บทที่ 171 อาจเป็นได้ 6 (1)

คาร์ลเริ่มสังเกตพวกเอลฟ์อย่างพิจารณามากขึ้นในขณะที่ในมือก็กำทองคำแท่งและถุงใส่เหรียญเอาไว้แน่น

นักบวชตัวน้อยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะสะดุ้งโหยงขึ้นทันทีเมื่อสายตาไปสะดุดกับร่างของราอนที่อยู่ข้างๆคาร์ล

“เฮือก!”

พวกเขาทั้งหมดเห็นว่าเธอกำลังตะลึงอ้าปากค้าง

ราอนพูดเข้าในหัวของคาร์ลเพื่อแบ่งปันความประทับใจที่มีต่อเอลฟ์ตัวน้อย

~นางดูเป็นเอลฟ์ที่ดี!~

จากนั้นมันก็จ้องไปที่ถุงใส่เหรียญขนาดใหญ่ในมือของคาร์ล ในขณะเดียวกันนักบวชเอลฟ์ตัวน้อยก็โค้งคำนับราอน

“เป็นเกียรติของข้าน้อยยิ่งนักที่ได้ผมกับท่านมังกร! ข้าน้อยชื่อ‘อดิท’รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลต้นไม้โลกในหมู่บ้านเอนด์แห่งนี้!”

“โอ้!”

คาร์ลอุทานออกมาเบาๆ เขาไม่เคยเห็นเอลฟ์ที่รักษาอาการของตนให้สงบลงได้เมื่อพบกับมังกรเช่นเธอมาก่อน เขายังจำสิ่งที่อูฮาเบ็นบอกไว้ได้

‘ถ้าเอลฟ์ตนอื่นๆไม่พร้อมจะรับฟัง..เจ้าจงคุยกับเอลฟ์ที่ดูแลต้นไม้โล.แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง’

‘ไม่พร้อมจะรับฟัง’ ประโยคนี้สื่อถึงพวกเอลฟ์ที่มัวแต่ซาบซึ้งกับการได้พบกับมังกรจนไม่คิดสนใจกับสิ่งรอบข้าง แม้ว่าคาร์ลจะพูดอะไรออกไปพวกเขาก็จะไม่ยอมรับฟัง

“อึ้ม!..ข้าดีใจที่ได้พบเจ้าเช่นกัน..เจ้าเอลฟ์ตัวน้อย!”

คำทักทายที่เต็มไปด้วยความสดใสของราอนทำให้เอลฟ์ทุกคนเริ่มยิ้ม

สายตาของพวกเขาทั้งหมดพุ่งไปที่ร่างของราอนในขณะที่ใบหน้าก็พยักขึ้นลงไม่หยุด

พวกเขาชำเลืองสายตามาที่คาร์ลเป็นระยะแต่มันก็น้อยมากจนแทบจะนับครั้งได้เลย ทั้งๆที่คาร์ลเป็นผู้มาส่งสารให้กับอูฮาเบ็นแท้ๆ ด้วยสิ่งที่พวกเอลฟ์เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้มันยากมากที่พวกเขาจะเข้าใจในสิ่งที่คาร์ลจะพูด

ไม่ใช่ว่าพวกเอลฟ์คิดจะเพิกเฉยกับคาร์ลแต่พวกเขาไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้หยุดจ้องไปที่ราอนได้

แน่นอนว่ามีบางอย่างที่คาร์ลไม่รู้

มีเหตุผลอีกอย่างที่ทำให้พวกเอลฟ์พยักหน้าและมองมาที่คาร์ลเป็นระยะๆ

มันเป็นเพราะการสนทนาของสิ่งมีชีวิตที่คาร์ลไม่สามารถมองเห็นได้

– ต้นไม้โลกเรียกนักบวชน้อยไปพบเพราะมนุษย์ผมแดง!นี่เป็นเวลามากกว่าร้อยปีแล้วที่ต้นไม้โลกพูดถึงมนุษย์! –

-มนุษย์ผู้นี้มีออร่าที่แข็งแกร่งจากธรรมชาติ!เขาอาจเป็นมนุษย์ที่มีองค์ประกอบตามธรรมชาติมากที่สุด!-

-ข้าไม่แปลกใจเลยที่เขาเกี่ยวข้องกับมังกรถึง 2 ตน! มนุษย์ผู้นี้มีกลิ่นที่ดีจริงๆ! –

ธาตุกำลังพูดถึงคาร์ลอย่างเมามัน

พวกเอลฟ์ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองมาที่คาร์ลเป็นระยะๆหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ธาตุพูด

“หืม?”

