ภายในห้องเงียบสงัด
ผู้ช่วยคนหนึ่งของชิ่งอวิ๋นโหวเห็นสถานการณ์แล้วกระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงค่อยว่า “ท่านโหว องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองเป็นพี่น้องกัน องค์ชายใหญ่ประสบเคราะห์ร้าย องค์ชายรองไปเยี่ยม เป็นทั้งการแสดงความรักระหว่างพี่น้องและสำนึกทั่วไปที่มนุษย์พึงมีต่อกัน นอกจากนี้ใต้เท้าเฉินคนเล็กก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาพี่น้องก็จะได้พูดคุยความในใจกัน แก้ไขความเข้าใจผิดก่อนหน้าเหล่านั้นด้วยพอดี อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ขอรับ”
องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันได้ ก็แค่ต่างฝ่ายต่างต้องแย่งชิงสิ่งล้ำค่า ที่บอกว่าแก้ไขความเข้าใจผิดกันนั้น ก็แค่ไปดูว่าทั้งสองร่วมมือเป็นพันธมิตรกันได้หรือไม่ก็เท่านั้น
คนในห้องต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดี
ชิ่งอวิ๋นโหวคิดตามพลางพยักหน้าน้อยๆ ถามองค์ชายรองว่า “เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ความจริงแล้วคนที่องค์ชายรองเกลียดที่สุดคือเฉินลั่ว
องค์ชายใหญ่กับเขาไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็ก เดิมทีระหว่างพวกเขานั้นเจ้าตายข้ามีชีวิตอยู่ถือเป็นเรื่องสมควร แต่เฉินลั่วไม่ควรไปแล้วไม่หวนกลับมา ไปอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ทว่ากลับไม่ส่งข่าวให้เขารู้สักคำ
แทนที่เขาจะพูดว่าอยากไป ‘แก้ไขความบาดหมางก่อนหน้า’ กับองค์ชายใหญ่ มิสู้บอกว่าต้องการไปถามเฉินลั่วว่าคิดเห็นอย่างไรดีกว่า
“ได้!” เขากล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านน้าข้าขอยืมคนและม้าสักหน่วยหนึ่ง ข้าต้องการเดินทางไปวัดเจินอู่”
องค์ชายออกเดินทางไปข้างนอกย่อมมีองครักษ์ส่วนพระองค์คอยคุ้มกัน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นวันนี้ ผู้ใดจะกล้าฝากฝังชีวิตไว้กับองครักษ์ส่วนพระองค์จริงๆ?
ชิ่งอวิ๋นโหวพยักหน้า ไปเตรียมการด้วยตัวเอง
ฟากหวังซี หลังจากได้รับจดหมายของหลงจู๊ใหญ่ รู้ว่าเฉินลั่วหลบอยู่ที่วัดเจินอู่ นางอดพนมมือขึ้นไม่ได้ หันหน้าไปทางทิศตะวันตกและสวด อมิตตพุทธ เสียงหนึ่ง คิดในใจว่าเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นแล้ว นางจะต้องไปบริจาคค่าธูปเทียนที่วัดเจินอู่ และไปแก้บนที่วัดอวิ๋นจวีให้ได้ เนื่องจากพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ประดิษฐานอยู่ในห้องพระเล็กของจวนหย่งเฉิงโหวนั้นอัญเชิญมาจากวัดอวิ๋นจวี นางจึงต้องไปแก้บนที่วัดอวิ๋นจวี
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ เองก็โล่งอกตามไปด้วย ไป๋กั๋วยังถามหวังซีว่า “ต้องการให้นำของไปส่งให้ใต้เท้าเฉินหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง!” หวังซีตอบ “เซียวเหยาจื่อที่วัดเจินอู่มีฝีมือด้านการแพทย์สูงส่ง หากใต้เท้าเฉินได้รับบาดเจ็บแล้วเขารักษาให้ไม่ได้ ผู้อื่นไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าใต้เท้าเฉินปลอดภัยดีแล้วพวกเรายังส่งของไปให้อีก หากมีคนพบเห็น จัดการไม่ดีอาจกลายเป็นจุดอ่อนของใต้เท้าเฉินได้ พวกเราอยู่แต่ในจวนรอเขากลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ”
