ตอนที่ 160 หาพบ
เนื่องจากบัดนี้ยังไม่มีข่าวคราวของชิวลู่ เจินซื่อเฉิงจึงได้ให้ความสนใจไปยังผลการชันสูตรศพ

หย่งชังปั๋วฮูหยินไม่ได้ถึงแก่ชีวิตภายในการถูกทำร้ายแค่ครั้งเดียว แต่นางมีบาดแผลบนร่างกายหลายแผล สถานการณ์เช่นนี้นางจะไม่ส่งเสียงจนทำให้หย่งชังปั๋วที่นอนอยู่ด้านข้างแตกตื่นจนลุกขึ้นมา เชียวหรือ

เจินซื่อเฉิงพยายามครุ่นคิดถึงปัญหานี้ จู่ๆ สายตาของเขาก็มองไปทางเจียงซื่ออย่างไม่รู้ตัว

แม่นางน้อยผู้นี้ ผู้ซึ่งตรงเข้าไปตรวจค้นในตู้เสื้อผ้าตั้งแต่แรกเริ่ม และค้นพบเบาะแสอันสำคัญ นาง จะรู้อะไรบ้างอีกหรือไม่

บางทีเขาควรจะยอมรับฟังความคิดเห็นของนางดู

เมื่อคิดได้ดังนี้ เจินซื่อเฉิงก็เดินก้าวขาเข้าไปทางเจียงซื่อ

เซี่ยชิงเหยาคิดว่าเจินซื่อเฉิงมีเรื่องอันใดจะสนทนากับตน จึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “ใต้เท้า…”

เจินซื่อเฉิงยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่น “คุณหนูเซี่ยไม่ต้องกังวลใจไป ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องการจะถามแม่นางเจียงเท่านั้น”

เจียงซื่อยิ้มขึ้น “ใต้เท้าเจินต้องการจะถามอันใดหรือ”

“แม่นางเจียง เชิญไปคุยกันด้านโน้นก่อนเถิด”

“อาซื่อ…” ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่จู่ๆ ต้องมาสูญเสียมารดาไป จึงทำให้เซี่ยชิงเหยาต้องการพึ่งพาเจียงซื่อเป็นที่สุด

เจียงซื่อกุมไปที่มือของเซี่ยชิงเหยาเบาๆ จากนั้นเดินตามเจินซื่อเฉิงออกไปด้านนอก

เซี่ยชิงเหยามองตามทั้งสองคนไป และพบว่าพวกเขาหยุดนิ่งอยู่ตรงใต้ต้นไม้ที่ไม่ไกลออกไปนัก นางจึงได้ละสายตาเดินกลับมาข้างกายเซี่ยอินโหลว เอ่ยถามอย่างกังวลใจว่า “ท่านพี่ ท่านว่าใต้เท้าเจินจะถามอันใดอาซื่อหรือ”

สายตาของเซี่ยอินโหลวยังคงมองไปยังร่างอันผอมบางนั้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “บางทีอาจจะถามนางว่าพบสิ่งผิดปกติใดในตู้เสื้อผ้าบ้าง”

ทางด้านของเจินซื่อเฉิงก็กำลังจะเอ่ยถามคำถามนี้ขึ้นจริงๆ เมื่อเจียงซื่อฟังแล้วนางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าได้กลิ่นหอมแปลกๆ และกลิ่นหอมนั้นมาจากทางตู้เสื้อผ้า”

“กลิ่นหอมแปลกๆ อย่างนั้นหรือ” เจินซื่อเฉิงนึกไปถึงกลิ่นคาวเลือดในห้องอันคละคลุ้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าแล้วใช้สายตาอันประหลาดใจมองมาทางเจียงซื่อ “แม่นางเจียงได้กลิ่นได้อย่างไร เมื่อครู่ที่ข้าเข้าไปอยู่ในห้องนั้น นอกจากกลิ่นคาวของเลือดแล้ว ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรอีกเลย”

