ตอนที่ 153 ระยะห่างจากจวิ้นจู่ไปเป็นองค์หญิง (1)

หวนคืนชะตาแค้น

“คุณชายเว่ยยังไม่มาเป็นเพราะอาการของแม่นางเชียนหลิงยังไม่ดีขึ้นอย่างนั้นหรือ” อยู่ดีๆ องค์หญิงสามที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็เอ่ยปากถามขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นในสวนดอกไม้ตอนช่วงบ่าย เหล่าองค์หญิงต่างรู้กันหมดแล้ว ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวายังไม่ได้ตรัสว่าจะลงโทษเรื่องขององค์หญิงหมิงฮุ่ยเช่นใด แต่ตอนที่ฮองเฮากราบทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบกลับแสดงท่าทีไม่พอพระทัยอย่างมาก เพียงแต่วันนี้ไม่ใช่วันธรรมดา พระองค์ถึงไม่ได้แสดงอารมณ์เกรี้ยวโกรธออกมาแต่อย่างใด

องค์หญิงหมิงฮุ่ยถูกตามใจจนเหลิง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับองค์หญิงองค์ชายองค์อื่นๆ ด้วย ถึงแม้คำพูดนี้องค์หญิงสามจะไม่ได้เจาะจงไปที่องค์หญิงหมิงฮุ่ย แต่สายตาขององค์หญิงองค์อื่นๆ ที่มองไปทางองค์หญิงหมิงฮุ่ยกลับสื่อออกว่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่รำไร วันนี้องค์หญิงหมิงฮุ่ยโดนจู่โจมไม่น้อย นางไม่ได้เอ่ยคัดค้านอะไรเพียงแต่นั่งหน้าขรึมอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่พูดจาอะไรทั้งสิ้น

องค์หญิงหมิงเวยมุ่นคิ้วแล้วส่ายหน้าให้องค์หญิงสามพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “น้องหญิงสาม…”

องค์หญิงสามเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

“คุณชายเว่ยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา องค์หญิงไม่กี่พระองค์ที่กำลังซุบซิบพูดคุยเสียงเบาอยู่ ฉับพลันด้านนอกประตูก็มีเสียงแหลมสูงของขันทีกราบทูลดังขึ้น จากนั้นก็เห็นเว่ยอู๋จี้ในชุดผ้าแพรสีม่วงช่วยประคองแม่นางเชียนหลิงเข้ามาอย่างระมัดระวัง พอเดินมาถึงหน้าที่นั่งเขาก็ประคองตัวเชียนหลิงนั่งลงพร้อมกัน ตำแหน่งที่นั่งของเว่ยอู๋จี้จัดอยู่หลังราชทูตของแคว้นเย่ว์และเป่ยฮั่นแต่นั่งอยู่หน้าทูตแคว้นเล็กๆ คนอื่นๆ ดังนั้นนี่จึงทำให้เห็นถึงความสำคัญที่ฮ่องเต้แคว้นหวามีต่อเขาอย่างชัดเจน

ทันทีที่พวกเขาเข้ามา แววตาของบุรุษมากมายในงานก็จับจ้องไปที่เชียนหลิงราวกับต้องมนต์สะกด เชียนหลิงอาจมิใช่สาวงามที่สุดที่พวกเขาเคยเจอมาก่อนแต่กลับเป็นสตรีที่บุคลิกบอบบางที่สุดจนชวนให้รู้สึกอยากทะนุถนอมปกป้องนางเหลือเกิน บางครั้งบุคลิกของสตรีก็สำคัญกว่าหน้าตามากนัก อย่างองค์หญิงหมิงฮุ่ย หากไม่พูดถึงเรื่องสถานะองค์หญิง รูปโฉมขององค์หญิงหมิงฮุ่ยย่อมงดงามกว่าเชียนหลิงอยู่แล้ว แต่สิ่งที่องค์หญิงหมิงฮุ่ยพูดออกมากลับชวนให้บุรุษส่วนมากรู้สึกรำคาญ ทว่าสิ่งที่เชียนหลิงพูดออกมากลับชวนให้รู้สึกเอ็นดูจับใจ

ครั้นกวาดสายตามองแววตาของทุกคนแวบหนึ่ง เว่ยอู๋จี้ก็ปรากฏความไม่พอใจพาดผ่านออกมาทางสายตา เห็นได้ชัดว่าเชียนหลิงออกงานใหญ่โตเช่นนี้เป็นครั้งแรก นางอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเว่ยอู๋จี้อย่างนึกหวาดกลัว “อู๋จี้…”

เว่ยอู๋จี้ก้มศีรษะลูบไหล่เล็กของนางแผ่วเบาแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “อย่ากลัวไปเลย ไม่มีอะไร”

