องค์ชายใหญ่คิดว่าตัวเองกับเฉินลั่วเป็นสหายที่ผ่านความตายมาด้วยกัน แม้นเมื่อก่อนทั้งสองคนอาจเข้ากันไม่ได้ ทว่าก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน ก็แค่มีความชอบไม่ตรงกัน ประกอบกับวัยที่ค่อนข้างห่างกันก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผ่านการร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา ต่อให้ระหว่างทั้งสองไม่อาจเที่ยวเล่นด้วยกันได้ แต่ก็เป็นคนที่ระวังหลังให้กันได้
เขากล่าวกับองค์ชายรองว่า “เพียงแต่น่าเสียดายที่หลินหลางมาร่วมลำบากกับข้าด้วย ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะคิดอย่างไร”
องค์ชายรองตะลึง
นี่อยากให้เขาไปขอความเมตตาให้เฉินลั่วอย่างนั้นหรือ
ด้วยมิตรภาพระหว่างเขากับเฉินลั่ว ถึงคราวให้องค์ชายใหญ่ต้องกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
เฉินลั่วเล่า? เขาเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ
องค์ชายรองหันไปมองเฉินลั่ว
เฉินลั่วกลับหันมายิ้มขื่นให้เขา กล่าวว่า “กล่าวตามจริง ตอนนี้ในหัวของข้าสับสนวุ่นวายไปหมด จนมาถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ข้าตั้งใจว่าเมื่อกลับไปแล้วจะปิดประตูตั้งใจอ่านตำรา เมื่อก่อนฝ่าบาทชอบพูดว่าเข้ารู้จักแต่รำกระบี่เล่นกระบอง ไม่รู้จักทำอะไรจริงจังมิใช่หรือ นับจากนี้เป็นต้นไปข้าจะเริ่มอ่านตำราเรียนหนังสือ คงยังไม่สายเกินไปหรอกกระมัง”
องค์ชายรองกับองค์ชายใหญ่ได้ยินแล้วต่างเงียบไปเนิ่นนาน
พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วฮ่องเต้คิดอะไรอยู่กันแน่
แต่องค์ชายรองไม่มีทางปล่อยผู้ช่วยอย่างเฉินลั่วผู้นี้ไป
ในความเห็นของเขา ฮ่องเต้ทำผิดต่อเฉินลั่วครั้งหนึ่งแล้ว น่าจะไม่ทำผิดต่อเฉินลั่วอีก ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ช่วงเวลานี้น่าจะพระราชทานบำเหน็จให้เฉินลั่ว ส่วนบรรดาพี่น้องต่างมารดาของเขาเหล่านั้น เมื่อก่อนเขาคิดว่าตัวเองมองพวกเขาได้ปรุโปร่ง แต่หลังจากเกิดเรื่องที่องค์ชายใหญ่ถูกลอบสังหารแล้ว เขารู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจผู้ใดทั้งนั้น
เมื่อความคิดเหล่านี้ไหลผ่านเข้ามาในหัวของเขา ทันใดนั้นเขาพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฉินลั่วถึงอยากไปอ่านตำราเรียนหนังสือ
ถ้าหากเลือกได้ เขาก็อยากเลือกไปเรียนหนังสือเหมือนกัน
แต่สุดท้ายแล้วเขากับเฉินลั่วไม่เหมือนกัน
เฉินลั่วลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้ แต่เขาทำได้หรือ?
