแล้ว องค์หญิงสามได้เปรียบกว่าไท่จื่อเฟย

มารดาขององค์หญิงสามเป็นบุตรสาวของจวนหลัวกั๋วกง

ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง อันดับที่หนึ่งคือเซวียนผิงโหว รองลงมาก็คือหลัวกั๋วกง ส่วนตระกูลของมารดาไท่จื่อเฟยแม้ไม่ได้มีอำนาจมาก ที่ปัจจุบันขึ้นมาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะพรสวรรค์ของนางเองล้วนๆ

ทั้งคู่อายุเท่ากัน เข้ามาอยู่ในวังตั้งแต่เยาว์วัย และมักจะถูกเปรียบเทียบด้วยกันตลอด

ไท่จื่อเฟยมักนำนางในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ความงาม รวมถึงความนิยมในหมู่องค์หญิงด้วยกัน

แม้ว่าทางด้านดนตรี องค์หญิงสามจะมีฝีมือเก่งกว่า แต่เรื่องที่ไท่จื่อเฟยเคยพบเจอกับกู่ฉินฝูซีนั้นก็นับว่าทำเอานางหน้าหงายไปเหมือนกัน

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้องค์หญิงสามอิจฉาไท่จื่อเฟยได้อย่างไร

ทว่าหากเป็นเรื่องคู่ครอง ที่แน่ๆ องค์หญิงสามกำลังจะได้เข้าประตูวิวาห์กับองค์ชายแล้ว ส่วนไท่จื่อเฟยนั้นได้แค่เพียงหมั้นหมายกับเสี่ยวโหวเหย่คนหนึ่งเท่านั้น

แถมยังอายุน้อยกว่านางตั้งสามปีอีกด้วย!

ในความเป็นจริง เจาตูเสี่ยวโหวเหย่ถือว่ามีชื่อเสียงในเมืองหลวงมากกว่าองค์ชายสาม แต่ไม่ว่าเขาจะใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีวันเหนือชั้นไปกว่าองค์ชายสามได้ นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้องค์หญิงสามใจชื้นขึ้นมาบ้าง

แต่น่าเสียดายที่เจาตูเสี่ยวโหวเหย่ดันมาจบชีวิตลงในเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนั้น

พอรู้ดังนั้น องค์หญิงสามกะว่าจะรอดูความอัปยศอดสูของนางเสียหน่อย ทว่าไม่นาน ไท่จื่อเฟยดันมาแต่งงานกับไท่จื่อและกลายเป็นน้องสะใภ้ของนางไปโดยปริยาย!

นั่นแปลว่า ไท่จื่อเฟยจะได้เลื่อนเป็นฮองเฮาในวันหน้า ส่วนตนนั้น อย่างมากเป็นได้แค่พระสนมชายา และที่แย่ไปกว่านั้น นางจะต้องมาก้มหัวทำความเคารพให้ศัตรูทุกครั้งที่เจอกันด้วย!

และนี่ก็เป็นเรื่องที่คนในเมืองพูดถึงพวกนาง

“ไท่จื่อเฟยทรงปรีชาสามารถกว่าองค์หญิงสามยิ่งนัก ไม่แปลกที่พระองค์จะได้แต่งกับเจ้านายที่ตำแหน่งสูงส่ง”

ไท่จื่อเฟยเป็นที่รักของผู้คนในเมืองหลวง ส่วนองค์หญิงสามนั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาเลยแม้แต่นิด

กับคนอื่นๆ นั้นนางมิอาจไปยุ่มย่ามได้ แต่กับคนกันเองอย่างน้องสาวตัวแสบนี่สิ

หลังจากองค์หญิงสามเล่นงานตู้เสี่ยวอวิ๋นเสร็จ ก็ลั่นว่าจาตัดพ้อต่อว่าผู้เป็นน้อง “ถ้าเจ้าย่างกรายเข้าไปที่นั่นแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะหักขาของเจ้า!”

ด้วยความที่ตู้เสี่ยวอวิ๋นเป็นเด็กหัวรั้นมาแต่ไหนแต่ไร นางจึงตอกกลับไป “ก็มาสิ! แน่จริงก็มาหักขาข้าตอนนี้เลยสิ! ต่อให้ข้าขาหัก ข้าก็จะคลานไปที่นั่น!”