หลังจากนั้นไม่นานคาร์ลก็ตระหนักได้ว่าพวกเอลฟ์เริ่มหันมามองเขาถี่ขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นนักบวชตัวน้อยเริ่มกุมมือของตนแน่นขึ้นพร้อมกับทำจมูกฟึดฟัดราวกับสะกดใจตนเอง

‘…นี่มันแปลกมาก’

แผ่นหลังของคาร์ลเริ่มสั่นไหวเมื่อเริ่มตระหนักได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

ฟิ้วววว~~~~

คาร์ลรู้สึกได้ถึงลมที่พัดผ่านร่างของตนไปแต่ทุกสิ่งรอบตัวกลับนิ่งสนิทไม่มีลมพัดอย่างที่คาร์ลคิด

“…นี่มันอะไรกัน?”

คาร์ลเริ่มกังวลขึ้นเรื่อยๆ

1,2,3,4,——

เขามองเห็นธาตุซึ่งมีรูปร่างกึ่งโปร่งแสงกึ่งมีสีสันเป็นจำนวนมาก

มันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่หมู่บ้านเอลฟ์ในภูเขาสิบนิ้วก็มีกรณีแบบนี้เช่นกัน

มันมีธาตุที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นจำนวนมาก

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกันเพราะธาตุเกิดจากต้นไม้โลก ที่นี่คือบ้านเกิดของพวกมัน

ปัญหามันอยู่ที่อื่น

ธาตุทั้งหมดจะไปรวมตัวกันที่ไหน?

“ว้าววว!!”

ฮงอุทานออกมาด้วยความชื่นชม

“เยอะแยะไปหมดเลย!”

ออนก็ดูตื่นเต้นเช่นกัน

ธาตุจำนวนมากกำลังมารวมตัวกันอยู่ข้างๆคาร์ล เขามองเห็นธาตุกำลังบินวนรอบๆตัวเขา ดูเหมือนพวกมันจะคุยอะไรบางอย่างแต่คาร์ลไม่สามารถเข้าใจได้

-ข้าได้กลิ่นลม! มันถูกซ่อนเอาไว้ลึกมากแต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันคือกลิ่นของลม!-

-มีกลิ่นของไม้ด้วย! ใช่อยู่!ที่ไม้มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับพื้นดินและองค์ประกอบอื่นๆของธรรมชาติแต่ไม้ที่อยู่ในตัวเขาดูมั่นคงยิ่งนัก! ข้ารู้สึกได้ถึงความหนักแน่นของพลังนี้!ช่างวิเศษเหลือเกิน!-

-อืม..ข้าได้กลิ่นหอมจากน้ำด้วย!มันช่างดึงดูดใจให้ข้าเข้าไปหา!-

นักบวชตัวน้อยให้ความสนใจกับความเห็นเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงประโยคต่อมาที่ทำให้สติของเธอไปจดจ่ออยู่ที่มันจนหมด

-เขามีออร่าจากไฟเช่นกัน..ใช่แล้ว! ไฟนี้โลภยิ่งนักแต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้พลังของมันดูบริสุทธิ์และสวยงาม! ไฟในตัวของเขาเป็นพลังธรรมชาติที่แท้จริง!-

ทะเลเพลิง

ประโยคดังกล่าวสะท้อนเข้ามาในใจของนักบวชเอลฟ์ เธอกุมมือของตนแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ท่านเป็นผู้ส่งสารของท่านอูฮาเบ็นหรือไม่?”

คาร์ลรู้สึกรำคาญกับพวกธาตุที่บินวนรอบๆตัวเขาแต่ก็พยายามฝืนยิ้มและคิดจะตอบออกไป อย่างไรก็ตามเขากลับช้ากว่าราอน

“ใช่แล้ว! เจ้ามนุษย์ของเราเป็นคนดีมาก! ชื่อของเขาคือคาร์ล เฮนิตัส! ชื่อของเขาช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

ธาตุเริ่มบินรอบๆตัวคาร์ลด้วยความเร็วที่แรงขึ้น ในขณะที่คาร์ลก็ยังฝืนยิ้มส่งไปให้ราอนที่ยืนอยู่ข้างๆและพวกเอลฟ์ที่กำลังจ้องมาที่เขาอยู่

“ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่าน…ข้า! คาร์ล เฮนิตัส”

การปรากฏตัวของขุนนางผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและน่าเชื่อถือได้กลับมาอีกครั้ง

เอลฟ์วัยกลางคนมองคาร์ลด้วยความพอใจ เขาก้าวมาข้างหน้าอีกครั้งเพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“ข้าน้อยชื่อ‘ดิกเกอร์’เป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่าขอรับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักท่านเช่นกัน”

คาร์ลและดิกเกอร์เอ่ยทักทายกันอย่างมีมารยาท พาสตันมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าว่างเปล่าก่อนจะได้ยินเสียงสั่นๆดังขึ้นข้างๆหู

“อะ..อะไรกัน?”