หลังจากครุ่นคิดพิจารณาดู เขาก็พอจะสังเกตได้ว่าภายในตู้เสื้อผ้านั้นมีกลิ่นหอมจางๆ เดิมทีเขาคิดว่าเป็นกลิ่นหอมที่สตรีมักจะใช้กัน

เจียงซื่อกะพริบตารัวแล้วเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติว่า “บางทีอาจเป็นเพราะความสามารถส่วนตัวของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ”

ใบหน้าของเจินซื่อเฉิงปรากฏรอยยิ้มออกมา

เขาไม่รู้สึกว่าเจียงซื่อกำลังตอบคำถามอย่างส่งเดช

เขารับหน้าที่ขุนนางผู้ตัดสินคดีความมาหลายปีแล้ว เคยพบผ่านกับเรื่องราวและคนมากมาย จึงรู้ว่ามีคนบางกลุ่มแตกต่างไปจากคนหมู่มาก บางคนก็สามารถจดจำเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาได้ บางคนยังมีความทรงจำเดิมอยู่ หากเปรียบเทียบกันแล้วแม่นางผู้นี้ที่มีประสาทการรับกลิ่นว่องไวกว่าคนอื่น นับว่าปกติยิ่งนัก

ความสามารถพิเศษเช่นนี้นำมาใช้ในการไขคดี ช่างเหมาะสมเหลือเกิน

เจินซื่อเฉิงมองไปทางเจียงซื่อด้วยแววตาอันเป็นประกาย เขาอยากจะให้บุตรชายของตนมาหลอกล่อแม่นางผู้นี้กลับจวนไปเร็วๆ เสียจริง อ้อไม่ใช่สิ ให้เขาแต่งงานพานางกลับไปที่บ้านต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนั้นในอนาคตเขาก็สามารถที่จะเรียกใช้นางได้ตามอำเภอใจ

“แม่นางเจียง ข้ามีคำถามอยู่คำถามหนึ่งที่อยากร่วมปรึกษากับเจ้า” ความไม่ธรรมดาของเจียงซื่อนี้ ทำให้ขุนนางระดับสามที่มีความสามารถเป็นเลิศท่านนี้ ยกนางอยู่ในตำแหน่งเท่าเทียมกัน

“ใต้เท้าเจินเชิญกล่าวมาเถิด” เจียงซื่อไม่ได้แสดงทีท่าว่าผิดปกติออกมาแต่อย่างใด แววตาของนางยังคงนิ่งเงียบดังเดิม

ตั้งแต่ชาติที่แล้วมาจนถึงชาตินี้ นางได้เรียนรู้เรื่องราวมามากมาย และเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเช่นกัน เว้นแต่การประจบประแจงเท่านั้นที่ยังไม่เคยชินสักที

นี่อาจจะเป็นธรรมชาติของนาง นางมิใช่สตรีที่ร่ายรำเก่งกาจ แต่กลับเป็นสตรีที่มักทำตัวเข้มแข็ง เป็นเด็กดื้อที่ตัดสินใจด้วยอารมณ์

“มีกรณีใดบ้างที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ส่งเสียงออกมารบกวนผู้ที่นอนอยู่ด้านข้างเลย” แม้ว่าในใจของเจินซื่อเฉิงจะพอเดาออกบ้างแล้ว แต่เขาก็ชื่นชอบที่จะฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเพื่อเป็นการพิสูจน์

