ทายาทเพียงหนึ่งเดียว

เมื่อความเจ็บปวดจี๊ดแล่นวาบจากหน้าขามาถึงสมอง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้ฝันไป!

ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง!

เขาได้รับการถ่ายทอด ‘ยอดใจกระบี่’ ที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางกล่าวว่าเป็นเคล็ดบำเพ็ญจิต เต๋าแห่งกระบี่ที่ดีที่สุดมาแล้ว!

‘ยอดใจกระบี่มันคืออะไรกันแน่ เป็นวิชากระบี่หรือวรยุทธ์เซียนกัน?’

ด้วยความอยากรู้ต้วนหลิงเทียนจึงเพ่งจิตนึกถึงองค์ความรู้ที่สถิตย์อยู่ในใจเพื่อหาคำตอบทันที และหลังจากที่อ่านองค์ความรู้ดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้

‘ที่แท้…ยอดใจกระบี่ ไม่ใช่ทั้งเคล็ดวิชากระบี่หรือวรยุทธ์อะไร’

มันเป็นเคล็ดบำเพ็ญจิตใจสำหรับผู้ฝึกฝนกระบี่!

หากคิดฝึกกระบี่ อันดับแรกต้องฝึกฝนจิตใจเสียก่อน!

เมื่อใจมีกระบี่ กระบี่อยู่ที่ใจ สรรพสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ!

ยอดใจกระบี่!

‘เอ่อ…’

เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นเนื้อหาบางส่วนขององค์ความรู้ เขาอดไม่ได้ที่จะอึ้ง

‘บำเพ็ญยอดใจกระบี่จนบรรลุ สรรพวุธทั่วหล้าล้วนสยบศิโรราบ’

จากเนื้อหาด้านหลังนั้นเซียนกระบี่ฟงชิงหยางกล่าวไว้อย่างอหังการ ว่ายามใดที่บรรลุใจกระบี่ขั้นสูงสุดศาสตราวุธทั้งมวล…

จะยอมศิโรราบ…!

กล่าวให้ชัด พวกมันจะยอมจำนนต่อ ยอดใจกระบี่

ขั้นสูงสุดของยอดใจกระบี่ เรียกอีกอย่างว่า กระบี่สัมพันธ์จิตใจ…

‘ถึงแม้ข้าจะบำเพ็ญยอดใจกระบี่ไม่บรรลุ แต่แค่ขั้นแรกๆก็มีความสามารถอันน่าทึ่งนัก…ถึงมันไม่ใช่วรยุทธ์เซียน แต่กลับเหนือล้ำกว่าวรยุทธ์เซียนซะอีก!’

ยิ่งอ่านเคล็ดความและข้อมูลของ ยอดใจกระบี่มากเท่าไหร่ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น

ต้วนหลิงเทียนอ่านไล่มาเรื่อยๆ สุดท้ายก็เห็นบทสรุปของยอดใจกระบี่

แน่นอนว่าก่อนหน้าย่อมมีเนื้อหาเคล็ดความมากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนเพียงมองมันคร่าวๆ

เขาแค่อยากรู้ว่าแต่ละขั้นของยอดใจกระบี่คืออะไร แล้วมีความแตกต่างกันอย่างไร

ส่วนบทสรุปยอดใจกระบี่นั้น ไม่ได้ซับซ้อนอะไร

“ยอดใจกระบี่ เป็นผลของความเพียรพยายามชั่วชีวิตของข้า เซียนกระบี่ฟงชิงหยางผู้นี้…ถึงแม้ว่ามันจักมิใช่วรยุทธ์เซียน แต่ยังนับว่าเหนือกว่าวรยุทธ์เซียนระดับนภาเสียอีก เคล็ดวรยุทธ์ทั้งหลายในบรรดาวรยุทธ์เซียนระดับนภาโดดเด่นนั้นกล่าวไปยังมิอาจเทียบได้แม้แต่ 1 ใน 10 ของยอดใจกระบี่ข้ายามบรรลุขั้นสูงสุด! เมื่อข้าบรรลุขั้นสูงสุดแล้วตลอดระยะเวลา 10 ปีก่อนที่ข้าจะเยื้องย่างสู่สวรรค์ ก็มิอาจมีผู้ใดรับมือข้าได้อีกเลย…”

“และผู้ที่ได้รับยอดใจกระบี่ของข้าไป…จักเป็นผู้สืบทอดของ ‘หมอกพิรุณ’ แต่เพียงผู้เดียว…”

ทั้งหมดเป็นบทสรุปที่ว่า

แทนที่จะเรียกว่าบทสรุป บอกว่าเป็นข้อความทิ้งท้ายของฟงชิงหยางเสียจะดีกว่า

‘กระทั่งวรยุทธ์เซียนระดับนภาโดดเด่นยังเทียบไม่ได้แม้แต่ 1 ใน 10 เลยงั้นเหรอ? แล้วนี่ขั้นสูงสุดของยอดใจกระบี่มันจะร้ายกาจขนาดไหนกัน นี่มันจะไม่เกินจริงไปหน่อยรึไง?’