วาฬเพชฌฆาตอาร์ชีตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่คิดมาก่อนว่าเอลฟ์ที่ทระนงในตัวสูงเช่นนี้จะเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองได้ในชั่วพริบตา

ในที่สุดอาร์ชีก็เข้าใจว่าคาร์ลหมายถึงอะไร เมื่อเขาบอกว่าพวกเอลฟ์จะร้องไห้ที่ได้เห็นราอน

มันอยากที่จะเชื่อในสิ่งนี้! ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของเอลฟ์ที่มีต่อราอนแต่การที่คาร์ลถูกห้อมล้อมไปด้วยธาตุทำให้เขาตกใจยิ่งขึ้นไปอีก

‘เขาเป็นมนุษย์จริงๆใช่มั้ย?’

เขาถามตัวเองในใจแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าคาร์ลคือมนุษย์

คาร์ลเป็นมนุษย์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ทั่วทั้งทวีปตะวันออกและตะวันตก แม้ว่ามนุษย์จะเป็นผู้ควบคุมดินแดนเหล่านี้เพราะจำนวนประชากรที่สูงกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่ก็ยังมีเผ่าของสัตว์อสูรและเผ่าพันธุ์อื่นๆอาศัยอยู่ในทวีปเหล่านี้เช่นกัน

มันแปลกที่จะได้เห็นมนุษย์เข้ามาข้องเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ต่างๆมากมายขนาดนี้

การสนทนาของเชวฮันและโรสลินลอดเข้ามาในหูของอาร์ชีในทันใด

“ท่านคาร์ลไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ”

“เจ้าไม่คิดว่าตัวเองพูดคำนี้บ่อยไปหรอกรึ?”

“แล้วข้าพูดผิดหรือไง?”

“เปล่า! เจ้าพูดถูกแล้วล่ะ! นายน้อยคาร์ลเป็นคนที่พิเศษและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร”

น้ำเสียงของเชวฮันและโรสลินดูผ่อนคลายมาก ดูเหมือนพวกเขาจะคุ้นชินกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคาร์ล อาร์ชียังคงมองทั้งคู่พูดคุยกันต่อไปจนกระทั่งเขาสบตาเข้ากับโรสลิน คิ้วของโรสลินเลิกสูงขึ้นก่อนจะรู้ว่าวาฬทั้งสองกำลังคิดอะไรอยู่ เธอตัดสินใจเอ่ยบางอย่างออกมา

“ไม่ใช่เรื่องน่าทึ่งหรอกรึ?ที่นายน้อยคาร์ลสามารถเข้าได้กับทุกคน”

“แน่นอน! ว่ามันน่าทึ่งยิ่งนัก”

อาร์ชีตอบกลับทันที

“แต่สิ่งนี้ไม่สามารถเทียบได้เลย..เมื่อนึกถึงสิ่งที่นายน้อยคาร์ลได้ลงมือทำไปแล้วทั่วทั้งทวีป..ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”

พาสตันได้ฟังสิ่งที่โรสลินพูดก็เผลออุทานออกมาเบาๆ

‘นายน้อยคาร์ลยังคงทำสิ่งต่างๆจนถึงทุกวันนี้’

โรสลินยังคงพูดต่อไป

“นายน้อยคาร์ลทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแต่ไม่เคยร้องขอชื่อเสียงหรือทรัพย์สินมีค่าใดๆให้กับตัวเอง..แม้ว่าเขาสมควรจะได้รับรางวัลเป็นเงินมูลค่ามหาศาลแต่ข้าคิดว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้มีค่าไปกว่าชีวิตของเขา”

โรสลินรู้ดีว่าคาร์ลเป็นจอมวางแผนจนถึงขั้นมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อย่างไรก็ตามมีเหตุผลอยู่หนึ่งอย่างที่ทำให้เธอเชื่อว่าคาร์ลเป็นคนดี

เขาไม่ใช่คนโลภ!

เขาชอบเงินหรือเปล่า?