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ พยักหน้า แต่เมื่ออยู่กันตามลำพังก็อดชวนกันคุยไม่ได้ว่า “นับวันคุณหนูใหญ่ยิ่งเหมือนนายท่านผู้เฒ่าเข้าไปทุกที ปีนั้นนายท่านใหญ่ประสบเคราะห์ร้าย นายท่านผู้เฒ่าก็ทำเช่นนี้ น่าเสียดายที่คุณหนูใหญ่เป็นสตรี หาไม่ต้องเป็นผู้ช่วยให้คุณชายใหญ่ได้อีกแรงแน่”
หวังหมัวมัวกำลังยกส้มเข้ามาพอดี ได้ยินแล้วเอ็ดเบาๆ ว่า “พูดเหลวไหลให้น้อยลงหน่อย เดิมคุณชายใหญ่ก็ไม่อยากให้คุณหนูใหญ่แต่งออกไปแล้ว ยิ่งพวกเจ้าช่วยกันหลอกล่อเช่นนี้ หากคุณชายใหญ่ใจแข็งให้คุณหนูใหญ่แต่งสามีเข้าบ้านจริงๆ คงได้วุ่นวายแน่”
ทุกคนพากันหัวเราะแล้วแยกย้ายกันไป
หวังหมัวมัวเป็นห่วงบุตรชาย ยกส้มไปวางหน้าโต๊ะแล้วหันไปพนมมือไหว้พระพุทธรูปกวนอิม ลอบสวดคำว่า อำนวยพรและคุ้มครองบุตรชายของข้าให้ปลอดภัยด้วย ไปหลายประโยค เสร็จแล้วถึงไปหาหวังซี
กระทั่งตอนบ่าย ทุกคนก็ได้รู้ข่าวที่องค์ชายใหญ่ถูกลอบสังหาร
แต่ละคนต่างมีความคิดหนึ่งอยู่ในใจ
บัดนี้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองสงบสุข ทว่าที่จิงเฉิงแต่กลับมีองค์ชายถูกลอบสังหาร หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีการวางแผนเอาไว้ ล้วนไม่มีใครเชื่อ
ตอนที่ข่าวนี้กระจายไปทั่วเรือนหลังของจวนหย่งเฉิงโหวนั้น ทุกคนต่างตะลึงงัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือบ่าวไพร่ ต่างรวมกลุ่มสองคนบ้างสามคนบ้างพูดคุยเรื่องดังกล่าว
ซือจูยิ่งแล้วใหญ่เหมือนมีสายฟ้าคำรามในวันฟ้าโปร่งก็ไม่ปาน ดึงตานหมัวมัวเอาไว้กล่าวว่า “ตระกูลซือคงไม่ถูกลากไปติดร่างแหเพราะเรื่องนี้ด้วยกระมัง”
นางรู้แค่ว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดานางที่เมื่อก่อนเคยดำรงตำแหน่งอยู่ในกองทัพต้าถงได้ย้ายมาที่จิงเฉิง ในจำนวนคนเหล่านี้มีคนทำงานอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ด้วย
องค์ชายใหญ่ถูกลอบสังหาร คนข้างกายเขาย่อมถูกเก็บกวาด นางเป็นห่วงว่าตระกูลซือจะถูกลากไปข้องเกี่ยวด้วย
ตานหมัวมัวไม่ได้รู้มากไปกว่านาง รีบกล่าวว่า “ข้าจะไปสอบถามท่านหวงเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ท่านหวงคือผู้ช่วยท่านหนึ่งที่ตระกูลซือส่งมาจากอวี๋หลินเมื่อหลายวันก่อน พักอยู่ในบ้านหลังเก่าของตระกูลซือ
ซือจูพยักหน้า จะนั่งจะยืนก็ไม่สงบไปครึ่งบ่าย ถึงเวลารับมื้อเย็นยังขอตัวลากับฮูหยินผู้เฒ่า บอกว่ารู้สึกไม่สบาย ขออนุญาตไม่ไปคารวะเย็นฮูหยินผู้เฒ่า
ถ้าหากเป็นช่วงเวลาปกติ ฮูหยินผู้เฒ่าคงให้คนมาถามไถ่อาการแล้ว แต่วันนี้ หย่งเฉิงโหวมารับมื้อเย็นที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงไม่ทันได้สนใจซือจูไปชั่วขณะ
ซือจูจึงมีเวลาว่าง
หย่งเฉิงโหวกลับกล่าวย้ำฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการส่วนตัวว่า “มิใช่ว่าข้าในฐานะญาติผู้น้องไม่ช่วยเหลือญาติผู้พี่ แต่ครั้งนี้ญาติผู้พี่ทำเกินไปจริงๆ เพื่อบุตรสาวผู้หนึ่งแล้ว ถึงกับฉวยโอกาสตอนที่ไปช่วยองค์ชายใหญ่ลอบสังหารเฉินลั่ว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ทรงทราบเรื่องแล้ว ตอนนี้จ่างกงจู่ยังร่ำไห้อยู่ที่ตำหนักของฮองเฮาเหนียงเหนียง เรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ ท่านต้องเตรียมการเอาไว้ว่าจะช่วยเหลือหลานชายหรือจะช่วยบุตรชาย”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วหน้าซีดเผือด มือที่ถือถ้วยน้ำชาสั่นไม่หยุด กล่าวว่า “เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเปล่า ต่อให้เขารักอาจูมากเพียงใด ก็ไม่น่าจะไม่สนใจคนทั้งตระกูลเช่นนี้!”
