ตอนที่ 152 ก่อนงานเลี้ยงในวัง องค์ชายเก้าหรงจิ่นผู้ไร้เหตุผล (4)

หวนคืนชะตาแค้น

ถึงแม้จะถูกคนหิ้วตัวโยนลงพื้นแต่มู่หลิงกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด เขาเพียงรู้สึกตื่นเต้นและดีใจเท่านั้น เขาอัดอั้นมาตั้งหลายวันในที่สุดก็จับจุดอ่อนของมู่ชิงอีได้สักที มู่ชิงอีทำร้ายเขาจนตกอยู่ในสภาพน่าอนาถแค่ไหน เขาก็จะทำให้หญิงผู้นี้ตกอยู่ในสภาพอนาถมากกว่าเขาแค่นั้น เดิมทีนึกว่านางเสียโฉมไปแล้วแต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกนางหลอกเอาได้ ครั้งนี้เขาจะทำให้มู่ชิงอีเสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกคนมากมายเหยียดหยาม!

หรงจิ่นก้มหน้ากวาดตามองคนบนพื้น จากนั้นก็ยิ้มตาหยีมองมู่ชิงอีพร้อมกล่าวว่า “ทำเช่นไรดีล่ะชิงชิง ถูกคนๆ นี้เห็นเข้าแล้ว เจ้าจะอภิเษกกับข้าหรือจะฆ่าปิดปากเขาดีเล่า” หรงจิ่นพูดพลางมองมู่ชิงอีด้วยสายตาน่าสงสาร ราวกับแววตาต้องการสื่อว่า อภิเษกกับข้าเถิด

มู่ชิงอีก็กวาดตามองมู่หลิงเช่นกันพลางขบคิดอย่างจริงจังแล้วกล่าวว่า “ฆ่าทิ้ง”

องค์ชายเก้าหัวใจแทบสลาย ส่วนมู่หลิงหวาดกลัวจับใจ

“เจ้ายอมฆ่าพี่รองของเจ้าแต่จะไม่ยอมอภิเษกกับข้าอย่างนั้นหรือ”

“เจ้ากล้าฆ่าข้า?”

มู่ชิงอีมองพวกเขาทั้งสองด้วยท่าทีสงบ องค์ชายเก้าเห็นว่าแสดงละครไปก็ไร้ผลเลยทำได้แค่ยู่ปาก จากนั้นก็โบกมือให้อู๋ฉิงพลางเอ่ย “ช่างเถิด ไปเสีย จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วกัน”

“พวก…พวกเจ้า…” มู่หลิงเอ่ยด้วยท่าทีตื่นตระหนก “ที่นี่คือวังหลวง พวกเจ้าไม่กล้าฆ่าคนที่นี่หรอก!” องค์ชายเก้าพ่นลมหายใจอย่างดูแคลน “โง่จริงๆ หากข้าเป็นเจ้าจะไม่มีทางตะโกนโวยวายในเวลานี้แน่นอน มิใช่ว่ารอถูกคนฆ่าปิดปากอยู่หรือ พอเจ้าตายไปก็อย่าลืมบอกยมบาลว่าเจ้าโง่ด้วยล่ะ”

“ช่วย…” มู่หลิงตะโกนร้องอย่างหวาดกลัว

เพียงแค่อู๋ฉิงที่อยู่ด้านหลังดีดนิ้วสกัดจุดสำคัญด้านหลังเบาๆ ในชั่วพริบตาเดียว มู่หลิงที่เดิมทีคิดจะแหกปากร้องเรียกให้คนช่วยก็หมดสติไปในทันที “องค์ชาย ฆ่าเลยหรือ”

หรงจิ่นสำรวจร่างเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วจะเก็บไว้รอเขาพูดให้ร้ายชิงชิงอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ไม่ใช่กลัวว่าเขาจะพูดเรื่องท่านคิดจะฆ่าเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นมากกว่ากระมัง

ไม่ว่าเพราะอะไรแต่อย่างไรเสียก็เก็บมู่หลิงผู้นี้ไว้ไม่ได้แล้ว หรงจิ่นโบกมือสื่อว่าให้อู๋ฉิงไปจัดการ ครั้นเห็นอู๋ฉิงหิ้วตัวมู่หลิงเดินลับหลังภูเขาปลอมจากไปแล้ว มู่ชิงอีก็ถอนหายใจเสียงเบา

เดิมทีตนคิดว่าจะยังไม่ลงมือฆ่ามู่หลิงเร็วขนาดนี้ แต่ว่า…ไม่ช้าก็เร็วนางก็ต้องจัดการคนในจวนซู่เฉิงโหวอยู่ดี ช้ากว่าหน่อยเร็วกว่าหน่อยคงไม่แตกต่างกันหรอกกระมัง เช่นนั้น…ก็เริ่มจากมู่หลิงก่อนคนแรกแล้วกัน