เชียนหลิงพยักหน้าแล้วยิ้มบางอย่างอ่อนแรง “อืม…ข้าไม่กลัวหรอก”

“ท่านนี้คือคู่หมั้นของคุณชายเว่ยใช่หรือไม่ คุณชายช่างมีบุญนัก” องค์ชายสามที่นั่งในละแวกนั้นยกจอกเหล้าขึ้นให้เว่ยอู๋จี้แล้วยิ้มกล่าว เว่ยอู๋จี้พยักหน้ารับ “ขอบพระทัยองค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”

คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ต่างก็ทยอยเอ่ยชมว่าเว่ยอู๋จี้มีบุญกันไม่ขาดปาก แต่ถ้ามองให้ดีๆ จะสังเกตเห็นว่าความจริงแล้วเหล่าองค์ชายและท่านอ๋องกลับไม่เห็นด้วยทั้งสิ้น เชียนหลิงงดงามอยู่ก็จริงแต่สำหรับพวกเขาที่รู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าคู่ชีวิตที่เหมาะสมและเอื้อผลประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูลในแง่ของเหล่าองค์ชายแล้วเป็นเช่นใด เชียนหลิงไม่เหมาะจะเป็นภรรยาเอก หากเป็นอนุภรรยาคนโปรดอะไรทำนองนั้นก็ได้อยู่ แต่หากเป็นภรรยาเอกคงเป็นดั่งต้นหลิวที่โอนเอนไปมาไม่แข็งแรง เห็นได้ชัดว่าสตรีบอบบางร่างกายอ่อนแอคงยากที่จะเข้าสังคมชั้นสูงได้ แต่ชื่นชอบหญิงสาวแบบไหนคงเป็นเรื่องของเว่ยอู๋จี้ เหล่าองค์ชายไม่จำเป็นต้องไปล่วงเกินเขา ในเมื่อพูดเยินยอไปไม่กี่ประโยคก็ไม่ได้เสียหายอะไร

ครั้นได้ยินคำชมเชยของเหล่าองค์ชาย ใบหน้างดงามที่ซีดขาวของเชียนหลิงก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างและยิ่งงุดหน้าอยู่ในอ้อมอกของเว่ยอู๋จี้จนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างขัดเขิน ท่าทางเขินอายเช่นนี้กลับทำให้คนในตำหนักแตกความคิดออกเป็นสองฝ่าย บุรุษส่วนมากรู้สึกคันยุบยิบในใจที่คุณชายเว่ยได้หญิงสาวดีๆ และอิจฉาที่เขามีแต่สตรีรุมล้อมไม่เคยขาด แต่มีคนส่วนน้อยรู้สึกว่าหญิงสาวอย่างเชียนหลิงไม่ได้เกิดมาจากตระกูลผู้ดี กระทั่งแม้แต่ตระกูลเล็กๆ ก็ยังนับไม่ได้ด้วยซ้ำซึ่งยากที่จะเข้าสังคมชั้นสูงได้จริงๆ รสนิยมความชอบของคุณชายเว่ยมันช่าง…พิเศษจริงๆ!

“นี่คือ…คู่หมั้นของคุณชายเว่ยหรือ” เหล่าองค์หญิงที่ถกเถียงกันก่อนหน้านี้ต่างมีท่าทีตกตะลึงแล้วมองสตรีที่อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเว่ยอู่จี้ทางฝั่งตรงข้ามที่ไม่รู้ว่าคุยกระหนุงกระหนิงอะไรกันอย่างเหลือเชื่อ พวกนางในฐานะองค์หญิงสถานะสูงส่ง ไม่ว่าขยับท่วงท่าใดก็ต้องมีคนคอยสอนโดยเฉพาะมาตั้งแต่เด็กจนโต แม้แต่คนที่เอาแต่ใจอย่างองค์หญิงหมิงเวย ถึงแม้จะทำผิดเลอะเลือนเรื่องคุณชายเว่ยไปบ้างแต่การวางตัวก็ยังนับว่าปกติอยู่

ทว่า สตรีตรงหน้า…ป่วยอาการสาหัสหรือร่างกายไม่มีกระดูกกันแน่ ในเมื่อคุณชายเว่ยเลือกคู่หมั้นเช่นนี้ มิน่าเล่าองค์หญิงหมิงฮุ่ยถึงไม่สบอารมณ์!