ตอนหย่งเฉิงโหวยังเป็นหนุ่มไม่ชอบที่บิดาใจร้ายกับบุตรชายหญิง แต่ยิ่งอายุมากขึ้น นิสัยของเขากลับยิ่งเหมือนหย่งเฉิงโหวผู้เฒ่ามากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว กล่าวอย่างเลือดเย็นว่า “นั่นก็เป็นความคิดของซือจูเอง นางมักใหญ่ใฝ่สูงมาตลอด บัดนี้ถูกเฉินอิงใช้อุบายล่อลวง ไม่อาจแต่งเข้าวังหลวงได้แล้ว ก็เลยอยากเป็นซื่อจื่อฮูหยิน จึงทนเฉินลั่วไม่ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจจนทำน้ำชาหกไปหมด
นี่เกี่ยวอันใดกับซือจู
เหตุใดเกิดเรื่องกับบุรุษในบ้านแล้วต้องมาตำหนิสตรีด้วย?
นางร้อง บุตรของข้า เสียงหนึ่งอย่างเศร้าโศก สีหน้าซีดเผือดกล่าวว่า “คำพูดนี้กล่าวออกมาไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลซือก็เป็นลุงของเจ้า หากพวกเขาประสบเคราะห์ร้ายล้มลง พวกเจ้าก็ไร้เกียรติไปด้วย”
หย่งเฉิงโหวมองมารดาโดยไม่กล่าวสิ่งใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากลืนน้ำลาย ครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นอย่างยากลำบากว่า “เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้าย่อมต้องปกป้องพวกเจ้า เรื่องของตระกูลซือ เจ้าเองก็อย่าสอดมือเข้าไปยุ่ง จะผิดจะถูกก็ให้ฮ่องเต้เป็นคนตัดสินพระทัยก็แล้วกัน!”
ในน้ำเสียงของนางเจือความอ้อนวอนเอาไว้
เนิ่นนาน หย่งเฉิงโหวถึงพยักหน้าเบาๆ
ด้านซือจือกลับต้องรอถึงยามสองถึงได้เจอตานหมัวมัว
ค่ำคืนของต้นฤดูใบไม้ร่วงปัดเป่าความร้อนของกลางวันไปหมด ความจริงเป็นช่วงเวลาที่เย็นสบายที่สุดของวัน ทว่าหัวใจของตานหมัวมัวกลับหนาวเหน็บคล้ายแช่อยู่ในหลุมน้ำแข็ง
นางกระโจนเข้าหาซือจู จับมือของซือจูเอาไว้แน่น กล่าวด้วยน้ำตาคลอว่า “ท่านหวง ท่านหวงออกจากเมืองหลวงไปแล้ว บอกว่าต้องหลบกระแสลมสักพัก”
ในใจของซือจูมีเสียงดัง กริ๊ก เสียงหนึ่ง ราวกับได้ยินเสียงอะไรแตกหักก็ไม่ปาน เพียงแต่ว่าไม่ทันได้ทบทวนอย่างละเอียด ก็โพล่งออกมาก่อนว่า “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดท่านหวงต้องออกจากเมืองหลวงไปหลบกระแสลมด้วย?”