“เจ้า…” องค์หญิงสามโกรธจนควันออกหู เขวี้ยงรองเท้าทิ้ง แล้วหันไปหยิบไม้กวาดข้างๆ มาแทน

ฮูหยินตู้เห็นท่าไม่ดี เกรงว่าคนพี่จะหักขาคนน้องจริงๆ จึงรีบเข้าไปห้าม “พอได้แล้ว พวกเจ้าเงียบเดี๋ยวนี้ แค่ไปเรียนหนังสือเองมิใช่หรือ ก็ให้น้องไปเรียนเถอะ เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าน้องเป็นคนใฝ่เรียนมาแต่ไหนแต่ไร!”

องค์หญิงสามฉุนขาด “อย่างนางน่ะหรือจะรักเรียน นางอยากเข้าไปประจบสอพลอไท่จื่อเฟยต่างหาก!”

ตู้เสี่ยวอวิ๋นถอนฉุนพลางถลึงตา “ใช่แล้ว! ข้าจะไปตีสนิทกับไท่จื่อเฟย! ก็นางเป็นสตรีที่เก่งกาจรอบด้าน เจ้าเทียบไม่ติดฝุ่นหรอก!”

และนี่คงเป็นเหตุผลที่องค์หญิงสามยังคงมีสัมพันธ์อันดีกับทางบ้านเดิมของตน เพราะนางไม่เคยแสดงท่าทีโอ้อวดฐานันดรศักดิ์ของตนเอง ไม่เช่นนั้นป่านนี้ตู้เสี่ยวอวิ๋นคงถูกลากตัวไปโบยร้อยทีแล้ว!

“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินตู้เอ็ดลูกสาวคนเล็ก

แต่ในเมื่อตู้เสี่ยวอวิ๋นได้หนังสือเชิญเข้าเรียนมาอยู่ในมือแล้ว คงไม่มีทางที่จะไม่เข้าเรียนแน่นอน

องค์หญิงสามได้แต่โกรธขึ้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ขึ้นรถม้ากลับจวนด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

จวนองค์ชายสามตั้งอยู่บนถนนจูเชว่ ซึ่งห่างจากนี่พอสมควร ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวขององค์หญิงสาม นางจึงรู้สึกว่าวันนี้รถม้าโคลงเคลงเป็นพิเศษ

“นางเด็กบ้านั่น น่าโมโหชะมัด…น่าโมโหที่สุด… ข้าไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะไม่มีคนเก่งกว่านาง นี่ข้าเป็นพี่นะ…ทำไมเอาแต่เข้าข้างคนอื่นอยู่ได้…”

องค์หญิงสามได้แต่ก่นด่า ขณะเดียวกันก็รู้สึกเจ็บร้อนบริเวณหน้าท้องเพราะความดันขึ้น

นางข้าหลวงสองคนที่ตามมาด้วยได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่เอ่ยอะไร

“พวกเจ้าพูดอะไรหน่อยสิ!” องค์หญิงสามทนความเงียบไม่ไหว

นางข้าหลวงทั้งสองหดร่างลง พลางทำหน้าละอายใจ “แต่ว่า องค์หญิงทำกับคุณหนูห้าแบบนั้นจะไม่เป็นไรหรือเพคะ นางเป็นน้องสาวพระองค์ หากใครมารู้เรื่องนี้เข้า…” นางข้าหลวงสวี่เอ่ยขึ้น

ที่นางข้าหลวงต้องการจะสื่อก็คือ ชื่อเสียงขององค์หญิงสามสู้ไท่จื่อเฟยไม่ได้ หากทำเรื่องเสื่อมเสียไปมากกว่านี้ เกรงว่าจากชื่อเสียงจะกลายเป็นชื่อเสีย

องค์หญิงสามกัดฟันกรอด “นางเด็กนั่นยังเห็นข้าเป็นพี่อยู่ไหม มีอย่างที่ไหน เอาแต่พูดปกป้องคนนอก ขนาดว่าข้าเคยให้นางเรียนกู่ฉินกับข้า นางยังมีหน้ามาบอกว่าข้าเล่นกู่ฉินไม่ดีเท่าไท่จื่อเฟย! เฮอะ คนอย่างนางฟังดนตรีเป็นที่ไหนกัน”

เอ่ยจบ อาการปวดท้องขององค์หญิงสามก็เริ่มรุนแรงขึ้น

เจ้าเด็กบ้านั่น ทำข้าโมโหจนปวดท้อง!

