บทที่ 199 ตอบโต้สังหาร

บทที่ 199 ตอบโต้สังหาร

[ป้ายอัญเชิญสามารถเรียกนักรบโลกอสูรห้าตนมาช่วยต่อสู้ได้ การอัญเชิญแต่ละครั้งจะอยู่ได้ห้านาที และมีระยะเวลาคูลดาวน์สองชั่วโมง]

ป้ายดังกล่าวเป็นรางวัลที่อู๋ฝานสังหารมินิบอสจากโลกอสูรเมื่อครั้งก่อนได้สำเร็จ เขาเองก็ยังไม่เคยใช้มาก่อน ทว่าในตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับจะใช้ทดสอบ

ตอนที่อู๋ฝานนำป้ายออกมา ข้างกายของเขาก็ปรากฏคนห้าคนออกมาจากห้วงอากาศอันว่างเปล่า

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคนทั้งห้า ทำให้กลุ่มบอดี้การ์ดของข่งไห่หลินสะดุ้งหวาดกลัว พวกเขาไม่ใช่คนอ่อนแอ แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่กลับไม่มีใครในพวกตนเห็นว่าคนทั้งห้าเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ใด

หรือจะเป็นยอดฝีมือ?

ในใจของทั้งสี่คนเกิดความหวาดระแวง พวกเขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าการที่คนทั้งห้าการปรากฏตัวเกี่ยวข้องกับป้ายในมือของอู๋ฝาน

เมื่ออู๋ฝานได้เห็นคนทั้งห้าที่ปรากฏตัว คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นเล็กน้อย

อัปลักษณ์เกินไปแล้ว!

เดิมอู๋ฝานคาดหวังว่านักรบโลกอสูรทั้งห้าตนนี้จะเป็นเหมือนกับพวกที่เคยสู้ ทว่านักรบโลกอสูรห้าตนที่อัญเชิญมานี้ ค่อนข้างดูโทรมหากเทียบเปรียบกับพวกที่เคยเจอและสู้ด้วย

เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ประหนึ่งเป็นชุดขอทาน ทั้งยังมือเปล่าไร้ซึ่งอาวุธ ดวงตาหมองหม่น หลังอัญเชิญมา พวกมันก็ยืนนิ่งตรงนั้นประหนึ่งหุ่นไม้

นี่ใช่นักรบโลกอสูรที่ดุร้ายจริงเหรอ? ไม่ใช่แค่ไอ้หน้าโง่ห้าตัวหรือยังไง?

อู๋ฝานถอยหลังเข้าใกล้ประตูรถโดยไม่รู้ตัว ถ้าสถานการณ์ไม่สู้ดี เขาก็พร้อมจะหลบหนี เขากล้าออกมาจากรถ ก็เพราะสามารถอัญเชิญนักรบโลกอสูรออกมาได้ แต่ถ้าพวกมันไม่สามารถใช้งานได้ ตนก็มีแต่จะต้องหนีเท่านั้น เขาไม่คิดว่าลำพังตนเองจะสามารถจัดการยอดฝีมือขอบเขตมืดถึงสี่คนได้ไหว

“เหอะ น่าขำ!”

หลี่หยวนและคณะค่อนข้างระวังกลุ่มคนทั้งห้าที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ใครจะคิดว่าคนทั้งห้านั้นจะดูไร้ค่ายิ่งกว่าคนไร้บ้านเสียอีก ชุดที่เหมือนผ้าขี้ริ้วนั้นไม่ต้องพูดถึง สายตาหมองหม่นและสีหน้าท่าทีโง่งม รวมกับไม่มีเจตนาเป็นฝ่ายบุกโจมตีพวกเขาทั้งสี่ ทั้งยังยืนนิ่งเฉยราวกับหุ่นไม้

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ยอดฝีมืออะไรทั้งสิ้น!

ยอดฝีมือไม่มีทางทำตัวแบบนี้!

คนทั้งสี่ที่รู้สึกว่าถูกหลอก ขณะนี้จึงยิ่งโกรธแค้น ออร่าของพวกเขากำลังเดือดพล่าน

ต้องลงมือแล้ว!

อู๋ฝานรับรู้ได้ถึงออร่าที่เปลี่ยนแปลงไปของกลุ่มคนทั้งสี่ ในตอนนี้จึงตะโกนบอกนักรบโลกอสูรทั้งห้าในชุดขอทาน “ปกป้องฉัน จัดการพวกมัน!”

