ตอนที่ 165 คุณเป็นห่วงผมหรือเปล่านะ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 165 คุณเป็นห่วงผมหรือเปล่านะ

หลินม่ายตั้งใจจะบริจาคเลือดให้คนเจ็บ เพราะจำได้ว่าตัวเองมีเลือดกรุ๊ป O ที่สามรถให้กับคนอื่นได้เยอะ

ถึงจะเกิดใหม่แต่กรุ๊ปเลือดก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปจากเดิม

หญิงสาวก้าวเท้าลงไปชั้นล่างเพื่อบริจาคเลือด

อย่างน้อยถ้าฟางจั๋วหรานบาดเจ็บ เลือดของเธอก็อาจจะได้ช่วยชีวิตเขา

อย่าว่าแต่เลือดเลย แม้แต่ไตเธอให้เขาได้ทั้งหมดถ้ามันจะทำให้เขาปลอดภัย

หญิงสาวเพิ่งจะตระหนักขึ้นมาในตอนนี้เองว่าอีกฝ่ายสำคัญต่อตัวเองมากมายถึงขนาดนี้ เธอเต็มใจมอบให้เขาได้ทุกอย่างถ้าจำเป็น

รถรับบริจาคเลือดเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พวกเขามาที่นี่เพื่อบริจาคเลือดให้คนเจ็บเช่นกัน

หลินม่ายขอทางคนที่ยืนมุงอยู่อย่างสุภาพเพื่อแทรกตัวเข้าไปด้านใน

เธออยากจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยแล้วกลับไปรอเขาที่หน้าห้องผ่าตัด

การบริจาคเลือดไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อขอลัดคิวพวกเขาจึงเต็มใจให้เธอแทรกได้อย่างง่ายดาย

พยาบาลที่เข้ามาเจาะเลือดเห็นว่าเธอรูปร่างผอมบาง จึงเอ่ยถามหญิงสาว “คุณหนักถึง 45 กิโลกรัมหรือเปล่าคะ”

มีข้อบังคับว่าผู้หญิงจะต้องมีน้ำหนักเกิน 45 กิโลกรัมถึงจะบริจาคเลือดได้

หญิงสาวชะงักไปชั่วครู่ “น่าจะถึงนะคะ ฉันแค่ดูผอมเฉย ๆ “

เธอสูง 165 ซม. เป็นไปได้ยากที่จะหนักไม่ถึง 45 กก.

เพราะเป็นการบริจาคเลือดแบบฉุกเฉินเลยไม่ได้มีการเตรียมเครื่องชั่งน้ำหนักมารอ ทำให้ไม่สามารถชั่งน้ำหนักเพื่อยืนยันได้

เมื่อหลินม่ายยืนยันแบบนั้น พยาบาลก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เริ่มทำการตรวจร่างกายพื้นฐานอย่างความดันโลหิต การเต้นของหัวใจว่าเป็นปกติ

และสอบถามเรื่องสุขภาพของเธออีกครั้ง พบว่าหญิงสาวไม่ค่อยป่วย และไม่มีโรคประจำตัว

พยาบาลจึงแจ้งปริมาณเลือดที่จะขอรับจากเธอว่าไม่ได้เต็มถุง

หญิงสาวคิดถึงคนป่วยที่กำลังรอเลือดจากเธอว่าอาจจะเป็นฟางจั๋วหราน เธอก็ยืนยันกับพยาบาลไปและบอกหล่อนไปว่าสามารถเอาเลือดไปเพิ่มจากที่แจ้งก็ได้

แต่พยาบาลกล่าวปฏิเสธ “คุณตัวผอมบาง ถ้าบริจาคเลือดมากเกินไปจะมีผลต่อสุขภาพ แล้วสุดท้ายอาจจะต้องเอาเลือดออกมาช่วยคุณอีกอยู่ดี”

หลินม่ายส่ายหน้าและเอ่ยยืนยัน “ฉันแข็งแรงมาก ไม่เคยเป็นลมเลยซักครั้ง กินอาหารดี ๆ ทุกวัน ทำงานที่ร้านอาหาร ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะเป็นอะไรไปหรอกนะคะ”

ยังมีคนรอคิวอีกมาก ทำให้พยาบาลไม่มีเวลาจะอธิบายกับเธอ จึงดำเนินการเจาะเลือดไปตามที่เธอบอก

หลังจากบริจาคเลือดเสร็จสิ้น หญิงสาวก็รีบกลับไปที่ห้องผ่าตัด

เหล่านักข่าวมากมายยังคงปักหลักอยู่ที่นั้น ห้องผ่าตัดเต็มไปด้วยผู้คน

หัวหน้า รปภ. เห็นหลินม่ายรออยู่คนเดียวข้างนอก เลยพาเธอไปที่มุมสงบมุมหนึ่งเพื่อรอ

เธอจ้องไปที่แสงไฟของห้องผ่าตัด สีหน้าวิตกกังวลฝ่ามือชื้นเหงื่ออยู่ตลอดเวลา

เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ในที่สุดไฟหน้าห้องผ่าตัดก็ดับลง