และเวลานี้ คนที่ไม่มีทั้งผลประโยชน์และความขัดแย้งกับเขาจริงๆ ก็มีแค่เฉินลั่วเท่านั้นแล้ว
หากเฉินลั่วไปเรียนหนังสือ แล้วเขาจะทำอย่างไร
ตอนออกจากวัดเจินอู่ เฉินลั่วเป็นตัวแทนองค์ชายใหญ่ที่บาดเจ็บสาหัสลุกจากเตียงไม่ได้ออกมาส่งองค์ชายรอง
องค์ชายรองกล่าวกับเฉินลั่วตรงหน้าประตูวัดว่า “ทางด้านเสด็จพ่อ ต่อให้ข้าพูดอะไรไปก็อาจไม่มีประโยชน์นัก แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราพี่น้องเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่ต่างจากพี่น้องแท้ๆ อย่างไรข้าก็ต้องพูดให้เจ้าต่อหน้าฝ่าบาทอย่างแน่นอน เจ้าอยู่ที่นี่ตั้งใจรักษาตัวให้หาย ด้านท่านอา มีข้าคอยปลอบโยนอยู่ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงเช่นกัน”
เฉินลั่วพยักหน้า
เขาอยากถามองค์ชายรองเหลือเกินว่าช่วงนี้มารดาของเขากำลังทำอะไรอยู่บ้าง
นับตั้งแต่ที่เขาประสบเคราะห์ร้ายมา จ่างกงจู่ไม่เคยมาเยี่ยมเขาเลย
แต่เขาคิดว่าตัวเองในฐานะลูกยังไม่รู้เลยว่ามารดาอยู่ที่ไหน เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายที่สุด เขาคิดแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำที่มาถึงริมปากนั้นออกไป
ขบวนขององค์ชายรองจากไปแล้ว เฉินลั่วยืนมองอยู่หน้าประตูวัดเจินอู่เป็นเวลาเนิ่นนาน
เมื่อกลับมาถึงลานบ้าน เขาไม่มีกะจิตกะใจเล่นหมากแล้ว นักพรตเด็กนำน้ำชามาขึ้นโต๊ะให้เขา
เป็นชาโบตั๋นขาวของอวิ๋นกุ้ย ขนมกินคู่กับชาเป็นขนมดอกหอมหมื่นลี้สีขาวดุจหิมะคั่นกลางด้วยกลีบดอกหอมหมื่นลี้สีทองอร่าม
เฉินลั่วหัวใจกระตุก ถามนักพรตผู้นั้นว่า “นี่เป็นขนมจากที่ใด หวานแต่ไม่เลี่ยน รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว”
นักพรตผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “หอสายลมวสันต์ส่งมาให้ขอรับ บอกว่าส่งมาขอบคุณท่านอาจารย์ของพวกข้าที่ช่วยรักอาการบาดเจ็บที่มือของหลงจู๊ใหญ่ของพวกเขาจนหายดี”
เฉินลั่วไล่นักพรตคนนั้นออกไป ก้มหน้าลงมองบาดแผลกลางฝ่ามือที่ถูกแทงก่อนหน้านี้แล้วยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ใช่ว่าเขาไม่เคยไปกินข้าวที่หอสายลมวสันต์ ขนมดอกหอมหมื่นลี้ของหอสายลมวสันต์ทำได้หรูหราฉูดฉาดกว่านี้มาก แล้วก็หวานกว่านี้ด้วย เห็นได้ชัดว่ารสชาตินี้ทำตามรสชาติที่เขาชอบ ต่อให้มิใช่แม่ครัวที่เรือนครัวของหวังซีเป็นคนทำด้วยตัวเอง แต่ก็เป็นการทำตามที่หวังซีกำชับมา
เฉินลั่วอารมณ์เบิกบานยิ่ง ไม่เพียงขยับหมากตามคู่มือการเล่นหมากอย่างสบายใจเท่านั้น ยังกินขนมดอกหอมหมื่นลี้ติดๆ กันถึงห้าชิ้น เรียกเฉินอวี้ที่ตามมาถึงเมื่อคืนเข้ามา ถามเขาว่า “ติดต่อคุณชายหลิวหรือยัง”
เฉินอวี้เองก็ลำบากมาไม่น้อยเช่นกัน บาดแผลจากรอยขีดข่วนบนใบหน้ายังไม่ตกสะเก็ด แม้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ล้างตัวเรียบร้อย แต่สภาพก็ยังดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
เขากระซิบกล่าว “คุณชายหลิวบอกว่า ระยะนี้องค์ชายสามกับองค์ชายห้าไปเยี่ยมเยือนขุนนางใหญ่ในสภาหลายครั้ง ส่วนองค์ชายสี่มีแขกผู้หนึ่งของบริวารเขาไปพบลูกศิษย์คนหนึ่งของผู้ตรวจราชการซื่อชวนที่สำนักฮั่นหลิน องค์ชายหกเองก็เริ่มสร้างปัญหาแล้วเหมือนกัน ไปพบผู้ช่วยของโรงทอที่เจียงหนาน แต่องค์ชายเจ็ดกลับนิ่งสงบดุจขุนเขา ทุกวันยังคงไปมาระหว่างห้องทรงอักษร ตำหนักฉู่ซิ่ว และตำหนักเฉียนชิงเช่นเคยขอรับ”
เฉินลั่วลูบเม็ดหมากล้อมในมือเบาๆ กำลังคิดว่าที่องค์ชายเจ็ดดูไม่มีความเคลื่อนไหวนั้นเป็นเพราะคนของเขาหาไม่เจอหรือเพราะองค์ชายเจ็ดรู้สึกว่าเวลานี้ควรอยู่เงียบๆ ดีที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบแรกหรือแบบหลัง องค์ชายเจ็ดล้วนไม่ธรรมดา
เมื่อก่อนเป็นเขาที่ดูเบาองค์ชายเจ็ด
น่าเสียดายแทนองค์ชายเจ็ดที่ฮ่องเต้ใจร้อนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่พบพิรุธอะไรแล้ว หากผ่านไปสักสองสามปี ไม่แน่ว่าองค์ชายเจ็ดอาจกระทำการสำเร็จก็เป็นได้!
