ตอนที่ 159 สาวรับใช้ที่หายตัวไป
เจินซื่อเฉิงผลักประตูเข้าไปด้านใน กลิ่นคาวเลือดอันคุ้นเคยก็พุ่งเข้ามาในจมูก
เขามองไปที่รอบห้อง รอยเลือดที่มาจากฝีเท้ากระจัดกระจายไปทั่วห้อง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
รอยเท้าน้อยใหญ่มากมายเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าเมื่อตอนเกิดเหตุสถานการณ์วุ่นวายเพียงใด
เชิงเทียนซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการใช้ฆาตกรรมในครั้งนี้กองอยู่บนพื้น บริเวณปลายแหลมยังคงมีคราบเลือดสีแดงคล้ำที่ดูเยือกเย็น
เจินซื่อเฉิงหันหลังกลับไปถามว่า “ตู้เสื้อผ้าตู้ใด”
เจินซื่อเฉิงมองไปทางเจียงซื่อ จากนั้นยกมือขึ้นชี้ไปยังตู้เสื้อผ้าใบที่เจียงซื่อเปิดออกดูก่อนหน้านี้
“ทุกท่านไม่ต้องตามเข้ามา” เจินซื่อเฉิงกล่าวออกมา จากนั้นพาลูกน้องเดินตรงเข้าไปทำการตรวจค้น
เขาเปิดตู้เสื้อผ้าใบนั้นออกเป็นอันดับแรก
เป็นไปตามที่เจียงซื่อค้นพบ ด้านในตู้เสื้อผ้ามีรอยนิ้วมือที่ไม่สมบูรณ์และไม่เป็นที่โดดเด่นอยู่ มองจากมุมของรอยนิ้วมือนั้นจินตนาการได้ว่าต้องมีใครบางคนแอบเข้ามาหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า และทิ้งรอยนิ้วมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่
ซึ่งรอยนิ้วมือในลักษณะนี้ไม่ใช่รอยนิ้วมือที่สาวรับใช้นำเสื้อผ้าเข้ามาเก็บอย่างแน่นอน
เจินซื่อเฉิงจ้องไปที่รอยนิ้วมือนั้นแล้วครุ่นคิด
การที่สามารถทิ้งรอยนิ้วมืออันโดดเด่นเช่นนี้ไว้ได้ ประการแรกอาจเกิดขึ้นจากเหงื่อหรืออาจเป็นเพราะมือของคนผู้นั้นเปียกชุ่มไปด้วยบางอย่าง
เจินซื่อเฉิงตรวจสอบสภาพภายในตู้เสื้อผ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน จู่ๆ เขาก็หรี่ตาลงแล้วกำชับกับลูกน้องว่า “นำแหนบและกระดาษน้ำมันมา”
เมื่อรับสิ่งของเหล่านั้นจากลูกน้องที่ยื่นเข้ามาให้แล้ว เจินซื่อเฉิงก็ได้หยิบบางสิ่งที่อยู่บนกองเสื้อผ้าอันยุ่งเหยิงชั้นบนสุดออกมาอย่างระมัดระวังวางไว้บนกระดาษน้ำมัน
มันคือผมจำนวนสองเส้น
เจินซื่อเฉิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด
เนื่องจากในตู้เสื้อผ้าได้ใส่เสื้อผ้าที่ทำการซักจนสะอาดสะอ้านแล้ว ในตระกูลผู้ดีค่อนข้างที่จะ ละเอียดประณีต สำหรับเสื้อผ้าที่ซักสะอาดสะอ้านแล้วของนายหญิง จะมีเส้นผมอยู่ได้อย่างไร
สถานการณ์เช่นนี้คงจะเกิดได้ยากมาก ความเป็นไปได้มากที่สุดนั่นก็คือเส้นผมทั้งสองเส้นนี้เป็นของคนร้ายที่ทิ้งเอาไว้!