เธอรีบก้าวไปรอหน้าห้องพร้อม ๆ กับทุกคนที่รออยู่

ชะโงกหน้าไปดูที่ประตูห้องโดยหวังว่าจะได้ข่าวดีจากคุณหมอที่ออกมา

ประตูห้องผ่าตัดเปิดออกและเริ่มลำเลียงผู้บาดเจ็บออกมาทีละคน ๆ

เธอพยายามมองไปที่เหล่าคนไข้ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาเป็นใครบ้าง

หลังจากนั้นไม่นานศัลยแพทย์ก็เดินออกมา

ทันทีที่เห็นว่าคุณหมอคนนั้นเป็นใครหญิงสาวก็อยู่ในอาการนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึง

อาจารย์ฟางอยู่ในชุดผ่าตัด สวมหน้ากากอนามัยเดินออกมา

โล่งออกไปที เขายังปลอดภัย และยังมีชีวิตอยู่

เห็นแบบนั้นน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาด้วยความโล่งใจ

ตอนนั้นมีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในสายตาเธอ ร่างบางรีบตรงเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ

แต่เพราะมีผู้คนจำนวนมากรุมล้อมเขาอยู่ทำให้เธอเข้าถึงตัวคุณหมอไม่ได้ในทันที

เธอถูกเบียดเสียดจนต้องยอมแพ้เพราะไม่สามารถเข้าถึงเขาได้ จึงยืนรออยู่ด้านข้าง มองเขาด้วยความปรารถนาดี

ฟังเขาให้สัมภาษณ์กับเหล่านักข่าวที่มุมนี้อย่างเงียบ ๆ

หลินม่ายได้รู้ในตอนนั้นเองว่านอกจากเขาจะปลอดภัยนี้แล้ว ยังเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้อีกด้วย

เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดีเธอก็สบายใจขึ้น

เธอหันหลังจากมาจากตรงนั้น แต่ระหว่างที่เดินผ่านห้องศัลยกรรมทั่วไปก็บังเอิญพบว่ากับนักเรียนของฟางจั๋วหราน

เป็นคุณหมอจบใหม่ที่สุภาพมาก เขาเองก็บาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน แต่ไม่ได้ร้ายแรงมากมีเพียงรอยฟกช้ำจากการชกต่อย

เขาเป็นคนดูแลโต้วโต้ว ตอนที่ลูกมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลจึงคุ้นเคยกับหลินม่ายเป็นอย่างดี

แม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าเธอหลายปีแต่ทุกครั้งที่เจอกันเขาจะเรียกเธอว่าคุณน้าหลิน

ครั้งนี้ทั้งที่เขาบาดเจ็บอยู่ ถูกทำร้ายจนหน้าบวมช้ำ ก็ยังจะเข้ามาทักทายเธอว่าคุณน้าอีก

เขาเอ่ยอย่างขอความเห็นใจ “คุณน้าหลิน ดูสิครับ ผมเจ็บตัวขนาดนี้ ปลอบใจด้วยซี่โครงหมูยี่หร่าได้ไหมครับ”

ตั้งแต่ได้ชิมเมนูซี่โครงหมูของฟางจั๋วหรานที่เธอปรุง เขาก็ถูกใจมันมากและมักจะถามถึงอยู่เสมอที่เจอกัน

หลินม่ายทำเป็นโกรธเขาแล้วตอบไปว่า “ถ้ายังมาเรียกฉันว่าน้าอยู่อีกก็ไม่ได้กินหรอกนะคะ”

เธออายุไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ จะมาเป็นน้าของคนอายุ 20 ได้อย่างไรกัน

เขากลับขยิบตาให้เธอ “ก็เดี๋ยวคุณก็จะได้เป็นพี่สะใภ้ไง ผมก็ต้องเรียนคุณน้ารอล่วงหน้า เดี๋ยวอาจารย์ฟางจะโกรธเอาได้”

เธอไม่รู้จะว่าอย่างไรกับหมอคนนี้ดีแล้ว

ถึงเขาจะไอคิวสูงขนาดไหนก็ต้องมีปัญหาอะไรในระบบความคิดแน่ ๆ เพราะมองยังไงคนแบบเธอก็ไม่มีทางเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของเขาได้หรอก

อาจารย์ฟางก็บอกต่อหน้าทุกคนตั้งหลายครั้งแล้วว่าคิดกับเธอแค่น้องสาว ยังจะมาพูดแบบนี้อีก ไม่รู้ว่าอยากจะหาเรื่องกันหรืออย่างไร?

