เฉินเจวี๋ยได้ยินแล้วไม่พูดอะไรไปครึ่งค่อนวัน ความคิดหนึ่งลอยวนไปวนมาอยู่ในหัวของนาง แต่สุดท้ายก็ตกลงมา
นางดึงเฉินอิงเอาไว้กระซิบกล่าวว่า “เจ้าว่า หากเกิดเหตุกับเฉินลั่วจริง ซือจูก็ถูกป้ายความผิดไปแล้ว งานแต่งระหว่างเจ้ากับซือจูก็ต้องพิจรณากันใหม่อีกครั้งแล้วมิใช่หรือ แล้วก็เฉินลั่วอีก ถ้าเขามีพฤติกรรมน่ารังเกียจขัดต่อหลักศีลธรรม ก็ไม่เหมาะสมเป็นซื่อจื่อ ท่านพ่อไม่ต้องลงมือจัดการ ฝ่ายร้องเรียนบ้าน้ำลายเหล่านั้นก็จับเขาถ่วงน้ำเองแล้วกระมัง!”
ความคิดของพี่สาวทำให้หัวใจของเฉินอิงเต้นตึกๆ ไม่หยุด น้ำเสียงเจือความแหบพร่าเอาไว้หลายส่วน “ไม่ ไม่เหมาะสมอย่างไรหรือ”
“เหตุใดเจ้าถึงโง่งมปานนี้!” เฉินเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “เพื่อให้ตัวเองได้แต่งงานกับเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ ซือจูจึงสั่งให้อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของตระกูลซือลอบสังหารเฉินลั่ว เฉินลั่วไม่พอใจก็เลยต้องการฆ่าเจ้า แต่เจ้าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างนี่นา!”
ต้องรู้ว่า บนโลกใบนี้มีการแย่งชิงสมบัติกันมากมาย แต่หากเพราะสิ่งนี้เป็นเหตุให้ถึงกับต้องเอาชีวิตคน กมลสันดานนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
คนเช่นนี้ ไม่พอใจก็สังหารคน พร้อมที่จะฆ่าคนได้ตลอด ผู้ใดจะกล้ายืนกับเขา
เฉินลั่วใช้ความคิด พึมพำกล่าวว่า “ท่านพี่ เรื่องของซือจูยังจัดการง่าย หากตระกูลซือปกป้องนาง ไม่นานข่าวลือเหล่านี้ก็หายไป แต่ถ้าตระกูลซือไม่ยอมปกป้องนาง พวกเราไม่ลงมือ ก็มีคนกระโดดออกมาพูดเอง แต่เฉินลั่วนั้น เขาจะส่งใครมา? แล้วจะลงมืออย่างไร? กลัวแต่ว่าสุดท้ายคดีความจะไปถึงเบื้องพระพักตร์ หากไม่มีคนออกมาเป็นแพะรับบาป เกรงว่าจะใช้การไม่ได้”
เฉินเจวี๋ยกล่าว “มีเงินสั่งผีโม่แป้งได้ เรื่องนี้เจ้ามอบหมายให้ข้าจัดการก็พอ พี่เขยของเจ้ามีคนอยู่ ข้าจะให้เขาช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ให้เหมาะสม”
เฉินอิงรีบค้อมตัวให้พี่สาว กล่าวว่า “ลำบากท่านพี่แล้ว”
เฉินเจวี๋ยขอบตาแดงก่ำ คิดว่าเมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ ตำแหน่งของน้องชายนางก็สำเร็จแล้ว นางก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว ต่อให้วันหนึ่งต้องลงไปใต้พิภพ ก็กล่าวกับมารดาได้อย่างเต็มที่ภาคภูมิว่า ข้าพยายามจนถึงที่สุดแล้ว
นางอดตบบ่าน้องชายเบาๆ ไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ระยะนี้เจ้าต้องหลีกเลี่ยงเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความสงสัย ให้ดีที่สุดคือไม่ต้องออกไปไหน ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน เอาอกเอาใจท่านพ่อ เรื่องงานแต่งของเจ้าทำให้เขาใจสลายนัก”
“ข้าทราบแล้ว!” เฉินอิงส่งเฉินเจวี๋ยออกไป
เฉินเจวี๋ยกลับมาที่ตระกูลติง
