เขานั่งตัวตรงแน่ว ดวงตาแน่วนิ่งไม่กะพริบ ค่อยๆ ขยับมือเลื่อนเข้าไปอย่างเชื่องช้า ปลายนิ้วของเขาแตะสัมผัสผ่านมือนางที่วางอยู่บนเบาะ เย็นยะเยือกจนรู้สึกได้

ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มากไปกว่านั้น ไม่รุกล้ำเข้าไปอีกขั้น ทั้งไม่ถอยหลังไปอีกขั้น

หยวนชิงหลิงเองก็นั่งตัวตรงแน่วเช่นกัน แววตาของนางกลอกไปมาไม่นิ่ง กล้ามเนื้อทั้งร่างคล้ายเกิดอาการหดเกร็งขึ้งเคียด ยามที่สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วของเขาที่แตะผ่านอย่างแผ่วเบานั้น สมองก็คิดเร็วจี๋ว่าบางที นางสมควรจะย้ายตัวเองออกไปจากตรงนี้ ใช่แล้ว ควรย้ายตัวเองออกไปเดี๋ยวนี้เลย

ทว่ามันจะดูจงใจมากไปไหม แค่ปลายนิ้วไปแตะโดน ไม่น่านับเป็นอะไรได้นี่ ทั้งคู่เคยอิงแอบแนบชิดกันมาแล้วด้วยซ้ำ กับแค่ถูกปลายนิ้วแตะนิดหน่อย ก็จงใจหลบเลี่ยงเป็นพัลวันแบบนี้ ออกจะดูเสแสร้งเกินไปหน่อยไหมนะ

นอกจากนี้ ทั้งสองคนก็ดูจะเข้ากันได้ดี จนน่าจะนับได้ว่าเป็นเพื่อนกันแล้วกระมัง กับแค่มือเพื่อนแตะมาโดนเอง คงไม่จำเป็นต้องไปตกอกตกใจ เล่นใหญ่อะไรขนาดนั้นก็ได้

เมื่อครู่เขาอุตส่าห์ช่วยเช็ดผมของนางให้แล้วด้วย ส่วนนางก็แค่บังเอิญไปสัมผัสโดนส่วนนั้นของเขาแบบไม่ตั้งใจเฉยๆ ….

ถ้าแค่หัวใจมันไม่เต้นเร็วราวกลองที่รัวกระหน่ำแบบนี้ ทุกอย่างก็นับว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะนะ

จู่ๆ รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน สวีอีเปิดม่านออก หยู่เหวินเห้าพลันชักมือกลับมาวางไว้บนเข่าของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“ท่านอ๋อง พระชายา ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีรายงาน

พวกประสาทรับรู้ช้าอย่างเขา ย่อมไม่ทันสังเกตเห็นบรรยากาศอันน่าอึดอัดแปลกๆ ที่ลอยอยู่ภายในรถม้าได้เป็นธรรมดา

หยู่เหวินเห้าลงจากรถม้าก่อน หยวนชิงหลิงดึงเสื้อคลุมตัวหลวมของเขาให้กระชับเข้ากับตัวจนแน่น จึงค่อยเคลื่อนตัวตามออกมาอย่างระมัดระวัง หยู่เหวินเห้าช่วยอุ้มนางลงจากรถ ช่วงเวลานั้นที่ผิวกายทั้งคู่แนบชิด ไม่ว่าจะมือหรือเท้าของหยวนชิงหลิง ก็พลันอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง พอลงมาถึงพื้นได้ก็แทบจะยืนเองไม่ไหว หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างบ้าคลั่ง

สวีอียื่นมือจะไปรับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของหยวนชิงหลิง หยู่เหวินเห้าพลันคว้าดึงมันไปด้วยมือข้างเดียว “ข้าถือเองก็พอ”

“โอ้!” สวีอีรู้สึกแปลกใจไม่น้อย นี่ท่านอ๋องถึงกับยอมถือเสื้อผ้าที่สกปรกแล้วของพระชายาเชียวหรือ

แต่แล้ว หยู่เหวินเห้ากลับโยนเสื้อผ้านั้นไปให้ลู่หยา “ไปเคี่ยวน้ำขิงมาให้นางสักชามซิ”

ในที่สุด เหตุการณ์ตกน้ำก็ได้รับความกระจ่างไปอย่างงงๆ ชนิดที่ว่าไม่อาจอธิบายได้ หยวนชิงหลิงนั่งอยู่ในเรือนพักของหอเฟิ่งหยี มองดูต้นไม้ใบหญ้าที่นอกหน้าต่าง ในใจกลับยังรู้สึกแปลกประหลาดใจไม่หยุด

หยู่เหวินเห้ารู้ได้อย่างไร ว่านางไม่ใช่คนร้ายที่ผลักฉู่หมิงชุ่ยตกทะเลสาบ?