องค์หญิงสามเริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นปม เอามือลูบท้องของตัวเอง

นางข้าหลวงทั้งสองเริ่มเห็นท่าไม่ดี นางข้าหลวงสวี่จึงเอ่ยถาม “นายหญิงเป็นอะไรหรือ”

“ไอ้หยา…” องค์หญิงสามเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ ร้องโอดครวญ เอามือวางบนหน้าท้องและพยายามค้ำร่างของตัวเองไว้กับโต๊ะ “รีบกลับจวนเร็วเข้า แล้วบอกให้สารถีควบม้าช้าๆ หน่อย…”

นางข้าหลวงทั้งสองทำหน้างง

สรุปจะให้เร็วหรือจะให้ช้ากันแน่นะ

องค์หญิงสามปวดท้องจนเหงื่อไหลทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้ร้อน อยากรีบกลับไปที่จวนใจจะขาด แต่พอรถม้าเริ่มสั่นโคลงแรงขึ้น ความรู้สึกเจ็บก็ยิ่งมากขึ้น

นางข้าหลวงทั้งสองสังเกตเห็นแล้วว่าใบหน้านายหญิงเริ่มซีดเซียว จนเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะโมโหคุณหนูห้าหรือว่าเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายของนาง

“ข้าไม่…” องค์หญิงสามกำลังจะพูดออกไปว่าตนไม่เป็นไร แต่จู่ๆ อาการก็เริ่มหนักขึ้นจนไม่สามารถนั่งตัวตรงได้ และนอนล้มลงไปบนพื้น

นางข้าหลวงทั้งสองเริ่มผวา

นางข้าหลวงสวี่สั่งสารถีให้หยุดรถ “หยุดรถ…หยุดรถเดี๋ยวนี้!”

สารถีจึงหยุดรถให้

แม้รถจะไม่โคลงแล้ว แต่ดูเหมือนอาการขององค์หญิงไม่ได้ดีขึ้นเลย ยังคงนอนงอร่างแสดงอาการเจ็บปวด

“ทำอย่างไรดีล่ะพี่สวี่” นางข้าหลวงหลิ่วเอ่ยถามตะกุกตะกัก

นางข้าหลวงสวี่คุกเข่าลงไปข้างๆ องค์หญิงสาม พยายามสังเกตอาการของนาง

เกรงว่าองค์หญิงสามจะทนรอกลับถึงจวนไม่ไหวแล้วกระมัง…

นางข้าหลวงเปิดม่านรถออก แล้วถามสารถี “มีโรงหมออยู่แถวนี้ไหม”

สารถีนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้างหน้านี้ก็เป็นสำนักบัณฑิตหญิงแล้ว จำได้ว่าแถวนั้นมีโรงหมอเปิดอยู่นะขอรับ”

“แล้วยังไม่รีบไปที่นั่นอีก!” นางข้าหลวงสวี่เอ่ยเร่ง

“ขอรับ!” สารถีจึงควบม้ามุ่งหน้าไปยังโรงหมอ

นางข้าหลวงสวี่รีบกระโดดลงจากรถม้า “ใครก็ได้! ตามหมอมาที!”

เถ้าแก่รองเดินออกมารับหน้า “แม่หญิง โรงหมอยังไม่เปิดให้บริการ เกรงว่า…”

“โอ๊ย” เสียงร้องโอดโอยขององค์หญิงสามดังขึ้นจากด้านในรถม้า

เถ้าแก่รองได้ยินดังนั้น เลยฉุกคิดได้ว่าคงไม่ใช่อาการป่วยทั่วไปแน่นอน เขาเองก็ไม่อยากไล่พวกเขาให้ไปโรงหมอที่อื่น

จึงรีบขึ้นไปที่ชั้นสอง แล้วเรียกกู้เจียวที่กำลังทำความสะอาดห้องอยู่ “มีคนไข้มาน่ะ เป็นสตรีด้วย!”

กู้เจียววางไม้กวาดในมือลง ถอดผ้ากันเปื้อนออก

“แล้วหมอเล่า” นางข้าหลวงสวี่เอ่ยถาม

“ก็นี่แหละหมอ” เถ้าแก่รองเอ่ย ชี้ไปทางกู้เจียว

“หมอหญิงงั้นรึ” นางข้าหลวงสวี่เลิกคิ้ว

ในแคว้นเจาแห่งนี้ มีทั้งหมอชายและหมอหญิง เพียงแต่หมอหญิงไม่ได้มีฝีมือเท่ากับหมอชาย สถานภาพของหมอหญิงเลยมักจะด้อยกว่าหมอชาย

ในวังหลวง หน้าที่ของหมอหญิงคือเป็นผู้ช่วยหมอหลวงอีกที ไม่สามารถทำการรักษาได้เอง

นางข้าหลวงสวี่ทำหน้าสงสัย “มีแค่หมอหญิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ แล้วหมอหลักล่ะ เรียกมาด้วยสิ!”