ตระกูลติงมาจากตระกูลทหาร บรรพบุรุษก็เคยมีแม่ทัพใหญ่สองถึงสามคนมาก่อน แต่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยคนของราชวงศ์เดินไปทั่วทุกที่อย่างจิงเฉิงไม่อาจเรียกได้ว่าพวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลโตอะไร ทว่าบรรพบุรุษมีคุณูปการ จึงมีชีวิตอย่างสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่แต่งเฉินเจวี๋ยเข้าบ้านมา สถานะของครอบครัวพวกเขาขยับสูงขึ้นไม่น้อย ทุกคนทั้งบนและล่างของตระกูลติงจึงถนอมบุตรสะใภ้ผู้นี้ยิ่งนัก ทำให้เฉินเจวี๋ยมีชีวิตอยู่ที่ตระกูลติงอย่างสะดวกสบาย ด้วยเหตุนี้ตอนที่นางไปคารวะแม่สามีนั้น แม่สามีของนางจึงถามนางอย่างเอาใจใส่ว่างานหมั้นหมายของเฉินอิงเตรียมการไปถึงไหนแล้ว มีอะไรต้องการให้นางช่วยเหลือหรือเปล่า ยังถามถึงเฉินลั่วด้วยว่า “ได้ยินว่าช่วยชีวิตองค์ชายใหญ่เอาไว้ ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่วัดเจินอู่กับองค์ชายใหญ่ เจ้าว่าข้าควรให้เจ้าเตรียมของอะไรไปให้หรือไม่ เจ้าเองก็ไปเยี่ยมสักหน่อย?”
ในสายตาของคนตระกูลติง ยศถาบรรดาศักดิ์ต้องแย่งชิงอยู่แล้ว แต่หน้าตาในสังคมก็ต้องรักษาเอาไว้เช่นกัน ในระหว่างที่ยังไม่รู้ว่าบุปผาจะตกเป็นของผู้ใดนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับจ่างกงจู่ ต่อให้จ่างกงจู่ไม่ซาบซึ้ง ก็ต้องทำให้คนทั่วทั้งจิงเฉิงได้ดู
เฉินลั่วช่วยชีวิตองค์ชายใหญ่…
ช่วงนี้เฉินเจวี๋ยวุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของเฉินอิง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้
เช่นนั้นมิเท่ากับว่าเฉินลั่วได้สร้างชื่อต่อหน้าคนทั้งจิงเฉิงอีกครั้งหนึ่งแล้วหรอกหรือ!
เฉินเจวี๋ยกัดฟัน กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าน้องชายของข้าผู้นี้จะมีความสามารถขนาดนี้ ช่วยชีวิตองค์ชายเอาไว้ได้!”
“ถูกต้องที่สุด!” แม่สามีของเฉินเจวี๋ยรู้สึกว่าหากตระกูลเฉินหนึ่งครอบครัวได้รับบรรดาศักดิ์สองตำแหน่งจะดีที่สุด ถ้าเรื่องนี้ทำให้เฉินลั่วได้รับแต่งตั้งตำแหน่งที่เป็นมรดกสืบทอดได้สักหนึ่งตำแหน่งหนึ่ง ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวบุตรสะใภ้ผู้นี้ก็คงค่อยๆ ดีขึ้นได้ จึงกล่าวเพิ่มอีกสองสามประโยคว่า “ว่ากันว่าเหล่านักพรตของวัดเจินอู่แห่งนั้นทุกคนต่างมีทักษะพิเศษของตน มีลักษณะของซุนซือเหมี่ยว[1] ด้วยเหตุนี้คุณชายรองเฉินถึงได้พาองค์ชายใหญ่ไปที่วัดเจินอู่ เห็นว่าตอนที่องค์ชายใหญ่ไปถึงนั้น ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด ดูแล้วเหมือนไม่อาจรอดชีวิตได้ หากมิใช่เพราะเหล่านักพรตของวัดเจินอู่ เขาคงสิ้นไปแล้ว เพราะเรื่องนี้ เฉินหรูเหริน[2]ที่อยู่บ้านข้างๆ จึงมานัดหมายว่าจะเดินทางไปวัดเจินอู่สักครั้งในอีกสองสามวันข้างหน้า เห็นว่าหลานชายคนเล็กของพวกเขาท้องเสียบ่อย คราวก่อนยังขอให้เจ้าช่วยเชิญหมอหลวงมาให้ครั้งหนึ่ง นางอยากพาหลานชายไปขอยา…”