หากว่าทั้งสองคนนั้นคาดเดาออกมาเช่นเดียวกัน ก็คงจะเป็นเรื่องที่สนุกมากยิ่งนัก

เจียงซื่อไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยที่เจินซื่อเฉิงเอ่ยถามคำถามนี้ออกมา นางกล่าวความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าน้อยคิดว่าคงจะเป็นธูปหอมชนิดหนึ่ง เนื่องจากฆาตกรไม่อยากจะทำให้ผู้ที่นอนหลับอยู่ข้างกายผู้เสียหายต้องตื่นขึ้น การที่ทำให้ผู้เสียหายไม่อาจส่งเสียงออกมาได้นั้นไม่นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากแต่ละคนมีพฤติการณ์การนอนหลับแตกต่างกันไป บางคนนั้นต่อให้ฝนตกฟ้าร้องสักเพียงใดก็ยังคงนอนหลับสบายไปถึงตอนเช้า ส่วนบางคนไม่จำเป็นต้องได้ยินเสียงใด เพียงแค่ได้กลิ่นที่แปลกไปก็ทำให้เขาตื่นขึ้นมาได้แล้ว ดังนั้นข้าจึงคาดเดาว่าในวันเกิดเหตุมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่หย่งชังปั๋วและฮูหยินจะสูดดมเครื่องหอมชนิดนี้เข้าไป จึงทำให้ฆาตกรลงมือฆ่าได้สำเร็จ”

เจินซื่อเฉิงพยักหน้าก่อนจะเอ่ยชมว่า “ไม่เลวทีเดียว สิ่งนี้อาจจะเป็นไปได้มาก”

เจียงซื่อขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าน้อยยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คาดเดาไว้”

“เจ้าลองว่ามา” เจินซื่อเฉิงรู้สึกให้ความสำคัญกับทุกท่าทางทุกคำพูดของเจียงซื่ออย่างมาก

“ธูปหอมนั้น บางทีฆาตกรจะอาจจะจุดขึ้นตั้งแต่อยู่ในตู้เสื้อผ้า ดังนั้นภายในตู้เสื้อผ้าจึงมีกลิ่นของธูปหอมหลงเหลืออยู่ค่อนข้างมาก”

ตั้งแต่แรกเริ่ม เจียงซื่อก็สงสัยเหลือเกินว่ากลิ่นหอมนั้นคือกลิ่นอะไร หากว่าเป็นเพียงกลิ่นน้ำหอมบนร่างกายของฆาตกร ก็ไม่น่าจะติดเนิ่นนานเช่นนี้

เมื่อได้ยินรายงานการชันสูตรศพของผู้ชันสูตรศพหญิงนั้นนางก็รู้ได้ทันที และคิดออกว่าเครื่องหอม ที่จะติดอยู่บนสิ่งของได้นานที่สุดนั้นคืออะไร

“เพียงแต่ข้าน้อยยังไม่เข้าใจว่า หากคนร้ายจุดธูปหอมขึ้นในตู้เสื้อผ้า แล้วเหตุใดตนเองจึงไม่ถูก ครึ่งหอมนั้นทำให้หลับใหล?”

เจินซื่อเฉิงเอามือลูปไปที่เคราของตนเองแล้วกล่าวว่า “ธูปหอมมีอยู่หลายชนิด ในเมื่อผู้ร้ายตั้งใจเอามาใช้ แน่นอนว่าจะต้องมีการป้องกันก่อนล่วงหน้า”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ได้รีบวิ่งเข้ามากล่าวว่า “ใต้เท้า ใต้เท้าขอรับ หาตัวพบแล้ว!”

เจินซื่อเฉิงหยุดการสนทนากับเจียงซื่อลง “อยู่ที่ใด?”

“อยู่ในสระบัวของสวนดอกไม้จวนปั๋วขอรับ”

เจินซื่อเฉิงรีบติดตามลูกน้องตรงไปทางสระบัวทันที

บัดนี้รอบข้างสระบัวเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เมื่อพบว่าเจินซื่อเฉิงเดินทางมา เจ้าหน้าที่ก็ได้รีบตะโกนบอกว่า “หลีกทางหน่อย ใต้เท้าเดินทางมาถึงแล้ว!”