แม้ว่าจะค้นพบมัน แต่เจินซื่อเฉิงก็ยังคงทำท่าทางเคร่งขรึมหนักแน่นดังเดิม เขาส่งหลักฐานนี้ไปให้ลูกน้องเก็บรักษาไว้ ก่อนจะทำการตรวจสอบทุกมุมในห้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขายุ่งอยู่กับการตรวจสอบหลักฐานเหล่านั้น เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามจึงได้เดินออกไปข้างนอก
เมื่อพบว่าเจินซื่อเฉิงเดินออกมา หย่งชังปั๋วจึงไม่รีรอวิ่งจะเข้าไปถามว่า “ใต้เท้าเจิน เป็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าอยากถามว่า ตู้เสื้อผ้านี้จัดเก็บครั้งล่าสุดเมื่อใด”
บ่าวสาวรับใช้นางหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “เมื่อวานช่วงพระอาทิตย์ตกดิน บ่าวได้ทำการพับเสื้อผ้าแล้ววางเข้าไปไว้ในตู้ ตู้เสื้อผ้าทางด้านซ้ายใส่จนเต็มแล้ว จึงมีเสื้อผ้าบางส่วนที่ใส่ไว้ในตู้นั้น”
“หมายความว่า เมื่อวานนี้ก่อนท้องฟ้ามืด ยังมีการจัดเก็บตู้เสื้อผ้าอยู่อย่างนั้นหรือ”
สาวรับใช้พยักหน้า
เจินซื่อเฉิงนำมือขึ้นลูบคลำเครายาวของตน ก่อนจะให้คำตอบกับหย่งชังปั๋วว่า “ในตู้เสื้อผ้า น่าจะเคยมีคนเข้าไปซ่อนอยู่จริง”
“จริงหรือ!” หย่งชังปั๋วชะงักลง หลังจากนั้นเขาก็โมโหเป็นที่สุด
ห้องนอนของเขาและฮูหยิน กลับมีใครบางคนซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า คนคนนั้นจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากฆาตกรที่ฆ่าภรรยาของเขา!
หย่งชังปั๋วกุมมือของเจินซื่อเฉิงเอาไว้แน่น “ใต้เท้าเจิน ท่านจะต้องช่วยข้าตามหาฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าภรรยาของข้าให้เจอ!”
“ท่านปั๋ววางใจได้ ข้าจะพยายามสุดความสามารถ ไม่ทราบว่า บัดนี้ร่างของปั๋วฮูหยินอยู่ที่ใด”
หย่งชังปั๋วลังเลอยู่ชั่วครู่
เจินซื่อเฉิงจึงได้กล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานหรือพยานใดก็ไม่สำคัญเท่ากับการตรวจสอบสภาพศพอย่างทันเวลา”
หย่งชังปั๋วยังคงลังเลอยู่ตามเดิม
แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับการเชิญคนจากศาลาว่าการมา แต่เมื่อถึงเวลานี้เข้าจริงๆ เขาก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้หากร่างของภรรยาจะต้องถูกพวกเขาตรวจสอบ
นี่มันเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการเหลือเกิน
“ท่านปั๋ว ข้าได้พาผู้ชันสูตรศพที่เป็นสตรีมาด้วย” เจินซื่อเฉิงเข้าใจดีว่าหย่งชังปั๋วรู้สึกลังเลเพราะเหตุผลใด จึงได้เอ่ยปากออกมา
หากเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็ไม่เท่าไร อย่าว่าแต่จวนปั๋วเลย ต่อให้เป็นสตรีในจวนที่มั่งคั่งถูกทำร้ายเช่นนี้ ก็มีน้อยคนนักที่จะยินยอมให้ชันสูตรศพ