หลังได้ยินคำสั่งของอู๋ฝาน นักรบโลกอสูรทั้งห้าก็เริ่มเผยร่องรอยสีแดงในดวงตา ราวกับว่ามันสว่างเจิดจ้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาที่เดิมหมองหม่นของพวกมัน กลายเป็นสาดส่องแสงสีเลือดออกมาราวกับหิวกระหาย

เพียงแต่ยอดฝีมือขอบเขตมืดทั้งสี่คนหาได้ทราบไม่ เพราะพวกเขากำลังโกรธจัดจนลืมมอง

คนทั้งห้าที่ดูหน้าโง่เหล่านี้ พวกเขาไม่คิดจะเก็บเอามาใส่ใจหรือมองในสายตาด้วยซ้ำ ครั้นยามลงมือโจมตีก็ออกท่าพร้อมกับหน้าโง่ทั้งห้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าอู๋ฝานเสียอย่างงั้น พวกเขาจึงคิดจะปัดพวกมันให้พ้นทาง หรือไม่ก็ฆ่าให้ตาย

“ตึก”

“ตึก”

“ตึง”

“ตึง!”

คนทั้งสี่ลงมือแทบจะพร้อมกัน ยอดฝีมือขอบเขตมืดทั้งสี่คน ขณะนี้โจมตีเข้าใส่หุ่นไม้หน้าโง่ในความคิดของพวกเขา เพียงแต่หาได้นึกคิดไม่ว่าพวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายถอยหลังกลับซะเอง หมัดของพวกเขาคล้ายปะทะกับกำแพงแข็งทั้งสี่ ไม่เพียงไม่อาจทำลายกำแพงดังกล่าวได้ แต่ยังถูกแรงสั่นสะเทือนสะท้อนกลับออกมาจนปวดร้าวถึงแก่นกระดูก

คนทั้งสี่มองเป้าหมายการโจมตีด้วยอาการแตกตื่น ตอนนี้เองที่พวกเขาตระหนักได้ว่าดวงตาของหุ่นไม้เหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็น แม้พวกมันยังดูหมองหม่นอยู่บ้าง ทว่ามันกลับทอประกายออร่าแห่งความกระหายเลือดออกมา

คนทั้งสี่ชะงักงันแข็งค้าง ขณะที่นักรบโลกอสูรทั้งห้าลงมือแทบจะพร้อมกัน หมัดของพวกมันพุ่งเข้าใส่ตำแหน่งหน้าอกของกลุ่มคนเหล่านั้น พร้อมกับออร่าพลังอันแข็งแกร่ง

“ตึง!”

ห้าเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ตามมาด้วยเสียงของหมัดทั้งห้าปะทะผ่านกล้ามเนื้อ พร้อมเสียงกระดูกหักดังให้ได้ยิน

ยอดฝีมือขอบเขตมืดทั้งสี่ร่างกระเด็นถอยกลับไป ทว่าบางคนถึงขั้นกระอักเลือดออกมาขณะร่างลอยอยู่ในอากาศ พร้อมแผดเสียงร้อง

แม้ทั้งสองฝั่งจะปล่อยหมัดเช่นเดียวกัน ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตอนที่หมัดของยอดฝีมือขอบเขตมืดทั้งสี่ปะทะเข้ากับร่างของนักรบโลกอสูรเหล่านั้น มันไม่อาจสร้างความเสียหายใดแม้แต่น้อย อีกทั้งนักรบโลกอสูรที่รับแรงปะทะ ก็ไม่เผยสีหน้าใดออกมาทั้งสิ้น

บางทีพวกมันอาจไม่มีแนวคิดเรื่องความรู้สึกเจ็บปวดด้วยซ้ำ

นักรบโลกอสูรทั้งห้าเข้าปะทะกับยอดฝีมือขอบเขตมืดสี่คน ทว่าเพียงแค่พวกมันออกหมัดใส่ คนทั้งสี่ก็ได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว โดยเฉพาะคนหนึ่งที่ถูกนักรบโลกอสูรสองตนรุมเล่นงาน อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับกระอักเลือดออกมา ต่อให้ไม่ตาย แต่การฝึกฝนก็คล้ายจะถดถอยลงไปครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยในครึ่งปีนี้ก็ไม่มีทางฟื้นกลับคืนมาได้

หมัดอันเรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ มันได้ผลอย่างน่าชวนสะพรึงกลัว

อู๋ฝานชะงักงันนิ่ง ในขณะที่ยอดฝีมือขอบเขตมืดทั้งสี่ปรากฏความหวาดกลัวท่วมท้น

ห้าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่คนบ้าหน้าโง่งั้นเหรอ? ทำไมแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้? เพียงต่อยธรรมดา พวกเขาที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตมืดถึงกับบาดเจ็บหนัก? ยอดฝีมือขอบเขตมืดในสายตาอีกฝ่ายเป็นแค่ขยะเปียกหรือยังไง?

ยิ่งไปกว่านั้น คนทั้งสี่ไม่อาจรับรู้ถึงสภาวะพลังใดจากคนทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้า มันให้ความรู้สึกประหนึ่งเป็นคนธรรมดา กระทั่งบางทีอาจจะต่ำยิ่งกว่าคนธรรมดาซะอีก อย่างน้อยคนธรรมดาก็ไม่ได้มีสายตาราวกับไร้ชีวิตและโง่งมเช่นนั้น

ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติของพวกมันก็คือดวงตา มันเปล่งประกายสีแดงชาดคล้ายโลหิตอย่างน่าขนลุก

ขณะที่คนทั้งสี่กำลังแตกตื่น นักรบโลกอสูรทั้งห้าก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว พวกมันบุกเข้าหาคนทั้งสี่อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่านักรบโลกอสูรเหล่านี้จะไม่รวดเร็วมากนัก แต่ความเร็วก็ไม่ได้ช้าจนเกินไป ยิ่งกว่านั้นคนทั้งสี่ยังได้รับบาดเจ็บไปก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจขยับหลบเลี่ยงการโจมตีของนักรบโลกอสูรทั้งห้าตนได้

หลังศึกปะทะเริ่มขึ้น นักรบโลกอสูรครองความได้เปรียบในเวลาอันสั้น ต่อหน้ายอดฝีมือขอบเขตมืดพวกมันไม่ได้อ่อนแอเลย ตอนนี้คนทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บไปก่อนแล้ว ทั้งหนึ่งในนั้นยังบาดเจ็บสาหัส ทำให้ที่เหลือจึงกลายเป็นสามปะทะห้า ดังนั้นการที่อีกฝ่ายจะร่วงโรยไปกับสายลมก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด

“ตึง!”

นักรบโลกอสูรตนหนึ่งใช้ฝ่ามือปะทะเข้ากับหน้าผากยอดฝีมือขอบเขตมืดคนหนึ่ง ร่างอีกฝ่ายชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะล้มลงแน่นิ่งไร้ซึ่งลมหายใจ

ตาย!

ความตายของพรรคพวกทำให้กลุ่มคนทั้งสี่แตกตื่นอยู่ภายในใจ พวกเขาคิดอยากจะหลบหนี เพียงแต่เวลานี้นักรบโลกอสูรปิดทางหนีของพวกเขาไว้หมดแล้ว ดังนั้นแม้พวกเขาคิดอยากหาทางหลุดพ้นจากวงล้อม ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้

“พอ” หลังอู๋ฝานเห็นคนหนึ่งถูกสังหาร ตอนนี้จึงออกคำสั่งหยุดการกระทำ

ที่แห่งนี้คือโลกความเป็นจริง ไม่ใช่โลกแห่งเกม อู๋ฝานไม่กล้าลงมือฆ่าคนบุ่มบ่าม

ทว่าคำสั่งของเขาคล้ายจะช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่เขาอ้าปากจะเอ่ย ฝั่งนักรบโลกอสูรทั้งห้าก็สังหารยอดฝีมือขอบเขตมืดที่ยังเหลือรอดอยู่ไปเรียบร้อยแล้ว

ยอดฝีมือขอบเขตมืดทั้งสี่ที่เดิมมาเพื่อลอบสังหารอู๋ฝาน ในตอนนี้กลับไม่อาจได้แตะแม้ชายเสื้อของเขา พวกเขาถูกสังหารโดยองครักษ์คู่กายชายหนุ่มทั้งห้าตน

กระทั่งความตายมาเยือน พวกเขาก็ยังไม่อาจได้ทราบเลยด้วยซ้ำว่าคนทั้งห้ามีตัวตนเช่นไร