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง ยังคิดไปว่านี่ใช่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางผู้นี้กล่าวอวดโอ่ไปรึเปล่า

แต่เขารู้ดีว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางไม่จำเป็นต้องกล่าวอวดโอ่อะไร เพราะสุดท้ายแล้วหากอีกฝ่ายกล่าวเกินจริง เรื่องราวคงแดงออกเนิ่นนาน จะเป็นการทำลายชื่อเสียงตัวเองเปล่าๆ

เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ไม่มีเหตุจำเป็นให้โกหก

‘ถ้าสิ่งที่ฟงชิงหยางพูดเป็นความจริง…งั้นไม่ใช่ว่าข้ามีสิ่งที่เหนือกว่าวรยุทธ์เซียนระดับนภาโดดเด่นอยู่กับตัวงั้นหรือ!?’

สุดท้ายพอคิดได้ถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ลมหายใจยังเริ่มถี่รัวขึ้นมาอย่างยากระงับ

“นายน้อย ท่านตื่นแล้วหรือ?!”

ด้วยความตื่นเต้นต้วนหลิงเทียนที่ผุดลึกขึ้นมานั่ง ยังลุกขึ้นมายืนพรวดด้วยอาการยินดี ทำให้ฉงเฉวียนตกใจไม่น้อย

ไม่นานทุกคนก็รับรู้เช่นกัน

“เจ้าหนูหลิงเทียน เจ้าสบายดีรึเปล่า?”

เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวถามด้วยความกังวล

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นไงบ้าง”

คนอื่นๆก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความห่วงในเช่นกัน

เมื่อเผชิญกับสายตาที่มองมาด้วยความห่วงใยของทุกคน ต้วนหลิงเทียนก็ซาบซึ้งใจไม่น้อย ยิ้มกล่าวตอบออกไปทันที “ข้าไม่เป็นอะไร”

“เจ้าหนูเจ้านั่งนิ่งไปกว่าครึ่งปี…สุดท้ายเจ้าจึงเข้าสู่ภวังค์รู้แจ้งอันใดบางอย่างงั้นหรือ?”

เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวถามด้วยความสงสัย

“ใช่”

ประสบการณ์ที่เขาพบเจอนั้นค่อนข้างอธิบายได้ยากนัก ต้วนหลิงเทียนจึงพยักหน้าตอบรับคำเฟิ่งหวู่เต้าไป

จังหวะนี้ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความอิจฉา

เพราะสุดท้ายแล้วการรู้แจ้งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

มีคำกล่าวไว้ ว่าเมื่อหนึ่งทะยานสู่สวรรค์ กระทั่งไก่สุนัขรอบกายก็ยังพลอยทะยานฟ้าตามติด พวกมันเชื่อว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนต้องยกระดับไปไม่น้อย แถมไม่นานพวกมันก็ต้องพลอยได้อานิงสงค์ด้วยแน่

เปรี๊ยะ!!

ทว่าก่อนที่คนที่มารุมล้อมต้วนหลิงเทียนจะกล่าวถามอะไรสืบต่อนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังสนั่นขึ้นมาปานฟ้าถล่ม สร้างความตกใจให้ทุกคนไม่น้อย กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่เว้น

ทันใดนั้นทุกคนก็ทราบได้ทันทีว่าเสียงสนั่นดังกล่าวมาจากไหน

วินาทีต่อมาไม่ใช่แค่เพียงต้วนหลิงเทียน กระทั่งคนอื่นๆ ยังหน้าซีดลงทันที

เพราะตอนนี้ภาพที่ปรากฏอยู่ในสองตา คือผาน้ำตกที่มีคำว่า ‘กระบี่’ สลักเอาไว้…มันกำลังแตกร้าว!

เสี้ยวพริบตารอยร้าวก็เริ่มแผ่ขยายออกไปดั่งใยแมงมุมอันเขื่อง!

คำกระบี่เองตอนนี้ก็เริ่มเลือนหาย!