เจินซื่อเฉิงมีนิสัยที่ค่อนข้างจริงจังเคร่งขรึม เขาไม่อาจทนกับความคิดอันโง่เขลาของชาวบ้านเช่นนี้ได้ ไม่อาจปล่อยให้ความจริงต้องตายไปพร้อมกับผู้ตายซึ่งถูกทำร้ายเช่นนี้ได้ จึงอบรมผู้ชันสูตรศพที่เป็นสตรีขึ้นมา
สตรีผู้ชันสูตรศพผู้นี้ก็คือบุตรสาวของผู้ชันสูตรศพซึ่งติดตามเขามาเนิ่นนานหลายปี จะว่าไปแล้ว ก็เป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“ท่านพ่อ…” เมื่อพบว่าหย่งชังปั๋วไม่กล่าวสิ่งใดออกมา เซี่ยชิงเหยาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกเบาๆ แล้วทำท่าทางร้องขอ
ในที่สุดหย่งชังปั๋วก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เขาเดินเข้าไปพร้อมกับเจินซื่อเฉิง
เจินซื่อเฉิงเดินผ่านเจียงซื่อเข้าไปด้านใน แววตาตกไปอยู่บนร่างของนาง
เขารู้สึกประหลาดใจเหลือเกินว่าเหตุใดแม่นางผู้นี้ จึงคิดที่จะไปตรวจดูในตู้เสื้อผ้า แต่บัดนี้เอ่ยถามคงจะไม่สะดวกนัก มองดูแล้วคงต้องหาโอกาสในการสอบถามนางทีหลัง
ศพปั๋วฮูหยินตั้งอยู่ในลาน
เนื่องจากอากาศในเดือนหกค่อนข้างร้อน โลงศพของหย่งชังปั๋วฮูหยินจึงได้มีน้ำแข็งวางโดยรอบ เมื่อใกล้เข้าไปก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น
หญิงสาวผู้ที่มีผ้าสีเขียวพันอยู่บนศีรษะได้รับคำสั่งจากเจินซื่อเฉิง นางจึงเดินขึ้นไปตรวจดูสภาพศพ
“ท่านปั๋ว พวกเราไปสนทนากันที่ด้านนั้นเถิด” เจินซื่อเฉิงรู้ดีว่าคงมีผู้สูญเสียไม่กี่คนที่สามารถ ยอมรับทนดูสภาพภาพการชันสูตรศพในที่นั้นได้ จึงได้ทิ้งเจ้าหน้าที่บางส่วนเอาไว้เพื่อเฝ้าโลงศพ ก่อนจะเดินทางจากไปพร้อมกับหย่งชังปั๋วและคนอื่นๆ
ในขณะที่สตรีชันสูตรศพทำการตรวจสอบอยู่นั้น เจินซื่อเฉิงก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เขาได้ยืมใช้ห้องโถง เป็นศาลสอบสวนคดีชั่วคราว และคนแรกที่เรียกตัวเข้ามาสอบถามก็คือสาวรับใช้คนสนิทของหย่งชังปั๋วฮูหยิน
บ่าวสาวรับใช้ทั้งสามคนนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเจินซื่อเฉิง แต่ละคนมีสีหน้าซีดเผือด
เจินซื่อเฉิงยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นมาตอบคำถามก่อนเถิด ที่นี่ไม่ใช่ในศาล ข้าเพียงมีคำถามจะเอ่ยถามพวกเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการไต่สวนเอาความผิดแต่อย่างใด ไม่จำเป็นจะต้องคุกเข่าลงหรอก”
ท่าทางอันอบอุ่นของเจินซื่อเฉิง ทำให้สาวรับใช้ทั้งสามคนมีสีหน้าผ่อนคลายลงบ้าง แล้วพากันลุกขึ้นยืน
เจินซื่อเฉิงมองไปยังสาวรับใช้ทั้งสามคนนี้ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ตามปกติแล้วสาวรับใช้เช่นพวกเจ้ามักจะมีเป็นคู่ สองคน สี่คน หรือหกคนมิใช่หรือ”
สาวรับใช้ทั้งสามคนชะงักลงเล็กน้อย หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ยังมีชิวลู่อีกคนหนึ่งเจ้าค่ะ”
ชุนฟัง ซย่าอวี่ ชิวลู่และตงเสวี่ย นี่คือสาวรับใช้ทั้งสี่คนของหย่งชังปั๋วฮูหยิน