หากมีชื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงไปด้วย วัดทั่วไปในจิงเฉิงก็ดี หรือร้านค้าก็ดี ไม่มีที่ไหนไม่ต้อนรับพวกเขาดุจเป็นแขกคนพิเศษ
แม่สามีนางมองเฉินเจวี๋ยครั้งหนึ่ง
เฉินเจวี๋ยระงับความดูแคลนเอาไว้ในใจอย่างยากเย็น
แค่ฟังก็รู้แล้วว่าวัดเจินอู่กำลังสดุดีชื่อเสียงของตัวเอง พวกเขาช่างไม่รู้จักที่ตายจริงๆ แม้แต่พระนามขององค์ชายก็ยังคิดจะใช้ประโยชน์ หากวันใดที่ฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัย ลงโทษองค์ชายใหญ่ขึ้นมา คอยดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไร
แต่เฉินเจวี๋ยยังมีเรื่องบางอย่างต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลติง ย่อมไม่อยากทำให้แม่สามีขุ่นเคืองใจในเวลานี้ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากลัวว่าช่วงนี้คงไม่มีเวลาว่าง หากต้องการไปเยี่ยมเฉินลั่ว ก็ต้องดูว่าท่านพ่อเตรียมการเอาไว้อย่างไรบ้าง หากท่านอยากให้ความช่วยเหลือเฉินหรูเหรินไปขอการรักษาที่วัดเจินอู่ ข้าไม่มีป้ายชื่อของท่านพ่อ แต่มีป้ายชื่อของเฉินอิงอยู่ ท่านคิดว่าใช้ได้หรือไม่”
แม่สามีนางไหนเลยจะกล้าขอป้ายชื่อของเจิ้นกั๋วกง จึงรีบตอบว่าได้ติดๆ กันหลายเสียง ทำให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป
เพียงแต่ว่าเฉินเจวี๋ยเขียนจดหมายให้สามีแล้ว บุตรเขยติงกลับไม่เห็นด้วยกับวิธีของนาง ยังกลัวนางไปเสี่ยงอันตรายอย่างสิ้นคิด ตอบจดหมายมาว่า อีกไม่กี่วันข้าจะต้องกลับไปถวายรายงานที่จิงเฉิงพอดี เจ้ารอข้ากลับไปก่อนค่อยว่ากันอีกที
เฉินเจวี๋ยกำจดหมายแน่น มองต้นดอกหอมหมื่นลี้ที่กำลังชูช่อดอกสีเหลืองอ่อนนอกหน้าต่างโดยไม่พูดอะไร
***
องค์ชายรองเดินทางไปวัดเจินอู่อย่างรีบเร่ง
เซียวเหยาจื่อคิดว่าในเมื่อวัดเจินอู่กระโดดลงสนามมาแล้ว เช่นนั้นมิสู้ฉวยโอกาสนี้แสดงงิ้วให้ดี ถึงแม้เมื่องิ้วจบลงแล้วผู้มาสักการะวัดเจินอู่จะกลับไปบางตาอีกครั้ง ก็ดีกว่าอยู่อย่างไร้ซื่อไร้แซ่อยู่แล้ว
เขาไปรับรององค์ชายรองด้วยตัวเอง
องค์ชายรองไม่ปรายตามองเขาแม้แต่ครั้งเดียว พุ่งตรงไปยังเรือนพักผ่อนของเฉินลั่ว
เฉินลั่วสุขสบายดี และเพราะไม่ต้องแบกรับความกังวลและความคาดหวังของก่อนหน้านี้แล้ว จึงเหมือนได้ปล่อยภาระอันหนักอึ้งออกไป หลายวันนี้ก็เลยเหมือนกับไข่มุกกับอัญมณี เริ่มเปล่งรัศมีเรืองรองของตัวเองออกมา
เขานั่งว่างๆ อยู่ใต้ซุ้มดอกจื่อเถิงในลานบ้าน เดินหมากล้อมเพียงลำพัง
แสงแดดยามเช้าสีทองแทงทะลุผ่านกิ่งไม้ลงมาแต้มจุดด่างเป็นดวงๆ อยู่บนร่างของเขา ชุดเต้าเผาสีขาวพระจันทร์ลายใบไผ่สะอาดสะอ้าน เผยความสงบสบายใจออกมา