เขาไม่เชื่อฉู่หมิงชุ่ย แต่เชื่อนางอย่างนั้นหรือ มันเป็นเรื่องที่แปลกมากจริงๆ

“พระชายา ดื่มน้ำขิงหน่อยนะเพคะ!” ลู่หยาเดินเข้ามาพร้อมชามน้ำขิง ไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาเป็นระลอกๆ นั้น ลอยเข้ากลบจนเต็มสองตาของนาง จนนางต้องกะพริบตาอยู่หลายครั้ง

หยวนชิงหลิงยื่นมือไปรับมันมา จ่อลงบนริมฝีปากตัวเองแล้วดื่มอึกๆ ลงไปทันที ส่งผลให้ลิ้นโดนลวกพอง กรีดร้องเสียงดังลั่นว่า “ร้อน!”

ลู่หยาถึงกับหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกขึ้นมาเลยทีเดียว “ทำไมท่านถึงไม่เป่าก่อน ก็ดื่มรวดเดียวเช่นนั้นล่ะเพคะ”

หยวนชิงหลิงวางชามน้ำขิงลง ดึงตัวลู่หยามายืนตรงหน้า แล้วเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม “ลู่หยา ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะถามเจ้า เจ้าต้องตอบมาตามความจริงนะ”

ลู่หยาตกใจ เมื่อเห็นท่าทางที่ดูเคร่งขรึมของนาง “พระชายาโปรดถามมาเถอะเพคะ ข้าน้อยไม่มีอะไรต้องปิดบัง”

หยวนชิงหลิงลูบๆ จัดๆ เส้นผมของตัวเอง เพื่อปกปิดท่าทางที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ แล้วถามว่า “เจ้าเคยชอบใครมาก่อนหรือไม่”

ลู่หยาตกตะลึง “ชอบหรือ ที่พระชายาพูดมา เป็นความชอบแบบไหนล่ะเพคะ”

“ก็ชอบแบบที่ผู้หญิงชอบผู้ชายอย่างไรเล่า”

ลู่หยาเขินอายจนหน้าแดง “ข้าน้อยจะไปชอบผู้ชายได้อย่างไรกัน”

“ผู้หญิงจะชอบผู้ชาย ก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึ”

“ข้าน้อยไม่กล้าหรอกเพคะ”

ลู่หยาคล้ายอยู่ในฐานะผู้ช่วย ซึ่งมีหน้าที่จัดการเรื่องต่างๆ ให้นาง แต่กลับเป็นคนที่หัวโบราณในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความรักแบบนี้ ทำเอานางคิดถึงอดีตผู้ช่วยของตัวเองเมื่อชาติก่อนขึ้นมาเลยทีเดียว

“ทำไมพระชายาถึงถามเรื่องแบบนี้ขึ้นมาล่ะเพคะ” ลู่หยาถามอย่างไร้เดียงสา

“เจ้าเองก็ใกล้จะถึงวัยออกเรือนได้แล้ว ข้าเลยอยากถามเจ้าไว้เสียหน่อย เผื่อว่ามีใครที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสมดี ข้ายินดีจะเป็นคนจัดการให้เจ้าเอง”

ลู่หยาตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง น้ำตาค่อยๆ รินไหลออกจากสองตาอย่างช้าๆ “พระชายา ท่านพูดจริงหรือเพคะ”

“เจ้าร้องไห้ทำไมน่ะ มีอะไรที่ไม่ยินดีอย่างนั้นรึ”

ลู่หยาคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึง “ข้าน้อยขอขอบคุณ ในความกรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระชายาเพคะ”

คราวนี้เป็นตาของหยวนชิงหลิงที่ต้องงงงวยบ้างแล้ว “ขอบคุณอะไรกัน พอถึงอายุแล้วไม่ว่าชายหรือหญิงก็ต้องหมั้นแต่ง เจ้าขายตัวเองมาที่จวนแห่งนี้ ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า ก็สมควรจัดการเรื่องงานแต่งของเจ้าก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ นี่ถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของข้า ไม่นับเป็นพระคุณยิ่งใหญ่อะไรสักหน่อย”