ซูว! ซูว! ซูว! ซูว!

……

จากนั้นก็ปรากฏภาพที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง กระทั่งต้วนหลิงเทียนก็จำต้องขมวดคิ้ว

เพราะเมื่อผนังผาแตกร้าวมากเข้า ก็มีกลิ่นอายพลังขุมหนึ่งเอ่อล้นออกมา! เป็นปราณกระบี่อันหน้าแน่นที่คล้ายรั่วไหลออกมาจากผาน้ำตก! มันพุ่งออกมาดั่งหมอกควันสีเขียวก่อนที่จะกระจายสลายหายไปในบรรยากาศ และทันใดนั้นเอง…ผาใหญ่ก็ถล่มลงมาทันที!

ครึก ครึก ตูม! ตูม!

……

ด้วยหน้าผามหึมาทรุดทลายลงมา ย่อมบังเกิดฝุ่นดินฟุ้งตลบ แลไปยังคล้ายดอกเห็ดผุดโผล่ขึ้นมาเบ่งบาน ก่อนที่จะกระจายออกไปโดยรอบ!

อารามตกใจ ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆไม่ทันได้ป้องกันตัวจากฝุ่นธุลีอะไร ทำให้แต่ละคนถูกเศษฝุ่นเกาะเต็มตัวไปหมด สภาพคล้ายตกถังขี้เถ้ากันมาทั้งสิ้น!

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!?”

เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆตกตะลึงไม่น้อย

มีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ที่พอตระหนักได้ว่าเกิดอะขึ้น และตระหนักได้ว่าทำไมคำ ‘กระบี่’ ถึงหายไปแบบนี้

‘เซียนกระบี่ฟงชิงหยางกล่าวบอกเอาไว้ ว่าคำ ‘กระบี่’ มีไว้เพื่อหาผู้สืบทอด…ตอนที่ข้าได้รับเคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ ดูเหมือนยังจะกล่าวกำชับเอาไว้อีกว่า…ข้าจะกลายเป็นผู้สืบทอดของ หมอกพิรุณ อะไรซักอย่าง…’

‘ทำไมถึงกล่าวไว้ว่าข้าจะเป็นผู้สืบทอดแต่เพียงผู้เดียวกันนะ? หรือว่าหลังจากที่ข้าได้รับการยอมรับจากสำนึกเทวะที่สถิตย์อยู่ในคำ ‘กระบี่’ นั่น จนได้รับการถ่ายทอดยอดใจกระบี่มาแล้ว…ไม่เพียงแต่ที่ทวีปเมฆาล่อง กระทั่งทวีปมนุษย์อีก 2 ทวีป…คำ ‘กระบี่’ แบบนี้ก็จะสลายไปด้วยเช่นกัน?’

พอคิดถึงช่วงหลัง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคาดเดาออกมา

แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของต้วนหลิงเทียนฝ่ายเดียว เขาเองก็ไม่แน่ใจเต็มสิบส่วน

แต่เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้ก็คือ ทันทีที่ผาน้ำตกที่สลักคำกระบี่ไว้เบื้องหน้ามันพังทลายลง สถานการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับทวีปมนุษย์อีก 2 ทวีปเช่นกัน

ทวีปมนุษย์ 1 ในนั้นไม่มีอะไรมาก เพราะไม่มีผู้ใดพบเจอคำ ‘กระบี่’ แบบนี้

ทว่าทวีปมนุษย์อีกที่นั้นถูกคนค้นพบมานาน กระทั่งผู้ค้นพบยังถึงกับก่อตั้งนิกายเพื่อครอบครองคำ ‘กระบี่’ เอาไว้เพียงผู้เดียว สุดท้ายยังกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายด้วยซ้ำ

อนิจจาวันนี้เป็นวันที่ถูกกำหนดไว้ให้คนในนิกายต้องจดจำไปชั่วกาลนาน…

นั่นเพราะหน้าผาศักดิ์สิทธิ์ที่สลักคำ ‘กระบี่’ เอาไว้ของพวกมัน…ได้พังทลายลงแล้ว!

ตอนแรกศิษย์ที่ได้รับหน้าที่เฝ้าก็ตกตะลึงพรึงเพริดไม่น้อย เมื่อพบว่าอยู่ดีๆ ผากระบี่เทวะของพวกมันบังเกิดรอยร้าว…สุดท้ายมันก็เร่งส่งสัญญาณฉุกเฉิน ทำให้ระดับสูงของนิกายมารวมตัวกันในพริบตา

‘ผากระบี่เทวะ’ ของนิกายพวกมัน กลับพังทลายลงต่อหน้าต่อตา ภาพนี้สะท้านใจพวกมันสุดที่จะกล่าวออก!