เฉินลั่วหัวเราะ
เฉินอวี้เหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป
เฉินลั่วไม่ชอบใจ กล่าวว่า “เจ้ากลายเป็นคนที่พูดครึ่งหนึ่งปิดบังครึ่งหนึ่งไปตั้งแต่เมื่อใด?”
เฉินอวี้รีบกล่าว “หาใช่อย่างนั้นขอรับ ข้าแค่ไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องนี้อย่างไรดี”
เฉินลั่วส่งสายตาไปให้เขาครั้งหนึ่ง
เฉินอวี้ตรึกตรองพลางกล่าว “เมื่อวานคุณชายเจ็ดจวนชิ่งอวิ๋นโหวให้คนนำกระดาษเฉิงซินหนึ่งเตาและพู่กันหูโจวหนึ่งกล่องส่งไปให้คุณหนูหวัง บอกว่าให้คุณหนูหวังใช้คัดพระธรรมขอรับ”
นี่มันคำกล่าวอะไรกัน
หัวคิ้วของเฉินลั่วขมวดเป็นปมแน่น
เฉินอวี้กล่าว “เมื่อวานซืนคุณหนูหวังบริจาคเงินค่าธูปเทียนให้วัดอวิ๋นจวีก้อนใหญ่ ยังกล่าวด้วยว่าต้องการคัดพระธรรมมาถวายที่วิหารใหญ่ของวัดอวิ๋นจวี บังเอิญว่าคนที่คุณหนูหวังส่งไปได้เจอกับคนของจวนชิ่งอวิ๋นโหวพอดี อาจเป็นคนของจวนชิ่งอวิ๋นโหวเอาไปเล่าให้คุณชายเจ็ดฟัง คุณชายเจ็ดจึงส่งกระดาษกับพู่กันไปให้”
ฉับพลันนั้นเฉินลั่วเหมือนแมวพองขนที่ถูกบุกรุกเขตแดน
ปั๋วหมิงเย่ว์กล้าวิ่งมากระทำลำพองถึงเขตแดนของเขาได้อย่างไร!
เพียงเขานึกถึงภาพหวังซีรับของที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งไปให้ไว้กับตัว เขาก็รู้สึกทุกข์ทรมานใจมากเหมือนกระทะร้อนๆ ถูกราดด้วยน้ำมันหนึ่งช้อนแล้ว
สีหน้าสบายๆ เมื่อครู่ก็มลายหายไปหมดแล้วเช่นกัน
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ในลานบ้าน ทำเอาเฉินอวี้หน้ามืดตาลายไปหมด กระทั่งหยุดเดินแล้ว ก็กล่าวกับเฉินอวี้อย่างกะทันหันว่า “ไม่ได้การ ข้าต้องกลับเข้าเมืองหลวงสักครั้งหนึ่ง ด้านนอกเป็นคนของกองพลขนนกและกองพลทองคำ โชคดีที่ข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ข้าจะไปบอกองค์ชายใหญ่ไว้สักคำหนึ่ง ส่วนเจ้าก็ระวังตัวเอาไว้สักหน่อย ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
เฉินอวี้ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ที่พวกเขาได้พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ต้องขอบคุณใต้เท้าอวี๋ที่ออกหน้าพูดให้ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้องค์ชายใหญ่กับคุณชายรองพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ประกอบกับสถานการณ์ยังไม่กระจ่าง ทุกคนก็เลยไม่อาจมาเยี่ยมได้ ถ้าหากฮ่องเต้ทรงทราบเรื่อง นี่มีโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงเลยทีเดียว!