ฉับพลันนั้นหัวใจขององค์ชายรองเสมือนเรือลำเล็กที่ถูกคลื่นมหึมากระแทกใส่ แบกใบหน้าน่าเกรงขามที่ถูกเหล่าหมัวมัวสอนให้แสดงออกมาตั้งแต่เด็กใบหน้านั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว ตะโกนเรียก “หลินหลาง” ด้วยตัวเองเสียงหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
เฉินลั่วหันกลับมา ทิ้งหมากล้อมไว้ ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย หันมาค้อมตัวให้เขาครั้งหนึ่ง เรียก “องค์ชายรอง” ด้วยน้ำเสียงสงบแต่ก็ไม่ขาดการให้เกียรติ
คำพูดเป็นพันเป็นหมื่นขององค์ชายรองติดอยู่ตรงคอ
เฉินลั่วกับเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กดุจพี่น้อง เขาเป็นคนชอบก่อกวนสร้างความวุ่นวายมาตั้งแต่เด็ก ปฏิบัติกับตนอย่างมีมารยาทเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
เขาขบคิดอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว นึกถึงความเหินห่างที่เฉินลั่วมีกับตนนับตั้งแต่ที่เขาติดตามองค์ชายใหญ่ไปกรมอาญาเป็นต้นมา นึกถึงเคราะห์ร้ายที่เขาประสบร่วมกับองค์ชายใหญ่ เขาพลันค้นพบว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมาดูเหมือนเขาจะไม่ได้คุยกับเฉินลั่วเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“เจ้า กำลังตำหนิข้าอยู่ใช่หรือไม่!” องค์ชายรองหลุบตาลง กล่าวประโยคเช่นนี้ออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
“เปล่า!” เฉินลั่วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว องค์ชายรองก็ดี องค์ชายสามก็ดี คนใต้ผืนฟ้าที่อยากแก่งแย่งชิงดีเหล่านี้ เขาไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น ตอนนี้เขาเชื่อใจหวังซีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เขามององค์ชายรองอย่างสงบ “พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความจริงราชวงศ์กับขุนนางก็สมควรเว้นระยะห่างกันอยู่แล้ว เมื่อก่อนข้าไม่ได้คิดให้กระจ่าง ไม่ได้มองให้ชัดเจน เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าระหว่างพวกเรามีใครต้องรู้สึกผิดกับใคร ถูกกั้นกางด้วยสถานะที่ต่างกันขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็ซาบซึ้งใจ”
องค์ชายรองอ้าปาก สุดท้ายค้นพบว่าตัวเองไม่อาจโต้แย้งอะไรได้
ครู่ใหญ่เขาถึงกล่าวขึ้นอย่างเซื่องซึมว่า “ไม่ใช่ข้า เจ้ารู้ดี แม้นข้าอยากได้บัลลังก์ ทว่าไม่เคยคิดสังหารพี่น้อง”
เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าไม่ใช่เจ้า เป็นฮ่องเต้” เขามององค์ชายรองที่หันมาส่ายศีรษะให้เขาอย่างตื่นตระหนก เลิกคิ้วขึ้นเหยียดยิ้มอย่างดูแคลน ทว่าไม่หยุดลงเพียงเท่านั้น ยังคงกล่าวต่อไปว่า “เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ข้าเพียงแค่หมดกำลังใจ ทว่าชีวิตเจ้าอยู่บนกระดานหมาก หากต้านกระแสอาจถึงตายได้ เจ้ามีเรื่องอะไรก็ไปคุยกับองค์ชายใหญ่ให้เข้าใจดีกว่า หากคุยกับองค์ชายสามและองค์ชายห้าให้กระจ่างได้ก็ยิ่งดี จะต้านทานศึกนอกได้ศึกในต้องสงบก่อน!”