เธอล้อเล่นกับเขา “หน้าช้ำแบบนี้ยังจะอยากกินซี่โครงยี่หร่าอีก ยี่หร่าเป็นของร้อน กินเข้าไปไม่กลัวหน้าบวมยิ่งกว่านี้หรือไงคุณหมอ”

“ใช่ ผมอยากกิน ถ้าหน้าบวมเดี๋ยวผมฉีดยาแก้อักเสบให้ตัวเอง”

น่าเห็นใจในความพยายามเพื่อจะได้กินของอร่อยของคุณหมอเสียเหลือเกิน

หลินม่ายกำลังจะแซวอีกฝ่ายต่อก็ได้ยินสียงของฟางจั๋วหรานดังขึ้นจากด้านหลัง “กินได้สิ อย่าลืมไปกินด้วยนะ ผมก็จะสั่งเหมือนกัน ถึงอากาศจะร้อนก็ต้องกินซี่โครงยี่หร่าให้ได้”

คุณหมอจบใหม่รีบหนีไปทันทีเมื่อเห็นแบบนั้น

หลินม่ายรู้สึกแปลกใจ เธอรีบหันกลับไปอย่างกะทันหันไปทางฟางจั๋วหราน

คุณหมอฟางรีบเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “โต้วโต้วเป็นอะไรหรือเปล่า?”

เขาเห็นหลินม่ายยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนหลังผ่าตัดเสร็จ ก็เป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโต้วโต้วหรือเปล่า เธอถึงต้องมาที่โรงพยาบาล

เพราะเห็นแบบนั้นเขาก็เลยรีบทำให้การสัมภาษณ์จบอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายส่ายหน้า “โต้วโต้วไม่เป็นอะไรค่ะ ฉันได้ยินว่าที่โรงพยาบาลมีเรื่อง เลยรีบมาดูว่าคุณเป็นอะไรไหม?”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนั้นขึ้นมา หญิงสาวก็เริ่มจะทนไม่ไหวที่จะอยู่เฉยรีบตรงเข้าไปกอดคุณหมอหนุ่ม

ชายหนุ่มใจเต้นรัวขึ้นมากะทันหัน สมองมึนเบลอไปชั่วขณะ

ร่างบางในอ้อมแขนกำเสื้อคลุมของเขาเอาไว้แน่น เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา เธอมีอะไรอยากจะบอกเขามากมายไปหมด แต่กลับไม่ได้เอ่ยออกไป ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตา

ชายหนุ่มมองอาการของเธอแล้วแอบหวังขึ้นมาในใจ เธอเป็นห่วงเขาหรือเปล่านะ?

อาการเหล่านี้ของเธอทำเอาเขาเริ่มจะทำตัวไม่ถูก

“อย่าร้องไห้สิ…ดูสิผมไม่เป็นอะไรแล้ว”

ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอด พร้อมเอ่ยปลอบเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับแสงจันทร์ในคืนฤดูใบไม้ร่วง

หญิงสาวพักกายและใจอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นนั้นอยู่สักพัก พอเริ่มรู้ตัวว่าใกล้ชิดกับเขาเกินไปก็ได้สติขึ้นมา

การกอดกันอยู่แบบนี้ สำหรับคนที่เขาบอกใครต่อใครว่าเป็นแค่น้องสาว มันก็ออกจะเกินไปหน่อย

เธอลุกลี้ลุกลนผละออกจากอ้อมแขนของเขา ก้าวเท้าถอยหลังออกมาหนึ่งเก้า กลืนก้อนขมในคอลงไปแล้วฝืนยิ้มกว้างออกมา “คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว ต้องไม่เป็นอะไรสิ ขาดคุณไปแล้วใครจะมาดูแลโต้วโต้วล่ะ”

กล่าวจบแบบนั้นก็รีบวิ่งหนีไป

เธอไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นของตัวเองสามรถทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้หรือเปล่าว่าเธอเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แม้ว่าจะอ้างถึงเรื่องโต้วโต้วไปก็ตามที

ถึงเธออยากจะบอกเขามากเรื่องความในใจของตัวเองมากแค่ไหนตอนที่เข้าใจว่าเขาบาดเจ็บ แต่ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะอย่างนั้นเธอก็เลยเลือกที่จะเก็บความรู้สึกของตัวเองให้เป็นความลับต่อไป

เพราะขืนบอกไปเธอคงเขินจนไม่รู้จะมองหน้าเขาอย่างไรดี

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อาการมันชัดขนาดที่หมอจบใหม่ยังดูออกแบบนี้ ยังจะบอกว่าเป็นพี่ชายน้องสาวกันอีกเหรอคะ

ไหหม่า(海馬)