ลู่หยาพูดด้วยเสียงติดสะอื้นว่า “ข้าน้อยคิดว่าพระชายาจะรับข้าน้อยเข้าเป็นอนุในเรือนน่ะเพคะ”

“อนุในเรือน?”หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะไปครู่หนึ่ง แน่นอนว่านางรู้ความหมายของคำนี้ดี นั่นก็คือการยกสาวใช้คนสนิทที่ตนเองไว้ใจที่สุด ให้ไปเป็นเมียทาสของหยู่เหวินเห้านั่นเอง

โดยทั่วไปแล้ว หลังจากที่บุตรสาวในตระกูลใหญ่แต่งงาน บรรดาสาวใช้สินสอดที่ถูกตบแต่งตามขบวนมา ส่วนใหญ่คือคนที่ถูกส่งมาเป็นเมียทาส พวกเด็กๆ ที่เกิดจากเมียทาสเหล่านี้ ก็จะต้องมีสถานะตามแม่ผู้ให้กำเนิด

ด้วยวิธีนี้ ก็จะสามารถทำให้ตำแหน่งของพวกนางมั่นคงได้

ลู่หยาไม่ใช่สาวใช้สินสอดของนาง แต่สาวใช้สินสอดเดิมของนาง ต่างถูกขับไล่ออกไปจนหมดแล้ว ลู่หยาคือคนที่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งนั้น

ฐานะของเมียทาส จะดีกว่าสาวใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พูดแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อมก็คือเป็นเครื่องมือในการขยายพันธุ์ให้ผู้ชายตระกูลนั้น เป็นแค่เครื่องมือผลิตลูก ไม่ได้มีศักดิ์ศรี มีหน้าตาใดๆ ทั้งสิ้น

ทันใดนั้นเอง หยวนชิงหลิงก็เพิ่งตระหนักถึงปัญหานี้ขึ้นมาได้ จึงถามออกไปว่า “ท่านอ๋องมีเมียทาสกี่คนหรือ”

ที่ตำหนักเซี่ยวเยว่ของนาง ดูเหมือนจะมีสาวใช้อยู่หลายคน แต่ละคนล้วนแต่หน้าตาไม่เลว หรือว่าพวกนั้นจะเป็นเมียทาสของเขากันนะ?

ลู่หยาตอบว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่รู้เลยเพคะ เรื่องภายในตำหนักเซี่ยวเยว่ พวกเราที่ทำงานในหอเฟิ่งหยีไม่ค่อยกล้าเข้าไปก้าวก่าย แต่คิดดูดีๆ แล้ว ข้าน้อยคิดว่าไม่น่ามีนะเพคะ ที่จริงเรื่องนี้เราควรจะคุยกันให้ชัดเจน เว้นเสียแต่ว่าท่านอ๋องจะไม่อยากให้คนอื่นรู้”

หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นรู้มากกว่า

สำหรับผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่ มีความต้องการตามปกติในด้านสรีรวิทยาตามธรรมชาติ การรับเมียทาสมาไว้ข้างกายสักคนสองคน นับว่าเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้

หยวนชิงหลิงรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในหัวใจอีกแล้ว ดูเหมือนว่าการดื่มน้ำในทะเลสาบเข้าไป ก็ยังไม่ช่วยให้โรคนี้หายไปได้สินะ

“ลู่หยา ข้าจะช่วยหาคนดีๆ ให้เจ้าเอง อย่าคุกเข่าอีกเลยนะ ลุกขึ้นมาเถอะ” หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปดึงนางลุกขึ้น

ลู่หยายังคงสะอื้นจากความซาบซึ้ง นางลุกขึ้นพลางปาดน้ำตาไปพลาง

หยวนชิงหลิงดื่มน้ำขิงอย่างช้าๆ ไม่ผลีผลามโดยพลการเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว

หลังจากสั่งให้ลู่หยาออกไปแล้ว หยวนชิงหลิงก็เริ่มหันไปอธิษฐานกับกล่องยา

นางเริ่มจากการขออะไรง่ายๆ ก่อน นั่นก็คือขอปากกา

ถ้านางได้ตามความปรารถนาจริง นางถึงจะลองพยายามขอยาดูบ้าง

เมื่อปิดฝาแล้วเปิดออกดู กวาดตามองหาจนทั่ว ไม่มีปากกา แต่ดันมีดินสออยู่สองสามแท่งในนั้นแทน

กล่องยาหูหนวกหรือเปล่า

“ขอไรแฟมพิซิน” นางยังคงพยายามต่อไป

ปิดฝาแล้วเปิดออก มีไรแฟมพิซินจริง แต่มีแค่ยาเดิมที่เคยมีในกล่อง นอกนั้นแล้วไม่มียาอื่นใดมากไปกว่านั้นอีก

“ดิมมี่!”

