หยวนชิงหลิงขดตัวพลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ถ้าเจ้าอยากจะด่าก็ด่ามาเลย แต่ห้ามทุบตีข้าเด็ดขาด ถ้าเจ้ากล้าทุบตีข้า ข้าจะขอสู้สุดชีวิตกับเจ้าเลย ข้าขอพูดไว้ตรงนี้นะ ว่าข้าไม่ได้ผลักนางตกน้ำ เป็นนางเองต่างหากที่เกิดประสาทขึ้นมาจนลากข้าตกลงไปในทะเลสาบ ทั้งยังกดหัวข้าไว้แรงๆ ไม่ให้เงยหน้าขึ้นได้ ข้าถึงต้องดึงปิ่นปักผมออกมาแทงนางจนได้รับบาดเจ็บ!”

นางสูดน้ำมูกถี่ๆ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างสุดแสน ทำไมถึงโชคร้ายไปเจอผู้หญิงบ้าบอเสียสติแบบนั้นเข้าไปได้นะ?

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางเชื่อข้า เจ้าเกลียดชังข้า แค่ข้าหายใจยังผิดต่อเจ้าแล้ว เจ้าชอบนาง ต่อให้นางเท้าเหม็น เจ้าก็ยังรู้สึกว่ามันหอม…”

หยู่เหวินเห้าใช้มือข้างหนึ่งถลกเสื้อผ้าของนางขึ้น เตรียมจะถอดมันออกด้วยมือทั้งสองข้าง “หุบปาก!”

ดวงตาหยวนชิงหลิงแดงก่ำ พูดอย่างดุดันว่า “คิดจะทุบตีข้าอีกแล้วรึ เจ้าคิดจะทุบตีข้าอีกแล้วรึ ได้เลย ข้าจะขอสู้กับเจ้าให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยคอยดู”

พูดจบ นางก็รัดเข้าที่ลำคออีกฝ่ายแล้วกัดลงไปจนจมเขี้ยว

“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ!” หยู่เหวินเห้าโกรธจัด เอื้อมมือไปแตะที่คอ พบว่ามีเลือดไหลออกมาจากคอของเขาจนชุ่ม เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วโยนให้นาง “ข้าบอกเมื่อไรว่าคิดจะทุบตีเจ้า เสื้อผ้าเจ้าเปียกโชกจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ถอดออกแล้วใส่เสื้อคลุมของข้าซะ”

“เจ้าไม่มีทางใจดีแบบนี้แน่” หยวนชิงหลิงมองดูเสื้อคลุมที่เขาถอดออกมา แล้วพูดอย่างมั่นอกมั่นใจในความคิดตัวเองเต็มที่

“ใช่สิ ข้ายังคิดจะฆ่าเจ้าให้ตายอีกด้วยต่างหาก” หยู่เหวินเห้าโกรธสุดขีด ใบหน้าอันหล่อเหลาดูบิดเบี้ยวและดุร้ายขึ้นหลายส่วนเพราะความโกรธเกรี้ยว

หยวนชิงหลิงถูใบหน้าตัวเอง พลางพูดด้วยความเก้อเขินว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พูดออกมาสิ ทำไมต้องฉีกเสื้อผ้าข้าด้วย เป็นใบ้หรืออย่างไร”

หยู่เหวินเห้าไม่สนใจนาง หันหน้าไปอีกด้าน

จมูกของหยวนชิงหลิงมีอาการคันยุบยิบ จนจามออกมาหลายครั้งติดต่อกัน มันหนาวมากจริงๆ นั่นแหละ

นางค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกอย่างช้าๆ “ห้ามมองข้าเด็กขาด”

“ผีเท่านั้นแหละที่จะมองเจ้า” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเย็นชา

หยวนชิงหลิงรีบสวมเสื้อคลุมทับบนร่างอย่างรวดเร็ว เอาเสื้อผ้าที่เปลี่ยนหลังจากห่อตัวเองออกมา เดินไปยกกล่องยาเข้ามา แล้วหยิบวิตามินซีขึ้นมาเม็ดหนึ่งกลืนมันลงท้องไป บิดเสื้อผ้าให้หมาด แล้วเช็ดผมเปียกโชกของตัวเอง “เป็นข้าผิดเองที่เข้าใจเจ้าผิดไป ก็ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่เชื่อข้าน่ะสิ”