“ชิงชิงไม่ต้องกลัว ถึงชิงชิงจะฆ่าใครก่อน ข้าก็จะจัดการจนเจ้าพอใจอยู่แล้ว” หรงจิ่นเอ่ยเสียงอ่อนโยน มู่ชิงอีส่ายศีรษะเล็กน้อยกล่าว “พวกเราไปกันเถิด ถ้าถูกใครเห็นเข้าอีกจะวุ่นวายเอาได้ องค์ชายเองก็เลิกก่อกวนเสียที”

“ก่อกวน?” หรงจิ่นไม่เข้าใจ

“เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่น!” มู่ชิงอีกัดฟันพูด หากฆ่าเกอซูฮั่นได้ง่ายดายขนาดนั้นคงไม่มีคนๆ นี้อยู่บนโลกนี้นานแล้ว แล้วจะเหลือมาให้หรงจิ่นฆ่าได้หรือ “หม่อมฉันกับเกอซูฮั่นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกัน หากองค์ชายยังก่อกวนอีกหม่อมฉันจะโกรธแล้วนะเพคะ”

องค์ชายเก้ามุ่นคิ้วอย่างนึกน้อยใจแล้วกล่าวโทษว่า “ชิงชิงชอบเอาแต่โกรธข้า แต่กลับเอาแต่ยิ้มให้เกอซูฮั่น” มู่ชิงอีขึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด

นี่เป็นความผิดของนางอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมใครบางคนไม่คิดบ้างว่าตัวเองเอาแต่ยั่วโมโหคนอื่นทั้งวัน

ครั้นเห็นว่านางจะโกรธเข้าแล้วจริงๆ หรงจิ่นถึงรีบเปลี่ยนคำพูดว่า “ก็ได้ ไม่ฆ่าก็ได้ แต่อัดเขาสักยกหนึ่งคงได้กระมัง”

“หากองค์ชายสู้ได้ล่ะก็นะเพคะ” มู่ชิงอีเชื่อมั่นในพละกำลังมือฉกาจอันดับหนึ่งแห่งเป่ยฮั่นของเกอซูฮั่น ส่วนหรงจิ่นผู้ที่ร่างกายขี้โรคอ่อนแอเป็นพักๆ เช่นนี้…

หากถูกสั่งสอนพอแล้วคงสำนึกบ้างว่าการก่อกวนบางเรื่องก็ใช้ไม่ได้ผลกระมัง

งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวาเริ่มตอนพลบค่ำลากยาวจนไปถึงกลางดึก เดิมทีประตูวังควรจะปิดหลังตะวันตกดินทุกวัน มีเพียงตอนที่จัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ในวังเท่านั้นถึงจะเลื่อนเวลาไปเป็นตอนดึก

เพราะขุนนางระดับสามขึ้นไปทั่วทั้งเมืองหลวงพร้อมทั้งครอบครัวล้วนมาร่วมงานเลี้ยงได้ รวมถึงแขกบ้านแขกเมืองหรือราชทูตแคว้นอื่นที่ได้รับเชิญเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้นในงานเลี้ยงจึงมีคนมากมายนับพันคน ตำหนักในวังย่อมจุคนขนาดนั้นไม่ไหว ดังนั้นงานเลี้ยงจึงถูกจัดในพระตำหนักหวงจี๋ฝั่งตะวันออกของสวนดอกไม้ พระตำหนักนี้เป็นสถานที่ที่ไว้ใช้จัดงานเลี้ยงโดยเฉพาะ แน่นอนว่าคนที่เข้าพระตำหนักได้ต้องเป็นขุนนางระดับสองหรือผู้มีอิทธิพลตำแหน่งใหญ่โตเท่านั้น ส่วนขุนนางทั่วไปและเหล่าลูกหลานตระกูลร่ำรวยทำได้แค่นั่งอยู่นอกพระตำหนัก

มู่ชิงอีไม่ได้นั่งกับพวกคนในจวนซู่เฉิงโหวแต่กลับถูกองค์หญิงใหญ่ลากตัวไปนั่งกับบรรดาองค์หญิงคนอื่นๆ เหล่าองค์ชายองค์หญิงที่มีชีวิตอยู่ในเวลานี้มีองค์ชายอยู่สิบกว่าพระองค์และองค์หญิงเก้าพระองค์ คนที่อายุมากที่สุดอย่างฝูอ๋องและองค์หญิงใหญ่ซึ่งอายุก็ปาไปสามสิบกว่าชันษาแล้ว ส่วนองค์ชายและองค์หญิงที่อายุน้อยที่สุดกลับดูท่าจะอายุเพียงสามสี่ชันษาเท่านั้น องค์หญิงที่นั่งถัดลงไปจากองค์หญิงหมิงเวยแบ่งเป็นองค์หญิงสามหมิงอวี้ องค์หญิงสี่หมิงเย่ว์และองค์หญิงห้าองค์หญิงหมิงฮุ่ย ถัดลงไปอีกเป็นองค์หญิงแปด องค์หญิงเก้าและองค์หญิงสิบ ส่วนองค์หญิงเล็กสองพระองค์คือองค์หญิงสิบสองและสิบสามที่เพิ่งอายุเพียงสามชันษาเท่านั้น ส่วนพระมารดาไม่ได้มีตำแหน่งสูงอะไร เวลานี้ถูกแม่นมอุ้มและนั่งอยู่ข้างมารดาของพวกนาง