เมื่อเปิดดูอีกครั้ง มีขวดครีมเดกซาเมทาโซนขวดเล็กๆ นอนนิ่งอยู่ข้างในขวดหนึ่ง

“ยาเม็ดดิมมี่”

เปิดออกมา ก็ต้องตกตะลึงแบบหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอีกครั้ง มันคือหลอดครีมรักษาริดสีดวงทวาร และที่เปิดจุกขวดแบบฝาเกลียวที่มัดรวมมาให้เสร็จสรรพ

กล่องยาเป็นอะไรที่ไว้วางใจไม่ได้จริงๆ ดูไปแล้ว เหมือนว่าคงจะไม่มีทางรักษาอ๋องหวยได้แน่แล้ว

อ๋องหวย ข้าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว…

นางนอนฟุบหน้าลงบนเตียง เกิดความรู้สึกจนใจแบบทำอะไรไม่ถูกอย่างหนัก

ไม่รู้ว่าทางฉู่หมิงชุ่ยจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ทั้งไม่รู้ว่าหยู่เหวินเห้าไปอธิบายเรื่องนี้กับอ๋องฉีอย่างไร

หยู่เหวินเห้ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ทำไมเขาถึงเชื่อนาง เพียงแค่ดูแวบเดียว ก็เชื่อนางได้อย่างสนิทใจทันทีงั้นรึ

ช่างเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจได้จริงๆ

ตอนที่หยู่เหวินเห้าพาตัวหยวนชิงหลิงออกไป ฉู่หมิงชุ่ยมีท่าทางคล้ายคนใจสลาย

นางสั่นสะท้านไปทั้งตัว กระทั่งหัวใจก็สั่นสะท้านไปด้วย

นางคิดว่านางรู้จักเขาดี สามารถควบคุมเขาได้ ทั้งยังคิดว่าเขาจะต้องเชื่อโดยไม่ถามว่าทำไมสักคำด้วยซ้ำ

แต่ เขาไม่ทำอย่างนั้น เพียงแค่ชำเลืองมองด้วยหางตานิ่งๆ นางเห็นกระทั่งความผิดหวังในดวงตาของเขาอีกด้วย

เขาบอกว่าเขาจะให้คำอธิบายแก่ทุกคน นั่นเป็นเพียงข้ออ้าง เขารู้สึกเป็นห่วงหยวนชิงหลิง จึงต้องการพานางกลับไปทันที

ตอนที่เขาเห็นสภาพของหยวนชิงหลิง สีหน้าของเขาดูมืดมนอย่างหนัก แต่ดวงตากลับปรากฏแววความวิตกกังวล เขาเป็นห่วง เขาเป็นห่วงหยวนชิงหลิงมาก

ผู้หญิงที่วางแผนดักให้เขาต้องตกหลุมพราง ทำให้เขาถูกเสด็จพ่อหมางเมิน ถูกขุนนางทั้งต่ำทั้งสูงหัวเราะเยาะหยันเป็นตัวตลกในสายตาทั้งประชาชนพลเรือน เหล่าทหารนักรบและทุกคนในเมืองหลวง แต่เขากลับเป็นห่วงนาง

หยู่เหวินเห้า เหตุใดเจ้าถึงได้ตาต่ำเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้ไร้ความเมตตาเช่นนี้

บนรถม้าตลอดทางกลับ หัวใจของนางได้แต่หลั่งเลือดไม่หยุด ใจเจ็บปวดอย่างสุดแสนจะพรรณนา

“ไม่ต้องกลัว พี่ห้าจะต้องให้คำอธิบายที่เจ้าพอใจได้อย่างแน่นอน” อ๋องฉีจับมือนางพลางเอ่ยปลอบใจ

“เขาไม่ทำหรอก” ฉู่หมิงชุ่ยพูดอย่างเย็นชา

“พี่ห้าต้องทำแน่ เขาเป็นคนมีเหตุผล ไม่มีทางให้ท้ายหยวนชิงหลิงได้กำเริบเสิบสานแน่”

“อย่างเจ้ามันจะไปรู้อะไรกัน” ฉู่หมิงชุ่ยตะโกนใส่อ๋องฉีอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่

อ๋องฉีถึงกับตกตะลึงอึ้งค้างไปแล้ว