อยู่ดีๆ เหล่าองค์หญิงและจวิ้นจู่ในงานก็เข้าใจความรู้สึกขององค์หญิงหมิงฮุ่ยขึ้นมาในทันที หากสตรีแบบนี้ยังต้องตาคุณชายเว่ยได้ แล้วเหตุใดถึงมองข้ามพวกนางไปได้เล่า หรือจะบอกว่าคุณชายเว่ยชอบนังปีศาจแสนบอบบางเหมือนบุรุษทั่วไปอย่างนั้นหรือ

องค์หญิงสี่อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “แม่นางเชียนหลิงเป็นใครมาจากไหน คงไม่ใช่ว่า…”

คงไม่ใช่ว่าเป็นนางโลมหลุดมาจากหอนางโลมที่ใดหรอกกระมัง

องค์หญิงสามและองค์หญิงสี่ผ่านการอภิเษกมาแล้วย่อมพูดจาตรงไปตรงมามากกว่าพวกองค์หญิงที่ยังไม่ได้ผ่านการอภิเษกสมรส

องค์หญิงหมิงเวยหันมาเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย คุณชายเว่ยต้องตาใครก็เป็นเรื่องของเขา พวกเราเข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้”

เว่ยอู๋จี้กล้าหักหน้าฮองเฮาเพื่อเชียนหลิง แล้วยังร้องขอความยุติธรรมจากเสด็จพ่อซึ่งก็สื่อให้เห็นความสำคัญของเชียนหลิงแล้ว ในฐานะที่พวกนางเป็นองค์หญิงก็ไม่ควรไปหาเรื่องคนแบบนี้เลยจริงๆ

องค์หญิงทั้งสองรู้ตัวว่าพูดเกินงามเลยรีบปิดปากแล้วไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่แววตาที่จับจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามออกจะแปลกๆ ไปสักหน่อย

ทว่ามู่ชิงอีกลับมองอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น นางมองเชียนหลิงแตกต่างไปจากคนอื่น นางรู้สึกว่าเชียนหลิงไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจกฎระเบียบการวางตัวจริงๆ หากนางเป็นคู่หมั้นของเว่ยอู๋จี้จริง เว่ยอู๋จี้พานางเข้าวังมาแล้วจะไม่บอกเรื่องกฎระเบียบการวางตัวเลยได้เช่นไร ต่อให้เว่ยอู๋จี้จะสะเพร่าเพียงใดก็ต้องคิดเผื่อว่าหากเชียนหลิงไม่รู้กฎระเบียบการวางตัวแล้วทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวาหรือกระทั่งฮองเฮาทรงกริ้วเข้าแล้วเขาจะจัดการรับมือเช่นใด อีกอย่างนางเพิ่งเห็นสีหน้าสบายใจและได้ใจบนใบหน้าของแม่นางเชียนหลิง เห็นได้ชัดมากว่าแม่นางเชียนหลิงจงใจนั่นเอง ถึงแม้จะไม่รู้ว่านางแสดงท่าทางเช่นนี้ไปเพื่ออะไรแต่นางต้องจงใจอย่างแน่นอน

“อู๋จี้…” เชียนหลิงที่พิงแนบเว่ยอู๋จี้ร้องเรียกเสียงหวาน

“หืม?” เว่ยอู๋จี้ขานรับเสียงต่ำ

“แม่นางคนนั้นเป็นใครหรือ ช่างงดงามนัก” มู่ชิงอีกำลังสำรวจนาง ส่วนเชียนหลิงเองก็กำลังมองมู่ชิงอีอยู่เหมือนกัน สตรีที่ประสาทสัมผัสไวมักมีสัญชาตญาณสามารถหาตัวสตรีอื่นที่คุกคามตนได้ก่อนเสมอ

เว่ยอู๋จี้เงยหน้ามองสาวน้อยในชุดสีเหลืองที่กำลังอมยิ้มมองมาทางเขาแวบหนึ่ง ใบหน้างดงามสะอาดหมดจดอย่างที่เชียนหลิงพูดจริงๆ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นมิใช่รูปลักษณ์ของนางแต่เป็นบุคลิกสบายๆ แตกต่างไปจากคนอื่นและรอยยิ้มสดใสที่สื่อผ่านแววตา นางไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไปที่อิจฉาริษยาในความรักของพวกเขาอะไรทำนองนั้นแต่กลับเหมือนดูละครสนุกๆ อยู่ก็ไม่ปาน

เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “น่าจะเป็นมู่ชิงอีผู้ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เป็นฉังหนิงจวิ้นจู่”

“ฉังหนิงจวิ้นจู่” เชียนหลิงถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงหวาน “นางช่างงดงามนัก…อีกอย่างสุขภาพยังดีอีกด้วย”

เว่ยอู๋จี้คิดจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าหลังพระตำหนักกลับมีเสียงแหลมสูงของข้าหลวงในวังดังขึ้นว่า “ฝ่าบาทเสด็จ! ไทเฮาเสด็จ! ฮองเฮาเสด็จ!”

ตอนต่อไป