กล่าวจบ เขาก็หัวเราะหยันตัวเองอีกครั้ง กล่าวว่า “แต่นี่ก็เป็นเพียงความเห็นของข้าเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เจ้าแค่ฟังก็พอ อย่างไรก็ต้องให้ชิ่งอวิ๋นเป็นผู้ตัดสินใจ พวกเขาเป็นขุนนางในราชสำนักมาหลายรุ่น ถนนที่เคยเดินผ่านก็มากกว่าพวกเรามาก ย่อมปลอดภัยกว่า”
แต่ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง ไม่เหมือนเฉินลั่วที่ไม่ว่าใครได้เป็นจักรพรรดิก็มีที่นั่งในงานเลี้ยงสำหรับเขา เขาจึงปฏิบัติกับพวกเขาพี่น้องด้วยความจริงใจได้
องค์ชายรองกล่าวอยู่ในใจ แต่คิดถึงคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังเขาแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้พูดความคิดดังกล่าวออกมา เขาตรึกตรองแล้วไปดึงแขนเสื้อของเฉินลั่วอย่างที่เคยทำก่อนหน้านี้ กล่าวว่า “ไป ไปเยี่ยมองค์ชายใหญ่พร้อมกับข้า ข้ากลัวเขาเข้าใจข้าผิด”
เฉินลั่วกลับมีท่าทีไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาพี่น้อง กล่าวว่า “ข้าไม่ไปดีกว่า องค์ชายใหญ่หาได้โง่เขลาอย่างที่เจ้าคิด ข้ากับเขาประสบเคราะห์ร้ายอะไรมา เขากระจ่างแจ้งแก่ใจดี ไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าอย่างแน่นอน ส่วนองค์ชายสามกับองค์ชายห้า เจ้าลองคิดดูว่าจะทำอย่างไร ยังมีชิ่งอวิ๋นโหวอีก สั่งเคลื่อนย้ายกองพลขนนกซ้ายเช่นนั้น คิดหรือยังว่าจะอธิบายกับฮ่องเต้อย่างไร”
องค์ชายรองกัดฟัน ลากเฉินลั่วพลางกล่าวว่า “เลิกพูดไร้สาระเถอะ เจ้าไปพบเสด็จพี่ใหญ่กับข้าหน่อย”
เขาคิดว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งแล้วจะไม่เข้าไปยุ่งได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้รังแกผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยม ในเมื่อต้องการมีเรื่อง เช่นนั้นก็สร้างเรื่องให้ใหญ่โตไปเลยก็แล้วกัน
เฉินลั่วถูกองค์ชายรองลากตัวมุ่งไปยังห้องยาที่องค์ชายใหญ่พักรักษาตัวอยู่
องค์ชายรองไม่ได้สังเกตเห็นว่าชั่วขณะที่เฉินลั่วก้มศีรษะลงนั้น นัยน์ตาเผยความเยือกเย็นออกมา
***
องค์ชายใหญ่ ‘ปลอดภัย’ ดีแล้ว แน่นอนว่าวัดเจินอู่หาได้เป็นคนดูแลอาการบาดเจ็บของเขาทั้งหมด หมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมาต่างรอดูอาการอยู่ในห้องน้ำชาข้างๆ ห้องยา องค์ชายรองถามไถ่อาการคนป่วยเสร็จก็ไล่พวกเขาออกไป ถามเซียวเหยาจื่อที่ยังอยู่ในห้องว่า “อาการป่วยของเสด็จพี่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วจริงหรือไม่”
เซียวเหยาจื่อฝืนตัวเองเอาไว้ถึงไม่หันไปมองเฉินลั่ว ตอบว่า “ตามประสงค์ขององค์ชายใหญ่แล้ว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ในอนาคตสุขภาพอาจย่ำแย่ได้อีก หน้าที่จักรพรรดินั้นต่อให้มีใจก็คงไร้เรี่ยวแรงทำได้แล้ว จำเป็นต้องพักอย่างสงบอีกเป็นเวลานาน”
ประเทศชาติไม่อาจมีจักรพรรดิที่ร่างกายอ่อนแอได้
องค์ชายรองตะลึงงัน รู้สึกว่าการเดินทางมาวัดเจินอู่ของตัวเองในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องนัก
เขารีบมองไปที่องค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่หันมาพยักหน้าให้เขาเบาๆ กล่าวว่า “ข้าคิดว่าเช่นนี้ดีที่สุด”
ฮ่องเต้อยากใช้เขาโจมตีองค์ชายรองมิใช่หรือ? เขาจึงทำให้ตัวเองกลายเป็นหมากไร้ประโยชน์เสีย ดูว่าฮ่องเต้จะทำอย่างไรได้อีก
ไม่แน่ว่าเขาอาจหาโอกาสกลับมาเอาคืนสักกระดานหนึ่งก็เป็นได้!
องค์ชายรองระงับความยินดีในใจเอาไว้ แม้นไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่องค์ชายใหญ่ยังคงปรายตาไปมองเฉินลั่วที่ดวงหน้าเรียบเฉยอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง
เป็นหมากดีอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ!
………………………………………………………..
[1] ซุนซือเหมี่ยว หมอเลื่องชื่อในสมัยสุยและถัง
[2] หรูเหริน ตำแหน่งภรรยาขุนนาง
ตอนต่อไป