หยู่เหวินเห้าเอนหลังแนบพนักพิง ไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น

หยวนชิงหลิงจ้องมองเขาจริงจัง “เจ้าเชื่อว่าข้าไม่ได้ผลักนางจริงๆ รึ”

หยู่เหวินเห้ายังคงไม่พูดจา

หยวนชิงหลิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ทำเป็นกลัวดอกพิกุลทองจะร่วงไปได้

นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายจริง ๆ

หยวนชิงหลิงเช็ดผมตัวเองครู่หนึ่ง ก็วางเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของนางลง เอ่ยถามว่า “อาการของอ๋องหวยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”

เขาตอบกลับว่า “ไม่ดีเลย”

“ที่ว่าไม่ดีน่ะ มันไม่ดีขนาดไหนกันล่ะเพคะ”

“ไม่ดีแบบไม่ดีมากๆ ” ใบหน้าของเขามืดมนหมองเศร้า

เขาหันไปมองนาง “กล่องใบนั้นของเจ้า พอจะมียาที่ใช้รักษาเขาได้บ้างหรือไม่”

หยวนชิงหลิงเอ่ยตอบด้วยความลำบากใจว่า “โรคของเขาไม่ใช่ว่าจะรักษาได้ง่ายๆ หรอกนะเพคะ”

“ใช่ มันไม่ง่ายเลยที่จะรักษา” เขาพูดพลางหลับตาลง ถอนหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เขาก็แค่ถามคำถามออกไปส่งๆ เท่านั้นเอง เพราะเขาก็รู้ดี ว่าไม่มีทางรักษาวัณโรคได้

หยวนชิงหลิงยื่นมือออกมาอย่างลังเล แล้วตบลงไปบนไหล่เขาเบาๆ “อย่าเศร้าไปเลยเพคะ คนเรามีเกิดก็ต้องมีตายเป็นธรรมดา”

แววตาของเขาวาวโรจน์ “เป็นข้าเองที่ผลักไสเขาไปสู่ทางตาย”

หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ “ช่วยอธิบายเรื่องนี้หน่อยได้หรือไม่เพคะ ความเจ็บป่วยของเขามันเกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องด้วย”

หยู่เหวินเห้าตอบเสียงแผ่วเบา “เมื่อสามปีก่อน ข้ากลับมาจากสนามรบ ได้พานายทหารผ่านศึกสามรายมาดื่มเหล้ากับเขา แต่คาดไม่ถึงว่าคนหนึ่งในนั้นจะเป็นวัณโรค ไม่มีใครรู้ในเวลานั้น แม้กระทั่งตัวผู้ป่วยเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ หลังจากร่วมดื่มเหล้ากันได้ไม่นาน เจ้าหกก็ล้มป่วยลง”

วัณโรคเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ติดต่อกันผ่านละอองฝอยได้ แค่ละอองบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศก็สามารถแพร่เชื้อได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการดื่มเหล้าด้วยกัน แค่การพูดคุยสนทนากันเฉยๆ ก็มีสิทธิ์จะติดเชื้อได้ง่ายๆ แล้ว

“อยู่ด้วยกันสี่คน แต่มีแค่เขาคนเดียวที่ป่วย ข้ากับทหารผ่านศึกอีกสองนายต่างก็สบายดี”

หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ความน่าจะเป็นไม่ได้บอกหรอกหรือ ว่าทุกคนล้วนมีสิทธิ์จะติดเชื้อได้หากทุกคนร่วมดื่มในวงเดียวกัน”

“เจ้าว่าอะไรนะ”

“ข้าบอกว่าอ๋องหวยช่างโชคร้ายเสียจริงเพคะ” หยวนชิงหลิงแสดงความเศร้าโศกตามสมควร แต่บรรยากาศอันน่าเศร้า ก็ถูกทำลายโดยการจามสนั่นหวั่นไหวของนาง

“ทำไมเจ้าไม่ถอดเสื้อผ้าชั้นในที่เปียกอยู่ออกเสียล่ะ” หยู่เหวินเห้าพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

นางถูๆ จมูกตัวเอง “ช่างมันเถอะ บนรถไม่ค่อยสะดวกนัก อย่างไรก็ใกล้จะถึงบ้านแล้วด้วย”

“จะทำเป็นห่วงเนื้อหวงตัวไปทำไม ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย”