ตานหมัวมัวตัวสั่นระริกขณะกล่าว “บอกว่ามีฝ่ายร้องเรียนกำลังจะฟ้องนายท่านของพวกเรา กล่าวหาว่าตอนที่นายท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าถงนั้นกระทำการทุจริต ต้องการขอให้ฮ่องเต้ลงโทษนายท่าน!” กล่าวจบ นางก็ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างระงับไม่อยู่
เนื่องจากตระกูลซือกำหนดเป้าหมายมาตั้งแต่ซือจูเป็นเด็กแล้วว่าจะส่งนางเข้าวัง ด้วยเหตุนี้นอกจากงานฝีมืออย่างพวกเย็บปักถักร้อยแล้ว ยังให้นางเรียนหนังสือไม่น้อยอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เรียนหนังสือพร้อมกับพวกพี่ชายในบ้าน นางเรียนได้ดีกว่าเหล่าพี่ชายด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่นางดูแคลนเด็กสาวคนอื่นๆ ที่อยู่รอบกาย
นางพลันตระหนักได้ในทันทีว่าเรื่องขององค์ชายใหญ่สร้างปัญหาให้บิดาของนางแล้ว
หาไม่เหตุใดฝ่ายร้องเรียนเหล่านั้นถึงไม่ฟ้องให้เร็วกว่านี้หรือไม่ก็ช้ากว่านี้ แต่กลับเลือกฟ้องในเวลานี้พอดิบพอดี ยังฟ้องในเรื่องที่เกิดขึ้นตอนบิดานางดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าถงอีก?
นางถามด้วยดวงหน้าซีดว่า “แล้วใต้เท้าอวี๋เล่า? ได้ไปติดสินบนที่ใต้เท้าอวี๋หรือยัง”
ตานหมัวมัวส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เปล่าเจ้าค่ะ ใต้เท้าอวี๋เองก็ถูกฟ้องร้องเช่นกัน ถูกกล่าวหาว่าปกป้องนายท่านของพวกเรา ยังกล่าวอีกว่า ที่นายท่านของพวกเรากล้ากำแหงขนาดนี้ก็เพราะใต้เท้าอวี๋ ยังบอกว่านายท่านของพวกเราติดสินบนใต้เท้าอวี๋ บัดนี้ใต้เท้าอวี๋ถูกฮ่องเต้เรียกเข้าวังไปยังไม่ได้ออกมาเลยเจ้าค่ะ!”
สองขาของซือจูอ่อนแรง ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแทนด้านหลัง
นางคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนี้
เช่นนั้นงานแต่งของนางกับเฉินอิง…
นางบังเกิดความยินดีขึ้นในใจ
ด้วยความเจ้ายศของตระกูลเฉิน คงไม่ยอมให้มีงานแต่งเกิดขึ้นแล้วกระมัง
แต่ถ้าไม่มีงานแต่งแล้ว นางควรไปไหนดี?
บิดาส่งคนมาจิงเฉิง นอกจากไม่ติดต่อนางแล้ว ยังไม่ฝากฝังถ้อยคำอะไรมาให้นางด้วย ครอบครัวเลือกนิ่งเงียบไม่แสดงท่าทีใดต่อเรื่องสมรสพระราชทานของนาง บิดาคงผิดหวังมากกระมัง
นางนึกถึงเรื่องสมัยเด็กขึ้นมา เนื่องจากพี่ชายสี่ของนางแพ้ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาตอนแข่งยิงธนู บิดาของนางกดพี่ชายสี่ของนางไว้กับพื้นแล้วโบยสามสิบไม้
ในสายตาของบิดานาง คาดว่านางในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพี่ชายสี่ในตอนนั้นกระมัง
ซือจูยิ้มขื่น พลันรู้สึกว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล ทว่ากลับไม่มีที่ให้นางหลบภัยได้
บางทีอาจกล่าวได้ว่า หากนางคิดจะมีที่หลบภัยสักแห่ง คงมีแต่ต้องคิดหาหนทางด้วยตัวเองเท่านั้นแล้ว
เช่นนั้นนางควรทำอย่างไรดี?