กู้เจียวไม่ยอมให้ใครมาดุด่าว่ากล่าวคนของตน จึงก้าวเท้าไปยืนรับหน้าแทนเถ้าแก่รอง “ข้านี่แหละหมอหลัก จะให้ข้าช่วยหรือไม่ก็ตามใจท่าน”

นางข้าหลวงถึงกับพูดไม่ออก

“โอ๊ย” เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง

นางข้าหลวงหลิ่วเปิดม่านออกพลางตะโกน “ท่านพี่สวี่! รีบให้นางเข้ามาช่วยเถิด! องค์…ฮูหยินสามแย่แล้ว!”

นางข้าหลวงสวี่ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม

กู้เจียวขึ้นรถม้า แสงอาทิตย์เริ่มหมด ทำให้ในรถม้ามีแสงไม่เพียงพอ

“รีบจุดตะเกียงเร็วเข้า!”

นางข้าหลวงหลิ่วจึงรีบจุดตะเกียงสำรองในรถทั้งหมด

กู้เจียวใช้สายตาวินิจฉัยร่างกายขององค์หญิงสามอย่างละเอียด เลยสังเกตเห็นว่านางเอามือกุมที่หน้าท้องช่วงขวา จากนั้นจึงเอามือองค์หญิงสามออก แล้วใช้มือกดลงไปที่บริเวณที่น่าจะมีอาการ “เจ็บตรงนี้ใช่ไหม”

“อือ!” องค์หญิงสามรู้สึกทรมานจนอยากจะเป็นลม

กู้เจียวเอามือออแล้วเอ่ย “ฮูหยินท่านนี้มีอาการไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ต้องได้รับการผ่าตัดในทันที”

“ว่า ว่าไงนะ” แม่นางหลิ่วไม่เข้าใจที่กู้เจียวบอก

กู้เจียวหันหน้าไปทางองค์หญิงสามที่กำลังโอดครวญ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านต้องผ่าตัด ข้าจะต้องผ่าช่องท้องของท่าน เพื่อนำไส้ติ่งที่อักเสบออกมา”

นางข้าหลวงหลิ่วเมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดผวาจนพูดไม่ได้ศัพท์ “ท่าน ท่านจะ ผะ ผ่า ผ่าท้อง องค์…ฮูหยินสามอย่างนั้นรึ”

องค์หญิงสามพยายามหันหน้าอันซีดเผือดไปทางกู้เจียว ราวกับว่ากำลังรอคำอธิบายจากนาง

กู้เจียวพยายามมองเข้าไปในดวงตาขององค์หญิงสาม “สถานการณ์ของท่านอันตรายมาก ไม่มียาตัวไหนรักษาได้ หากท่านไม่ทำตามที่ข้าบอก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”

ความน่ากลัวของอาการไส้ติ่งอักเสียบเฉียบพลันคือการไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะหากปล่อยไว้ ไส้ติ่งอาจแตก ทำให้ช่องท้องติดเชื้อและอาจนำไปสู่หายนะได้

แววตาขององค์หญิงสามเผยให้เห็นความหวาดกลัว

“ไม่ได้เด็ดขาด!” นางข้าหลวงสวี่เอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นแค่หมอหญิงธรรมดาเท่านั้น กล้าดีอย่างไรจะมาผ่าท้องฮูหยินของข้า! ข้ารู้นะว่าเจ้าไม่ได้มาดี! บอกมาสิว่าเจ้าอยากได้เงินเท่าไหร่!”

“จะรักษาหรือไม่แล้วแต่พวกท่าน ข้าไม่เคยหลอกลวงอยู่แล้ว” กู้เจียวเอ่ยก่อนจะทำท่าเดินออกจากรถม้า

แต่ยังก้าวออกไปไม่ทันไร กู้เจียวก็ถูกคว้ามือรั้งไว้

เป็นมือขององค์หญิงสาว นางออกแรงอย่างสุดพลัง “เจ้าช่วยข้าได้จริงรึ”

“ฮูหยินเจ้าคะ!”

นางข้าหลวงทั้งสองเริ่มหน้าเสีย

อย่าบอกนะว่า องค์หญิงจะเอาจริง

จะยอมให้หมอหญิงมาผ่าท้องให้นางอย่างนั้นรึ

นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว!

หมอหญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว!

องค์หญิงสามเองก็ด้วย!

“ฮูหยินอย่าไปฟังนางเจ้าค่ะ! พวกเราจะรีบไปตามหมอหลวงมาให้!”