“ข้าก็ไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะดูสักหน่อย” ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ร่างของนางเอง ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร

หยู่เหวินเห้าพ่นลมจากปากเฮือกหนึ่ง แล้วหลับตาต่อ

“ข้าอยากอาเจียนซะแล้วสิ” จู่ๆ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกคลื่นไส้ “น้ำในทะเลสาบเมื่อครู่ กลิ่นเหม็นเป็นบ้า”

ตอนที่นางพยายามดิ้นรนนั้น ได้ไปกวนบรรดาดินโคลนที่อยู่ใต้ทะเลสาบขึ้นมา ทั้งน้ำในทะเลสาบที่ผสมกับดินโคลนที่ลอยอยู่ ต่างก็ไหลเข้าปากเข้าจมูกนางไปเสียหลายอึก ฉู่หมิงชุ่ยเองก็ได้ดื่มเข้าไปด้วยเช่นกัน

พอลองมาคิดๆ ดู เพื่อที่จะใส่ร้ายนางในครั้งนี้ ฉู่หมิงชุ่ยยอมเสียสละตัวเองอย่างมากจริง ๆ

หยู่เหวินเห้าตบไหล่นางเบาๆ “มาเถอะ มานอนหลับตา พักผ่อนตรงนี้สักครู่”

ความอ่อนโยนที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาแบบฉับพลันนี้ เป็นอะไรที่ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

แต่บนรถม้าที่วิ่งโยกเยกแกว่งไกวเช่นนี้ การมีใครสักคนให้พักพิงอิงแอบได้ ก็เป็นอะไรที่ไม่เลวจริงๆ นั่นแหละ

นางยกยิ้มเต็มใบหน้า พูดด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณ”

นางเอนหัวเข้าไปช้าๆ ในขณะที่กำลังจะแนบลงไปบนไหล่ของเขาอยู่แล้ว จู่ๆ เขาก็กลับขยับตัวหลบวูบออกไป หยวนชิงลอยคว้างกลางอากาศ ร่างกายเอียงล้มคะมำลงไป หัวไปกระแทกเข้ากับเสื่อแข็งๆ ที่ขอบเบาะนั่งแบบเต็มแรง

หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเย็นชา “ใครใช้ให้กัดข้าดีนัก”

หยวนชิงโกรธมาก ผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงแน่ว ลูบหัวตัวเองไม่หยุด “เจ้านี่ช่างใจแคบสิ้นดี”

ทำไมถึงได้มีคนเลวๆ แบบนี้อยู่ในโลกใบนี้กันนะ

“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

“มีแค้นต้องชำระ” เดิมทีก่อนหน้านี้ นางก็ถูกฉู่หมิงชุ่ยกดหัวไว้ให้จมอยู่ใต้น้ำ มาตอนนี้เขายังจงใจให้นางล้มหัวกระแทกอีก ช่างไร้มโนธรรมไร้สามัญสำนึกสิ้นดี

เมื่อเห็นว่านางกุมหัวอยู่ตลอดเวลา หยู่เหวินเห้าถึงค่อยนึกถึงบาดแผลบนหัวของนางขึ้นมาได้ จึงไปดึงนางมา แล้วกดให้นอนแนบอยู่บนขาของตัวเอง “ขอดูบาดแผลของเจ้าหน่อยซิ”

หยวนชิงหลิงดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง หยู่เหวินเห้าสกัดเบาๆ ลงไปบนกระดูกสันหลังของนาง “อย่าขยับ”

ใบหน้าของหยวนชิงหลิง ถูกฝังจมลงไปบริเวณกลางหว่างขาพอดิบพอดี ท่วงท่าแบบนี้ มันช่าง…

นิ้วมือเรียวยาวเย็นเฉียบ เกลี่ยปัดเส้นผมของนางออกไป จนเห็นว่าบนบาดแผลมีร่องรอยของการบีบกดแรงๆ ปรากฏขึ้นอยู่จริง ลายนิ้วมือทั้งสิบนั้นมีให้เห็นชัดเจนมาก ที่จริงบาดแผลไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เป็นเพราะถูกคนที่เอามือกดหัว ใช้เล็บข่วนจนเกิดเป็นแผลใหม่อีกหลายแห่ง จนเกิดเป็นลิ่มเลือดผุดขึ้นมาต่างหาก