บรรดาองค์หญิงทุกพระองค์ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่จู่ๆ ท่ามกลางองค์หญิงกลับมีคนแปลกหน้าโผล่ขึ้นมาคนหนึ่งย่อมเป็นที่จับตามองของทุกคน ครั้นแขกเหรื่อมากมายเห็นหญิงสาวในชุดจวิ้นจู่สีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างกายองค์หญิงหมิงเวยก็อดลอบคาดเดาสถานะของหญิงสาวคนนี้ในใจไม่ได้ ทว่าบรรดาสตรีของเหล่าขุนนางเจอมู่ชิงอีมาก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้จะประหลาดใจกับใบหน้างดงามของมู่ชิงอีแต่กลับไม่ได้ซุบซิบเรื่องนางแต่อย่างใด ไม่นานสถานะของมู่ชิงอีก็ถูกเล่าลือไปทั่วพระตำหนักใหญ่ มีคนไม่น้อยจับจ้องสาวงามที่กำลังสนทนากับองค์หญิงหมิงเวยอย่างไม่วางตา แต่ละคนขบคิดในใจไปต่างๆ นาๆ

ตำแหน่งฉังหนิงจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งเอง อีกทั้งยังเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหวและเป็นน้องสาวของโหรวเฟย ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินมาว่านางเสียโฉมแล้ว แต่ดูจากตอนนี้แล้วนางเสียโฉมที่ไหนกัน ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางเหล่าองค์หญิงที่สวมเครื่องอาภรณ์งดงามสง่าสูงศักดิ์แต่กลับไม่เป็นรองใครเลย อีกอย่างดูจากท่าทางขององค์หญิงแล้ว ฝ่าบาทคงโปรดฉังหนิงจวิ้นจู่ผู้นี้ไม่น้อย

ตอนที่มู่ชิงอีเดินตามองค์หญิงหมิงเวยเข้าประตูมา นางก็สังเกตเห็นสายตาคนมากมายที่มองสำรวจนาง แต่หนึ่งในสายตาดุดันเป็นของมู่ฉังหมิงที่นั่งอยู่ตำแหน่งด้านหลัง ครั้นเห็นสีหน้าตกตะลึงของมู่ฉังหมิง มู่ชิงอีก็แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ คาดว่าก่อนมางานเลี้ยงมู่ฉังหมิงคงไม่ได้ไปเจอโหรวเฟยเลยทำให้เขาไม่รู้ข่าวที่สำคัญขนาดนี้กระมัง พอคิดถึงตรงนี้มู่ชิงอีก็ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มบางๆ ให้มู่ฉังหมิง จากนั้นก็ได้เห็นสีหน้าเรียบตึงยิ่งกว่าเดิมของเขาอย่างสมใจ

ฮ่องเต้แคว้นหวาและองค์ไทเฮายังไม่มา ภายในพระตำหนักคึกคักไม่น้อย ราชทูตแคว้นอื่นที่นั่งอยู่เบื้องหน้ามีองค์ชายและเหล่าอ๋องนั่งต้อนรับ สองสตรีที่นั่งท่ามกลางคณะทูตอย่างองค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่ก็นั่งข้างกายองค์ชายผู้พี่ของตัวเองไป เหล่าองค์หญิงกลับสนุกสนานโดยไม่ต้องมีใครมานั่งเป็นเพื่อนเลย

มู่ชิงอีกวาดตามองตำแหน่งที่นั่งของมู่ฉังหมิงฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ทว่ามีเพียงมู่เชินที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของมู่ฉังหมิง ส่วนมู่หลิงกลับหายไปไม่เห็นเงา เหมือนว่าบนใบหน้าของมู่ฉังหมิงเองก็ไม่ได้แสดงสีหน้าร้อนใจแต่อย่างใด มู่ชิงอีเข้าใจในทันที มู่ฉังหมิงคงคิดว่ามู่หลิงถูกจัดให้นั่งอยู่ด้านนอก เพราะในเมื่ออย่างน้อยคนที่นั่งในพระตำหนักต้องมียศเป็นข้าหลวงในราชสำนักหรือขุนนางตำแหน่งใหญ่ อีกอย่างตอนนี้ตามหลักแล้วมู่หลิงไม่มีสถานะใดเลยจึงไม่มีสิทธิ์นั่งในพระตำหนัก ครั้นนึกถึงว่ามู่ฉังหมิงจะแสดงท่าทีเช่นใดตอนรู้ข่าวการตายของมู่หลิงในวันพรุ่งนี้ ฉับพลันมู่ชิงอีก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย

ตอนต่อไป