ซือจูกัดเล็บ
นับตั้งแต่นางอายุหกขวบเป็นต้นมาก็ไม่เคยกัดเล็บอีกเลย คิดไม่ถึงว่าเวลานี้ อุปนิสัยที่นางเคยชินตอนเป็นเด็กจะปรากฏออกมาให้เห็นอีกครั้ง
ซือจูก้มหน้าลง
***
เฉินเจวี๋ยกลับเดือดดาลครั้งใหญ่
นางเดินวนไปวนมาอยู่ตรงหน้าน้องชาย ขมวดคิ้วมุ่นกล่าวซ้ำไปซ้ำมาว่า “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ซือจูเสียสติไปแล้วแล้ว ถึงกับให้คนไปสังหารเฉินลั่ว เฉินลั่วตายแล้ว นางคิดว่าเรื่องจะเป็นอย่างที่นางปรารถนาอย่างนั้นหรือ ตระกูลซือเองก็บ้าไปแล้ว ฟังใครไม่ฟังดันไปเชื่อฟังซือจู ซือจูให้พวกเขาไปฆ่าคนพวกเขาก็ไป ถ้าซือจูให้พวกเขาไปกระโดดน้ำพวกเขาก็จะไปอย่างนั้นหรือ”
กล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็หมุนกายกลับมา มองเฉินอิงที่นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้กุหลาบมาตลอดพลางกล่าว “เจ้าไปถูกใจสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร สังหารคนชิงทรัพย์โดยไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว ข้าไม่ชอบเฉินลั่ว แต่ข้าก็ไม่เคยคิดจะลงมือฆ่าเฉินลั่ว ตกลงนาง…เป็นคนเช่นไรกันแน่”
เฉินอิงเศร้าสลดยิ่งกว่าเฉินเจวี๋ยเสียอีก
ไม่แปลกที่องค์ชายสามกับองค์ชายห้าต่างไม่ยอมไปเกลือกกลั้วกับซือจู
ซือจูบ้าไปแล้วจริงๆ
เรื่องใหญ่ขนาดนี้นางยังกล้าลงมือทำ
นางไม่กลัวฮ่องเต้ตำหนิหรือ
ต้องใช้ชีวิตกับสตรีเช่นนี้ เขาจะมีชีวิตอย่างสุขสงบไปจนแก่เฒ่าได้หรือ
เฉินอิงตัวสั่น รู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนักที่ตอนนั้นตัดสินใจไม่รอบคอบ แต่เสียใจเวลานี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร มีแต่ทำให้พี่สาวของเขายิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น เขาจำต้องทำใจดีเข้าสู้ยอมรับผิด กล่าวข้างๆ คูๆเพื่อแก้ต่างแทนซือจูว่า “เรื่องนี้ก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น เหตุใดท่านพี่ต้องฟังเสียงลมเป็นเสียงฝนด้วย? ข้าว่าแทนที่พวกเราจะคาดเดาเรื่องราวอยู่ที่นี่ มิสู้ไปถามซือจูดีกว่า นางยโสมาตลอด หากนางเป็นคนทำจริง นางย่อมยอมรับอย่างแน่นอน”
เฉินเจวี๋ยฟังแล้วรู้สึกฉุน กล่าวว่า “นี่ช่างเป็นแบบฉบับของคนที่มีภรรยาแล้วหลงลืมมารดาอย่างแท้จริง จากน้ำเสียงที่เจ้าพูดมา ไหนจะประโยคที่ว่า ‘นางยโสมาตลอด’ นั่นอีก ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าไปรู้จักซือจูดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ดูแล้วพระราชโองการฉบับนี้ของฮองเฮาเหนียงเหนียงช่างพระราชทานได้ถูกต้องนัก เห็นได้ชัดว่ากลายเป็นคู่แต่งงานที่มีความสุขไปแล้ว!”
“ท่านพี่” เฉินอิงอุทานอย่างไร้ทางเลือก
เฉินเจวี๋ยเองก็คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว โบกมือไปมาราวกับต้องการให้คำพูดของเฉินอิงผ่านหูไปโดยเร็ว กล่าวว่า “พี่เขยของเจ้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้เป็นได้ทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก หากมองให้เล็กก็คือซือจูอยากให้เจ้าเป็นซื่อจื่อจึงต้องการสังหารเฉินลั่ว มองให้ใหญ่ก็คือเจ้าใช้ประโยชน์จากซือจู ให้ตระกูลซือช่วยเจ้าสังหารเฉินลั่ว เจ้าต้องคิดให้ดีว่าจะทำอย่างไร”
เฉินอิงยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น กล่าวว่า “เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร? ให้ข้าไปอธิบายกับทุกคนที่เจอว่าเรื่องของเฉินลั่วไม่เกี่ยวอันใดกับข้าอย่างนั้นหรือ”
……………………………………………………………………..
ตอนต่อไป