หยวนชิงหลิงขยับหัวออกมา เพิ่งจะสูดหายใจเข้าไปได้เฮือกเดียว ก็ถูกเขากดกลับเข้าไปที่เดิม “อย่าขยับ ข้าจะเช็ดคราบสกปรกที่ขอบแผลให้”

น้ำในทะเลสาบสกปรกมากจริงๆ มีตะกอนดินเกาะอยู่ตามไรผมรวมถึงบาดแผล ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นโคลนโชยมาเป็นระยะๆ อีกด้วย

หยวนชิงหลิงเกิดอาการหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกอย่างถึงที่สุด แก้มฝั่งขวาแนบไปกับตำแหน่งนั้นพอดิบพอดี คล้ายว่ามันจะค่อยๆ นูนขึ้นมาอย่างช้าๆ หรือเปล่านะ

เขาถือผ้าเปียกผืนหนึ่งในมือ บรรจงเช็ดที่แผลให้นางอย่างช้าๆ อย่างระมัดระวังและอ่อนโยน สังเกตจนแน่ใจว่าเส้นผมถูกแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ และรากผมจะไม่ถูกดึงขึ้นมาขณะเช็ดทำความสะอาด

หยวนชิงหลิงหยุดดิ้นรนอย่างช้าๆ แล้วนอนลงบนตักอย่างเชื่อฟังโดยดี มือข้างหนึ่งห้อยลงด้านล่าง แต่มืออีกข้างไม่รู้จะวางไว้ที่ไหน จึงทำได้เพียงค่อยๆ เลื่อนมือตามเสื้อผ้า แล้วไต่ขึ้นไปที่เอวของเขา จากนั้นจึงวางมือไว้ตรงนั้นนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ใบหน้าของนางถูกอัดติดอยู่กับส่วนนั้น ช่างเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง นางขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้สามารถหายใจเอาอากาศเข้าปอดได้อย่างราบรื่น

ด้วยการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ อีกฝ่ายที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเช็ดขอบแผล จึงชะงักค้างตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ แววตามืดทะมึนจมดิ่ง

หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าที่ตรงนั้นมันค่อยๆ ร้อนขึ้นทั้งยังนูนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว นางจึงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ ขอบคุณเจ้ามากนะ”

หยู่เหวินเห้าคลายมือที่จับนางไว้ กระแอมไอให้ลำคอโล่ง “อื้ม”

เกิดบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนขึ้นอย่างประหลาด หยวนชิงหลิงใช้นิ้วพันเกี่ยวบิดม้วนเสื้อผ้าของตัวเองไปมาอย่างเคอะเขิน เดินไปหลบหน้ายังอีกด้าน แก้มข้างขวาเห่อร้อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใบหน้าของนางร้อนหรือเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่

หยู่เหวินเห้าปรายตามองนางแวบหนึ่ง ผมของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าเหมือนเมฆเบาบางลอยล่องเคลิ้มฝัน แก้มเป็นสีแดงก่ำ แสดงให้เห็นความงามของดรุณีแรกแย้มอันชวนพิสมัย ดวงตาหวานฉ่ำดูเลื่อนลอยคล้ายไม่อาจหาจุดรวมสายตาได้ ขนตากะพริบสั่นไหว อาบย้อมด้วยความชุ่มชื้นละมุนสดใส ดุจดั่งน้ำค้างบางเบาในยามเช้า ที่อาบไล้ไปบนปีกของแมลงปอตัวน้อยที่แสนงดงาม

ริมฝีปากโค้งสวยเปิดเผยอขึ้นเล็กน้อย มองเห็นฟันขาวสะอาดรำไร ริมฝีปากอวบอิ่ม แม้ว่าจะดูซีดเซียวลงไปบ้าง เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์อันน่าหวั่นวิตก ก็ยังดูงดงามยั่วยวนให้อยากมองซ้ำๆ จนไม่อาจละสายตา

สมองของเขาราวกับหยุดทำงานไปแล้ว ริมฝีปากแห้งผาก รู้สึกได้เพียงแค่ว่าเหมือนมีเปลวไฟอันแสนรุ่มร้อนกองหนึ่ง ค่อยๆ ลุกโหมรุนแรงขึ้นมาจากในส่วนลึก แผดเผาหัวใจและสมองส่วนที่ใช้สั่งการทุกอย่างจนมอดไหม้เป็นจุณ