แต่เฉินอวี้ไหนเลยจะกล่าวโน้มน้าวเฉินลั่วได้
เฉินลั่วอ้างว่าต้องออกไปพบผู้ช่วยของตัวเอง จึงโน้มน้าวองค์ชายใหญ่ได้ทันที องค์ชายใหญ่ไม่เพียงรับปากว่าเขาจะช่วยปกปิดให้เท่านั้น ยังบอกเฉินลั่วว่า “นายทะเบียนหวังของหน่วยรักษาความสงบเมืองหลวงทิศตะวันตกกับข้าสนิทสนมกัน หากเจ้าตกอยู่ในอันตรายก็ไปหาเขาได้” ยังมอบของแทนตัวไปยืนยันชิ้นหนึ่งด้วย
นี่เป็นผลกำไรที่ได้รับมาอย่างไม่คาดคิด
เฉินลั่วอาศัยความมืดของค่ำคืนเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวง ถือโอกาสในระหว่างนั้นครุ่นคิดว่า เขาเจอหวังซีครั้งแรกที่ร้านขายยาเพื่อมวลชน ตอนนั้นเขาไปตามหายาให้ฮ่องเต้ จากนั้นได้พบนางอีกครั้งในงานวันคล้ายวันเกิดของมารดาเขา…ดูเหมือนว่าแต่ละครั้งจะมีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่เสมอ ทว่าทุกครั้งกลับทำให้เขาได้รับผลประโยชน์บางอย่างมาโดยที่อธิบายเหตุผลไม่ได้
เขาต้องไปตรวจสอบอักษรแปดชะตาของหวังซีดูสักหน่อยแล้วว่าดวงสมพงศ์กับเขาเป็นพิเศษหรือเปล่า
แต่เมื่อนึกถึงกระดาษและพู่กันที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งไปให้นางแล้ว หัวใจของเขาก็คล้ายโดนแมวข่วน รู้สึกว่าปั๋วหมิงเย่ว์มีแผนการบางอย่าง
เขากลัวหวังซีถูกหลอก
ตอนได้รับของที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งมาให้หวังซีเองก็ประหลาดใจอย่างมาก สองวันนี้เรื่องขององค์ชายใหญ่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง ปั๋วหมิงเย่ว์ควรจะยุ่งมากถึงจะถูก เหตุใดเขาถึงมีเวลาไปวัดอวิ๋นจวีและยังมีอารมณ์ส่งของมาให้ตนอีก?
นางให้หวังหมัวมัวส่งของประจำเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างพวกโคมมังกรและขนมไหว้พระจันทร์ไปให้เขา แน่นอนว่าเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาแล้ว นางส่งอีกหนึ่งชุดไปให้คุณหนูหกปั๋วด้วย ยังกำชับหวังหมัวมัวด้วยว่า “หากรู้ว่าคุณชายปั๋วไปทำอันใดที่วัดอวิ๋นจวีได้ก็ยิ่งดี”
วัดอวิ๋นจวีเป็นอารามนางชี แม่ชีในวัดยังรักษาอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้อีกด้วย เพราะเหตุนี้จึงได้รับความนิยมจากสตรีในเมืองหลวง สตรีจำนวนมากเป็นฆราวาสของพวกเขา ฉะนั้นแขกสตรีจึงมากกว่าแขกบุรุษมากโข
ช่วงนี้ปั๋วหมิงเย่ว์ยุ่งมากจนเท้าแทบไม่ติดพื้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจนถึงบัดนี้แล้วแต่บิดาของเขาหรือก็คือชิ่งอวิ๋นโหวก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดี เขาไหนเลยจะมีกะใจไปสนใจว่าหวังซีกำลังทำอะไรอยู่ ที่เขาไปวัดอวิ๋นจวีเพราะไปพบคนผู้หนึ่ง เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้เจอหมัวมัวคนสนิทของหวังซีที่นั่น แต่ในเมื่อเจอแล้ว เขาจำต้องทักทายและพูดคุยด้วยสองสามประโยคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ตอนที่หวังหมัวมัวไปส่งของขวัญที่ตระกูลปั๋ว แม้นไม่ได้เจอปั๋วหมิงเย่ว์กับคุณหนูหกปั๋วก็ตาม แต่นางก็ได้เห็นเรื่องบางอย่างมาเล็กน้อย กลับมารายงานหวังซีว่า “ดูท่าแล้วคนตระกูลปั๋วต่างกำลังยุ่งกันอย่างมาก ว่ากันว่าซื่อจื่อฮูหยินของพวกเขาเดินทางกลับบ้านเดิม ส่วนคุณหนูหกปั๋วนับตั้งแต่ที่เข้าวังไปวันนั้นก็ยังไม่ได้กลับออกมา คุณชายเจ็ดปั๋วยิ่งแล้วใหญ่ยุ่งจนเท้าไม่ได้ติดพื้น ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาส่งเขาไปเก็บค่าเช่าที่ที่เมืองเป่าติ้ง เดือนหน้าถึงจะกลับมาเจ้าค่ะ”
เก็บค่าเช่าที่ที่เมืองเป่าติ้งหรือ?