“แล้วชิวลู่เล่า” เซี่ยชิงเหยาเอ่ยถาม
การที่ต้องสูญเสียมารดาไป อีกทั้งบิดายังถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่ามารดา หญิงสาวที่เคยเต็มไปด้วยจิตใจบริสุทธิ์อ่อนหวานกลับกลายเป็นแข็งทื่อดูต้นไม้
เจียงซื่อตบลงไปที่ไหล่ของนางเบาๆ
การปลอบโยนของสหายรักทำให้เซี่ยชิงเหยาดูสงบนิ่งขึ้นมาเล็กน้อย
สาวรับใช้ทั้งสามคนมองหน้ากัน แต่กลับไม่มีใครบอกได้ว่าชิวลู่อยู่ที่ใด
ชุนฟังคุกเข่าลงไปอีกครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางสั่นเทากล่าวว่า “ใต้เท้าเจ้าขา เมื่อวาน เมื่อวานนี้ ชิวลู่เป็นผู้อยู่เวรยามค่ำคืน”
เมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าชิวลู่คงจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดในบัดนี้ เจินซื่อเฉิงจึงรีบกล่าวตัดบทขึ้นทันทีว่า “ท่านปั๋ว ขอท่านจงไปกำชับทุกคนในเรือนว่าให้พาตัวชิวลู่มา”
ชิวลู่จะเป็นฆาตกรตัวจริงหรือไม่นั้นยังไม่รู้ แต่ในขณะนี้สาวรับใช้ที่อยู่เวรยามค่ำคืนกลับไม่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วย เป็นเงื่อนงำที่ไม่อาจพลาดได้
ในไม่ช้า คนในจวนก็เริ่มออกตามหาสาวรับใช้ชิวลู่
สำหรับเส้นทางในจวนของหย่งอันปั๋วนั้นแน่นอนว่าคนในจวนจึงจะชำนาญที่สุด เจินซื่อเฉิงทำได้เพียงส่งเจ้าหน้าที่บางส่วนติดตามออกไปด้วยเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก กลับยังไม่มีข่าวคราวของสาวรับใช้นามว่าชิวลู่กลับมาเลย จนกระทั่งสตรีผู้ชันสูตรศพทำการตรวจสภาพศพเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางมารายงานว่า
“ปั๋วฮูหยินมีบาดแผลลึกที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตอยู่บริเวณหัวใจ ส่วนโดยรอบนั้นยังมีอีกสามแห่งที่ได้รับบาดเจ็บ ความลึกแตกต่างกันไป หนึ่งในนั้นมีร่องรอยของบาดแผลอยู่ที่บริเวณซี่โครง…” สตรีผู้ชันสูตรศพกล่าวเรียบร้อยแล้วจึงได้ทำการสรุปออกมาว่า “ตามปกติทั่วไปนั้น เหตุการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นเพราะว่า ฆาตกรไม่มีประสบการณ์ หรือเรี่ยวแรงมีไม่มากนัก ข้าน้อยคิดว่าความเป็นไปได้ที่ฆาตกรจะเป็นสตรีค่อนข้างมาก…”
สีหน้าของหย่งชังปั๋วซีดลงทันที “หาชิวลู่พบหรือยัง!”
เมื่อผู้ชันสูตรศพคาดเดาว่าฆาตกรเป็นสตรี และบัดนี้สาวรับใช้นามว่าชิวลู่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มองดูแล้วฆาตกรน่าจะเป็นชิวลู่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เจินซื่อเฉิงยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม ใบหน้านั้นไม่ได้แสดงถึงความสงสัยออกมาแต่อย่างใด
ตอนนี้ให้การสรุปไปยังเร็วไปบ้างเล็กน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องรอจนกระทั่งชิวลู่กลับมาแล้วค่อยว่ากัน