พวกคนกลุ่มนั้นพากันหลีกทางออกให้เป็นทาง

เจียงซื่อเดินตามอยู่ข้างหลังเจินซื่อเฉิง เมื่อผู้คนกลุ่มนั้นเปิดทางออก นางก็ได้พบกับร่างของสตรีที่นอนอยู่ข้างสระน้ำ

ครึ่งบนของสตรีผู้นั้นอยู่ตรงขอบสระ เผยให้เห็นใบหน้าอันฟกช้ำบวมเป่ง ส่วนครึ่งล่างยังอยู่ในสระน้ำ กระโปรงของนางพันกับสายบัวยุ่งเหยิง เป็นฉากที่น่าตกตะลึงเสียจริง

เซี่ยชิงเหยาจ้องไปทางศพของหญิงสาวที่อยู่ข้างสระน้ำแล้วกำมือแน่น

บ่าวรับใช้ได้พากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึ้ง

“เป็นชิวลู่จริงๆ ด้วย เหตุใดนางจึงมาตายอยู่ที่นี่เล่า”

“ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือว่าชิวลู่จะฆ่าฮูหยินแล้วรู้สึก ผิดจึงได้ฆ่าตัวตายตามไปกัน?”

เซี่ยชิงเหยากุมมือเจียงซื่อเอาไว้แน่น อากาศในเดือนหกร้อนเช่นนี้ แต่มือของหญิงสาวยังเยือกเย็นดุจดั่งหิมะ “อาซื่อ แม่ของข้าปฏิบัติต่อชิวลู่อย่างดีเสมอมา เหตุใดนางจึง…”

เจียงซื่อกุมมือของเซี่ยชิงเหยากลับอย่างหนักแน่น กล่าวว่า “ทุกสิ่งอย่างรอให้ใต้เท้าเจินตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

สตรีผู้ชันสูตรศพเดินทางมาถึง เจินซื่อเฉิงก็ได้เอ่ยถามขึ้นว่า

“ท่านปั๋ว เมื่อคืนนี้เป็นเวรยามของชิวลู่ พวกท่านไม่เห็นนางหรือ”

“เห็น เมื่อคืนนี้แม้จะเป็นเวรยามของชิวลู่ แต่ภรรยาข้าได้สั่งให้นางลงไปพักผ่อน”

“ประมาณเวลาเท่าใด”

หย่งชังปั๋วครุ่นคิดแล้วตอบว่า “น่าจะประมาณช่วงปลายยามซวี[1]เห็นจะได้”

เจินซื่อเฉิงค่อยๆ ละสายตามองไปทางผู้ที่อยู่รอบข้าง “หลังจากเวลานั้นมีผู้ใดได้พบกับชิวลู่อีกหรือไม่”

บรรดาบ่าวสาวรับใช้ในเรือนน้อยใหญ่ล้วนพากันหันไปมองดูอยู่ตงเสวี่ย

ทุกคนรู้ดีว่าสาวรับใช้ทั้งสี่คนของฮูหยิน พวกนางนอนด้วยกันห้องละสองคน และผู้ที่นอนห้องเดียวกับชิวลู่ก็คือตงเสวี่ย

ตงเสวี่ยรีบคุกเข่าลงแล้วกล่าวด้วยความตกใจว่า “บ่าวนอนหลับไม่ลึก จึงมั่นใจว่าชิวลู่ไม่ได้กลับห้องเจ้าค่ะ”

“นั่นหมายความว่า นับตั้งแต่เวลานั้นก็ไม่มีผู้ได้พบกับชิวลู่อีกเลยหรือ”

ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรออกมา

“พวกเจ้าอย่านิ่งเงียบ!” หย่งชังปั๋วตะโกนขึ้น

ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ “มีอยู่เรื่องหนึ่ง บ่าวไม่แน่ใจว่าควรจะเอ่ยออกไปหรือไม่”

“เชิญกล่าวออกมาเถิด อย่าได้เกรงกลัวเลย ทุกอย่างข้าจะเป็นคนจัดการเอง” เจินซื่อเฉิงมองไปทางสาวรับใช้ที่เอ่ยปากขึ้น

——————————–

[1] ยามซวี ช่วง 19.00-21.00 น.