ใต้รังที่พลิกคว่ำ ไม่มีไข่สักใบที่อยู่รอดปลอดภัย
หวังซีได้ยินมานานแล้วตระกูลปั๋วมีที่นาผืนใหญ่หลายแห่งอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง แต่การไปเก็บค่าเช่าที่ในเวลานี้ดูเร็วเกินไปสักหน่อย และเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องขององค์ชายรองแล้ว ดูกลับหัวกลับหางผิดฝาผิดตัวไปเล็กน้อย ทำให้คนรู้สึกสงสัยเหตุผลในการเดินทางไปที่นั่นของปั๋วหมิงเย่ว์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หวังซีลอบจดจำเอาไว้ในใจ นึกถึงที่พี่ชายใหญ่ของนางบอกว่าหลังเทศกาลวันไหว้พระจันทร์จะเดินทางมาจิงเฉินสักครั้งขึ้นมา จึงถามถึงตำแหน่งแห่งที่ของหวังเฉิน “จะยังเดินทางมาจิงเฉิงตามกำหนดการหรือไม่?”
หวังหมัวมัวกล่าว “หากมาไม่ได้ จากนิสัยของคุณชายใหญ่แล้ว จะต้องให้คนนำจดหมายมาบอกล่วงหน้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ถ้าพี่ชายใหญ่ของนางมาถึงแล้ว ก็ให้พี่ชายใหญ่ของนางพบเฉินลั่วสักครั้งหนึ่ง
ต่อไปเมื่อนางเดินทางกลับสู่จงแล้ว จะยังคงรักษาสายสัมพันธ์กับตระกูลเฉินต่อไปหรือไม่นั้น ก็ให้เป็นการตัดสินใจของพี่ชายใหญ่ของนาง
ด้วยเหตุนี้หวังซีจึงหารือกับหวังหมัวมัวเกี่ยวกับเรื่องในเมืองหลวงไปมากมายหลายเรื่อง กระทั่งได้ยินเสียงตีกลองบอกเวลายามสาม นางถึงได้ปล่อยหวังหมัวมัวไปพักผ่อนอย่างขออภัย
เพียงแต่ว่าหวังหมัวมัวเพิ่งจากไป ก็มีเสียงก้อนหินกระทบหน้าต่างอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากบานหน้าต่างของนาง
หวังซีตกใจมาก คิดว่าถ้าเฉินลั่วมาหาในเวลานี้ คงมิใช่เพราะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกกระมัง
นางไม่เปิดหน้าต่าง แต่ไปเรียกหงโฉวกับชิงโฉวเข้ามา ดับตะเกียงเสร็จแล้ว ถึงไปเปิดหน้าต่าง
คนที่ปีนเข้ามาคือเฉินลั่ว
เขาบ่นออกมาว่า “เหตุใดถึงดับตะเกียง? ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้ยินเสียอีก กำลังคิดจะโยนหินมาอีกสองลูก!”
หวังซีกำลังกังวลใจ ไม่มีกะใจมาโต้เถียงกับเขา ถามอย่างร้อนใจว่า “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงแอบเข้าเมืองในเวลานี้?”
นางกลัวว่าเฉินลั่วต้องหนีเอาชีวิตรอด
เช่นนั้นคงเป็นเรื่องที่ชักช้าไม่ได้
ในมือนางมีก้อนเงินสำหรับใช้เป็นเงินรางวัลให้บ่าวไพร่เพียงสองร้อยตำลึงเท่านั้น ไม่พอสำหรับเดินทางออกจากจิงเฉิงด้วยซ้ำ หากออกไปเอาข้างนอก ก็กลัวถูกคนจับได้
ในใจนางคิดเช่นนี้ แต่ก็เผลอพูดออกมาด้วยโดยไม่รู้ตัว ยังกล่าวอย่างร้อนใจด้วยว่า “ข้าจะไปดูว่าข้ามีเครื่องประดับทองคำแท้อยู่บ้างหรือไม่ เวลานี้เครื่องประดับฝังอัญมณีไม่มีประโยชน์เท่าทองคำแท้ ไม่แปลกที่ผู้อื่นพูดกันว่ายามสงบนิยมไข่มุกอัญมณียามโกลาหลนิยมทองคำ ข้าควรเอาทองคำมาด้วยสักหน่อย”
เฉินลั่วตะลึงงัน ภายใต้แสงตะเกียงนั้น สายตาที่เขามองหวังซีราวกับสะท้อนทะเลดาวออกมา ดูระยิบระยับแพรวพราว สุกสกาวชวนให้คนหลงใหล
……………………………………………………………………
ตอนต่อไป