“แล้วแต่พวกท่าน” กู้เจียวเอ่ย

“อย่าไป…” องค์หญิงสามคว้ามือของกู้เจียวไว้แน่นกว่าเดิม

องค์หญิงสามเคยเห็นอาการแบบนี้จากแม่นมของนาง ตอนนั้นแม่นมก็มีอาการปวดท้องเช่นนี้ บริเวณเดียวกัน ตอนนั้นนางเคยเชิญหมอหลวงมารักษาอาการให้ แต่สุดท้าย หมอหลวงมิอาจทำการรักษาได้ และปล่อยให้แม่นมต้องทรมานกับการปวดท้องจนถึงแก่ความตาย!

และตอนนี้ นางเองก็กำลังจะตายเช่นกัน!

“ฮูหยิน! ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะเจ้าคะ!” แม่นางสวี่เอ่ยเตือน

ในฐานะที่เป็นองค์หญิง มีกฎว่าห้ามมีรอยบาดแผลบนร่างกาย เพราะอาจนำมาซึ่งความโชคร้ายได้

แม้นางจะได้แต่งเข้าวังแล้ว ทว่าร่างกายของนางมิใช่ของนางอีกต่อไป แต่เป็นขององค์ชายสาม

หากไม่ได้รับการยินยอมจากองค์ชายสาม นางก็มิอาจกระทำอะไรบนเรือนร่างของตัวเองได้

แต่ตอนนี้ นางรู้สึกเจ็บปวดจนไร้เรี่ยวแรงจะเอ่ยคำใดออกมา และสายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่กู้เจียว

กู้เจียวแบกร่างขององค์หญิงสามลงมาจากรถม้า นางข้าหลวงทั้งสองห้ามอย่างไรก็ไม่อยู่

“รีบกลับไปรายงานฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!” นางข้าหลวงสวี่บอกกับสารถี

“ขอรับ!” สารถีรีบควบรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวน

กู้เจียวเดินแบกร่างองค์หญิงสามเข้ามาในห้องแล้ววางไว้บนเตียงที่ใช้สำหรับการผ่าตัดชั่วคราว

องค์หญิงสามมองกู้เจียวด้วยสายตาหวาดหลัว

กู้เจียวไม่ใช่คนที่ถนัดในด้านการอ่านความรู้สึกคนเท่าไหร่นัก แต่พอกับคนไข้นั้นนางรู้ดีที่สุด

“เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าเคยผ่าตัดให้คนมานักต่อนัก ข้าไม่ใช่หมอหญิงทั่วไป ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ การผ่าตัดของเจ้าถือว่าไม่ยุ่งยาก และไม่เจ็บด้วย ข้าจะฉีดยาชาให้เจ้าก่อน เจ้าจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ”

กู้เจียวอธิบายให้นางได้ฟังเพื่อเป็นการช่วยสงบสติอารมณ์

องค์หญิงสามเริ่มน้ำตาคลอเบ้า

นอกจากจะกลัวตายแล้ว นางยังกลัวเจ็บ และกลัวเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย

ชีวิตของนางบัดนี้เป็นของวังแล้ว

ร่างกายของนางมีองค์ชายสามเป็นผู้ครอง

นอกจากจะไม่ได้รับอนุญาตจากพระสวามีแล้ว ยังปล่อยให้คนอื่นทำร้ายร่างกายของนาง มีหวังกลับไปได้โดนทำโทษแน่ๆ !

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของท่านเอง ร่างกายท่านเป็นของท่าน อย่ายอมให้ใครมาตัดสินแทนตัวท่าน และท่านไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร มันไม่ใช่ความผิดของท่าน มันผิดที่โลกไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”

องค์หญิงสามน้ำตาไหลอาบแก้ม

การผ่าตัดดำเนินไปได้ด้วยดี

ในกล่องยามียาชาชนิดใหม่ และดูเหมือนว่าร่างขององค์หญิงสามตอบสนองกับยาชาได้เป็นอย่างดี

ระหว่างที่การผ่าตัด องค์หญิงสามผล็อยหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ในห้องพักฟื้น

“ยังเจ็บอยู่ไหม” กู้เจียวถาม

องค์หญิงสามส่ายหัว

ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว

“พอฤทธิ์ยาคลายลง อาจมีอาการเจ็บบริเวณปากแผลบ้าง” กู้เจียวเอ่ย พลางอธิบายเรื่องที่ควรระวังหลังการผ่าตัด

องค์หญิงสามไม่ใช่คนประเภทถูกชะตาใครง่ายๆ นางไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่ง หากมีคนไม่ชอบนาง นางก็จะไม่ชอบตอบ

แต่เด็กสาวหมอหญิงผู้นี้ องค์หญิงสามรู้สึกได้ถึงความไม่เหมือนใครของนาง

“เจ้ามีนามว่าอะไร”

“นามของข้า คือกู้เจียว”