แน่นอนว่าชื่อเสียงและอำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวานมากกว่าเงินทองเหล่านี้ ทำไมเหล่าพ่อค้าถึงพยายามแสวงหาอำนาจและชื่อเสียงทั้งๆที่ตัวเองมีเงินล้นมือ? แล้วทำไมกษัตริย์หลายๆพระองค์เมื่อครั้งในอดีตต่างเริ่มทำสงครามอันไร้ประโยชน์ทั้งๆที่ตัวเองก็มีเงินและอำนาจมากพอแล้ว?

ความโลภมีหลายหลายรูปแบบที่อันตรายและเลวร้ายยิ่งกว่าความโลภในเงินทอง

แต่คาร์ลไม่ได้แสดงความโลภต่อสิ่งเหล่านี้ออกมา หากให้พูดตามความเป็นจริงเขาพยายามหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ

‘เขาไม่เคยใช้เงินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเลยสักครั้ง’

โรสลินรู้ว่าการปรับปรุงอาณาเขตเฮนิตัสและการกระทำอื่นๆของคาร์ลต่างใช้ทรัพย์สินของเขาเป็นจำนวนมาก

อาจมีหลายครั้งที่คาร์ลใช้เงินเพื่อตัวเอง แต่มันก็เป็นกรณีที่เขาเลือกสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับตัวเองไม่ว่าจะเป็นที่พักหรืออาหารและแม้แต่สมาชิกในกลุ่มของเขาก็ได้อานิสงส์จากสิ่งนี้ไปด้วย

‘นี่คือลักษณะของคนมีเงิน’

เธอคิดว่าคาร์ลเป็นคนที่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ในขณะที่ตัวเองก็พอใจกับการแค่ได้ทานผลไม้ง่ายๆทั้งๆที่เขาควรจะได้เงินมากกว่านี้

โรสลินคิดว่ามันคงดีกว่า ถ้าคาร์ลจะสามารถหาเงินได้เยอะๆและมีเงินเก็บมากกว่านี้

‘…หอคอยพลังเวทย์’

เธอยังจำเรื่องหอคอยพำลังเวทย์ที่คาร์ลยกขึ้นมาพูดได้ โรสลินไม่คิดปฏิเสธข้อเสนอของคาร์ลเมื่อเขาขอให้เธอสร้างมันขึ้นมาใหม่

แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจจิตใจของมนุษย์มากนักแต่การกระทำในอดีตของคาร์ลทำให้เธอเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดคาร์ลจึงอยากสร้างหอคอยพลังเวทย์ขึ้นมาใหม่

‘ข้าจะสร้างหอคอยพลังเวทย์ที่ช่วยให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น’

มันจะเป็นหอคอยพลังเวทย์ที่แตกต่างจากหอคอยพลังเวทย์ในอาณาจักรวิปเปอร์อย่างสิ้นเชิง

เธอตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างหอคอยพลังเวทย์แบบที่ตนหวังขึ้นมาให้ได้และเธอจะขึ้นเป็นหัวหน้าหอคอยพลังเวทย์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม

คาร์ลหันไปมองรอบๆก่อนจะสบตาเข้ากับโรสลินหลังจากนั้น ในเวลาเดียวกันเธอก็ตระหนักได้ว่าพวกเอลฟ์กำลังหันมายังทิศที่เธออยู่เช่นกัน

ราอนบินมาหาโรสลินและสมาชิกคนอื่นๆที่เหลือ จากนั้นมันก็เริ่มแนะนำให้พวกเอลฟ์ได้รู้จัก

“นี่คือโรสลินผู้ปราดเปรื่อง!..ส่วนนี่คือเชวฮันผู้แข็งแกร่ง”

พวกเอล์ฟยิ้มอย่างปลาบปลื้มในทุกๆคำที่ราอนเอ่ยออกมา

โรสลินจับมือทักทายกับพวกเอลฟ์ที่ยื่นมือมาให้ เช่นเดียวกับเชวฮันและวาฬทั้งสอง

“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องราวของเผ่าวาฬจากพี่น้องคนอื่นมานานมากแล้ว..นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับพวกท่าน! พวกท่านดูสง่างามยิ่งนัก! น่าเลื่อมใสมากจริงๆ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

อาร์ชีเพียงแค่ยิ้มตอบกลับและยื่นมือไปจับทักทายดิกเกอร์ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อได้รับคำชมที่ดูเลี่ยนๆพิกล

เมื่อเห็นว่ากลุ่มของตนดูเหมือนจะเข้ากับพวกเอล์ฟได้ดีคาร์ลจึงเอ่ยเรียกอดิทขึ้นมา