“ผากระบี่เทวะทลายแล้ว…ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามิมีอีกแล้ว หรือนี่จักเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์พวกเรากัน ที่ครอบครองมันเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว…”

เมื่อได้เห็นภาพการล่มสลายของสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ระดับสูงของนิกายอดไม่ได้ที่จะปวดปร่าใจ ทั้งยังตื่นตระหนกกันไม่น้อย

ในอดีตนั้น ต้องทราบด้วยว่าบรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายที่ร้ายกาจที่สุด ยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ ไว้บนหน้าผากระบี่เทวะ…

อนิจจาบัดนี้ผากระบี่เทวะทลายลงกลับพังทลายกลายเป็นฝุ่นธุลี…

หากไม่ใช่สวรรค์ลงโทษแล้วจะเป็นอะไรได้?

ใตหล้านี้ยังจะมีใครทรงพลังทำอย่างนี้ได้อีก?

อย่างไรก็ตามพวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ที่ผากระบี่เทวะของพวกมันพังทลายลงมานั้น…เพราะผากระบี่เทวะในสายตาของพวกมัน ได้ค้นพบผู้สืบทอดที่แท้จริงแล้ว

เมื่อพบผู้สืบทอดที่แท้จริงแล้ว คำ ‘กระบี่’ ก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป

หากพวกมันรู้เหตุผลเรื่องนี้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียน พวกมันอาจข้ามน้ำข้ามทะเลมานับหมื่นแสนลี้เพื่อร้องหาความรับผิดชอบจากต้วนหลิงเทียนก็เป็นได้…

ตอนนี้เมื่อผาน้ำตกทั้งคำ ‘กระบี่’ พังทลายลงไปหมดแล้ว หุบเขากระบี่แห่งนี้ก็คงเหลือแต่ชื่อ…

ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ลอยร่างขึ้นมาเหนือหุบเขาเพื่อหลบฝุ่นดิน

“ทุกคน ข้าคิดจะเดินทางกลับสำนักจันทร์จรัสแสงที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…แล้วทุกคนล่ะ คิดจะทำอะไรต่อไปกันเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนว่ายตามองเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ค่อยกล่าวถามออกมา

ตอนนี้ทวีปเมฆาล่องไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเขา มิหนำซ้ำคู่หมั้นทั้ง 2 ของเขาเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้

ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน คนอื่นๆก็เงียบไปพักหนึ่ง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกมันล้วนใช้ชีวิตอยู่กันบนเกาะป้านเยว่ และนับว่าคุ้นชินกับเกาะป้านเยว่แล้ว

อนิจจาตอนนี้เกาะป้านเยว่กลับพินาศสิ้น อีกทั้งการย้อนกลับไปก็มีความเสี่ยงไม่น้อย

ตอนนี้พวกมันเลยไม่รู้จะไปไหน

“ต้วนหลิงเทียน ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันเป็นสถานที่อย่างไรหรือ?”

เฉินเฉ่าช่วยเป็นคนแรกที่ตอบออกมา มันถามต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ

“ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?”

ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็นิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวเรื่องราวดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทั้งหมดที่เขารู้ออกมา ขณะเดียวกันเขาก็บอกถึงสถานภาพของเขาในตอนนี้

“หากทุกคนอยากไปดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็สามารถมากับข้าได้…ด้วยมีศิษย์พี่ของข้าอยู่ ทุกคนสมควรปลอดภัยไร้อันตรายใดๆ”

วาจาท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนยังกล่าวรับประกันออกมามั่นเหมาะ

เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆเองก็บังเกิดความสนใจในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่น้อยหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากต้วนหลิงเทียน

ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น ไม่เพียงแรงโน้มถ่วงที่มหาศาลขึ้น ก็ไม่มีอะไรที่ทวีปมนุษย์อื่นๆและทวีปเมฆาล่องแห่งนี้เทียบได้เลย…กระทั่งยอดฝีมือด่านพลังจักรพรรดิ ก็ไม่นับเป็นตัวอะไร

สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะ หินเซียน และวรยุทธ์เซียนนั้น ยังเป็นอะไรที่เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆให้ความสนใจนัก

“ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์แล้วหรือ?”

หนานกงยี่มองต้วนหลิงเทียนเขม็งพร้อมถาม